ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 666 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13301 - 13320 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13301 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เกี่ยวกับภาพรวมการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงาน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13302 | ร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๐ ในส่วนที่เกี่ยวกับบทนิยาม วัตถุประสงค์และลักษณะโครงสร้างองค์กร คุณสมบัติและจำนวนกรรมการ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกำหนดเพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีความคล่องตัวและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติให้รัฐพึงใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น และให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรเพิ่มเติมมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลของสมาชิกซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมทั้งกำหนดให้มีการทบทวนมาตรการดังกล่าวเมื่อมีความจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมรองรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยพิจารณาปรับโครงสร้างองค์กรและขยายขอบเขตหน้าที่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดให้เป็นองค์กรหลักในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดทำยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชนทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและการพัฒนาไปสู่การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทุกระดับ รวมทั้งเป็นกลไกร่วมกับภาครัฐในการติดตามการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13303 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล ที่จังหวัดลพบุรี | อก | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๗/๒๕๕๖ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล ที่จังหวัดลพบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบด้านคมนาคม ทั้งในเรื่องการปรับปรุงซ่อมแซมผิวจราจรหากชำรุด เสียหาย การปลูกต้นไม้เพิ่มเติม ๒ ข้างทางเพื่อลดฝุ่นละออง และการติดตั้งไฟสัญญาณจราจร อาจส่งผลกระทบในทางปฏิบัติโดยตรงกับทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ จึงขอให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาตำบล หารือกับกรมทางหลวงในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้มีความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรมต่อไป รวมทั้งควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งเกี่ยวกับการจัดทำแผนงานโครงการตรวจสุขภาพประชาชน กิจกรรมการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ สถานการณ์ป่าต้นน้ำและระบบนิเวศมีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ ในขณะที่การผลิตปูนซีเมนต์ได้ส่งผลกระทบกับป่าต้นน้ำโดยตรง ดังนั้น ในอนาคตควรพิจารณาศึกษาทางเลือกประกอบการตัดสินใจที่เหมาะสมในภาพรวม เช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (SEA) ของเหมืองแร่และอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์อย่างเร่งด่วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13304 | มาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนและเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานกลไกหลักในการบริหารจัดการแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ทุกระดับ พิจารณามอบหมายจังหวัดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อสนับสนุนการผลักดันและขับเคลื่อนการส่งเสริมและคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้า GI ไทยอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า GI ควรพิจารณาแนวคิดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนควบคู่กับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ซึ่งจะสนับสนุนการยกระดับสินค้า GI ของไทