ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 669 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13361 - 13380 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13361 | รัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปร์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย (นายเควิน ฉ็อก) | กต | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเควิน ฉ็อก (Mr. Kevin Cheok) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางฉั่ว ซิ่ว ซาน (Mrs. Chua Siew San) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13362 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนธันวาคม 2561 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๕ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ เรื่อง โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนว ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรมนูญมีทั้งหมด จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ เรื่อง โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๔๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๗ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ มีทั้งหมด จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13363 | ผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อย่างเป็นทางการ | กห | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าเยี่ยมคำนับ นายเหวียน ฝู จ่อง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยได้หารือถึงการเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านแรงงาน การประมง และการส่งออกสินค้าประเภทรถยนต์ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยฝ่ายไทยกล่าวย้ำถึงความพร้อมในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๒ ซึ่งรัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับการผลักดันความร่วมมือในการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ๒. การเข้าเยี่ยมคำนับ พลเอก โง ซวน หลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยฝ่ายเวียดนามขอให้มีการจัดทำแผนพัฒนาความร่วมมือทางทหาร ระยะเวลา ๓ ปี (ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่ได้ลงนามไว้แล้ว รวมทั้งพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนของไทย และขอให้ไทยสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางทหารอาเซียน เช่น การสวนสนามทางเรือ และการประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน ในโอกาสที่เวียดนามจะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียนในปี ๒๕๖๓ และได้เชิญให้ไทยเข้าร่วมโครงการพรมแดนมิตรภาพ ๖ ประเทศด้วย ๓. การเยี่ยมชมกองบัญชาการทหารเรือที่ ๕ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และการร่วมหารือกับ นาวาเอกพิเศษ เกวียน ซวย ตี่ ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ ๕ ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการความร่วมมือทางทหารในประเด็นต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบทางทะเล การแก้ปัญหาความมั่นคงทางทะเล และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและการไว้เนื้อเชื่อใจกันจะทำให้บรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13364 | รายงานผลการเข้าร่วมการประชุม Abu Dhabi International Petroleum Exhibition and Conference 2018 (ADIPEC) ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | พน | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุม Abu Dhabi International Petroleum Exhibition and Conference 2018 (ADIPEC) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายศิริ จิระพงษ์พันธ์) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุม ADIPEC ได้มีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย รวมทั้งร่วมกันอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เข้าร่วมอภิปรายร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรฮัซไมต์จอร์แดน และสาธารณรัฐซูดาน ในหัวข้อ “Building Foundations and Expanding Collaborations for a United Sustainable Global Energy Industry” โดยนำเสนอประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ควรกำหนดราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มประเทศต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการเติบโตของอุปสงค์และอุปทานด้านพลังงาน รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) (๒) ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบพลังงานไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น และเล็งเห็นถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และ (๓) ประเทศไทยมีแผนที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานโดยสร้างการเชื่อมโยงด้านพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ๒. ประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันทั้งที่เป็นสมาชิก OPEC และประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก OPEC ได้หารือร่วมกันและรายงานให้ที่ประชุม ADIPEC ทราบว่า กลุ่มประเทศ OPEC และกลุ่มประเทศผู้บริโภคน้ำมันจะร่วมมือกันรักษาความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานด้านราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องและมีราคาสมเหตุสมผล โดยกำหนดเป้าหมายราคาขั้นต่ำที่ ๖๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และให้กำลังการผลิตน้ำมันสูงขึ้นไปถึง ๑๐๐-๑๑๐ ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าน้ำมันจะไม่ขาดตลาด ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกะทรวงพลังงานและอุตสาหกรรมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานในมิติต่าง ๆ เช่น ปิโตรเลียม พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป และการหารือทวิภาคีกับประธานบริหารบริษัท CEPSA ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันเอกชนแบบครบวงจรของราชอาณาจักรสเปน โดยประธานบริหารบริษัท CEPSA ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานของบริษัท CEPSA ในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13365 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. .... | นร01 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนและที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจราชการและติดตามการปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และบรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การสรรหาที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ควรมีความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ รวมทั้งร่างระเบียบดังกล่าวควรกำหนดนิยามของที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนในการสะท้อนข้อเท็จจริงและประเด็นปัญหาในพื้นที่ได้อย่างสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส โดยในขั้นตอนการตรวจราชการในพื้นที่ ควรประมวลข้อมูลความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูล ความเห็น ข้อเท็จจริงจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างรอบด้านตามเจตนารมณ์ของการตรวจราชการ นอกจากนี้ การกำหนดให้ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนมีหน้าที่เข้าร่วมการตรวจราชการกับผู้ตรวจราชการภาคประชาชนอาจมีผลทำให้ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนที่ได้รับทราบข้อมูลบางประการที่เป็นความลับของทางราชการ จึงควรเพิ่มมาตรการรักษาความลับของทางราชการในหมวดที่ ๓ มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และจริยธรรมของที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนในร่างระเบียบดังกล่าว ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13366 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การพัฒนาวิทยาการและเทคโนโลยีข้อมูล (Data Science and Technology) เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม" ของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนาวิทยาการและเทคโนโลยีข้อมูล (Data Science and Technology) เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สรุปผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยมีความเห็นต่อข้อเสนอแนะว่า มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในด้านการบริหารจัดการงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมในสาขาเป้าหมาย และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และมีผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของทุกหน่วยงานเพื่อจัดทำเป็นภาพรวม ได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ www.codingthailand.org เพื่อสนับสนุนการพัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในการเรียนรู้ตรรกะการเขียนโปรแกรมและการใช้ข้อมูลขั้นพื้นฐานได้ด้วยตนเอง เป็นต้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ร่วมกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จัดทำรายงานเชิงลึก เรื่อง การพัฒนาเข้าสู่เศรษฐกิจฐานดิจิทัลของประเทศไทย (Insights on Digitalization of Thailand Industry White Paper) ได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนา ๓๙ แนวทาง ครอบคลุมถึงการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และทุนมนุษย์ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้วิทยาการข้อมูลเพื่อการบริหารและพัฒนาประเทศ เช่น คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านทรัพยากรน้ำและภูมิอากาศ จำนวน ๓๕ หน่วยงาน ปัจจุบันมีข้อมูลทั้งหมด ๓๘๘ รายการ ทั้งข้อมูลติดตามสภาพอากาศและข้อมูลติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤตอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13367 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีข้อสังเกตว่าการเพิ่มหน้าที่และอำนาจให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการซึ่งเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกานั้น คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมควรกำหนดจำนวนขั้นสูงของการจัดประชุมต่อเดือนไว้ให้ชัดเจน รวมทั้งควรกำหนดเบี้ยประชุมมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับภาพรวมของค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐด้วย ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้พิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้ยกร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่าด้วยเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่ในศาลฎีกาและศาลชั้นอุทธรณ์ พ.ศ. .... โดยพิจารณาถึงเนื้อหาของร่างระเบียบฯ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบ รวมถึงได้คำนึงถึงประเด็นตามข้อสังเกตดังกล่าวด้วยแล้ว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13368 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | รง | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13369 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และ ๒๕๕๘ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๑๒,๘๗๗.๑๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๘๒ ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ และรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒๓๑,๖๕๓.๙๘ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๙๒ ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายจากงบกลาง งบรายจ่ายอื่น และงบลงทุนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๓๗๕,๙๕๔.๑๑ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และ ๒๕๕๘ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒,๒๙๗,๗๓๓.๙๐ ล้านบาท สินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒๗๗,๔๓๔.๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๗๓ เป็นผลจากรายการส่วนทุนที่เพิ่มขึ้น การดำเนินงานประจำปีที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย การปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดระยะยาว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13370 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | นร09 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13371 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | นร09 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13372 | รายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วยการตรวจสอบการเงินและบัญชี การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และการตรวจสอบการดำเนินงาน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13373 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สม | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13374 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ปช | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้แก่ (๑) ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (๒) ข้อเสนอแนะต่อ สพฐ. และ (๓) ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการดำเนินมาตรการลดความไม่โปร่งใสในการรับนักเรียนอย่างจริงจัง ควบคู่กับการปรับเชิงระบบ/โครงสร้างในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพสถานศึกษาเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13375 | การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) นำเงินงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีที่คงเหลือ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ จำนวน ๔๐๐,๔๒๗,๐๓๗ บาท เพื่อดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร วงเงิน ๒๓๓,๒๕๓,๕๓๕ บาท (๒) โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน วงเงิน ๔๔,๗๘๕,๕๐๑ บาท (๓) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน วงเงิน ๘๖,๐๓๒,๖๘๗ บาท และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จำนวน ๓๖,๓๕๕,๓๑๔ บาท โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่ บจธ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการทั้ง ๔ โครงการ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบ รวมทั้งให้ บจธ. ประสานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อนำผลการดำเนินโครงการไปบรรจุไว้ในผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้วย ๒. ให้ บจธ. ประสานงานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ความต้องการรับความช่วยเหลือ พื้นที่ดำเนินการ เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศมากเกินไป ๓. ให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณ เช่น ผู้เข้าร่วมโครงการอาจมีสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าที่ดินที่มีลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว ดังนั้น ในการดำเนินโครงการ บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นที่จะต้องมีการยุบเลิกหน่วยงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งองค์กรใหม่ได้ทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ บจธ. ควรมีการกำหนดรายละเอียดวิธีการดำเนินโครงการให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13376 | ขอเสนอให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ | กษ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานกรรมการ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า มิติวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปลากัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว มิติด้านประโยชน์ใช้สอย ปลากัดไทยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยในหลายประการ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ ซึ่งนำไปสู่การนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงเพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้ และมิติด้านความเป็นเจ้าของและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ปลากัดไทย” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens) นั้น เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยมีต้นกำเนิดมาจากไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ จึงเห็นควรให้ใช้เหตุผลนี้ประกาศให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13377 | ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... | รง | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน การปิดงานและการนัดหยุดงาน คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เพิ่มบทบัญญัติให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ ตลอดจนปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13378 | ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร และการกำกับดูแลอาหาร โดยกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศทำหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร การผลิตเพื่อการส่งออก กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาอาหาร การดำเนินการกับอาหารหรือภาชนะบรรจุที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดหรืออายัดไว้ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กลไกในการพิจารณาอนุญาตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาอัตราโทษปรับให้มีความเหมาะสม และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตอาหารเพื่อส่งออกต้องจัดเก็บเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับข้อกำหนดของประเทศผู้ซื้อหรือผู้สั่งซื้อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั้น อาจเป็นการเพิ่มภาระของผู้ประกอบการในการจัดเก็บเอกสารดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และควรระบุคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตที่อาจยกเว้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13379 | โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาคสาขากันตัง (ควนกุน) | มท | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขากันตัง (ควนกุน) (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุน ๒๙,๕๗๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จำนวน ๕,๕๑๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๖,๖๗๑,๒๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่ได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปน.) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเข้มงวด (๒) ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. คำนึงถึงศักยภาพของแหล่งน้ำดิบในพื้นที่ให้เพียงพอต่อการใช้น้ำในอนาคต และ (๓) กปภ. ควรกำกับดูแลและบริหารโครงการฯ ให้สอดคล้องกับแผนงานที่กำหนดไว้ และควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เป็นกรณีเฉพาะราย ทั้งนี้ ในส่วนของการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13380 | โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) | มท | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟภ.) ยกเลิกการดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๐ และอนุมัติให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) วงเงินลงทุน ๒๒๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑๖๕ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๖ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. รวมถึงผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว และพิจารณาปรับสัดส่วนแหล่งเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ใช้เงินรายได้ของ กฟภ. เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมของสถานะทางการเงินของ กฟภ. พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ปฏิบัติตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนตามระเบียบดังกล่าว ให้ กฟภ. ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กฟภ. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กฟภ. ในคราวต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
.....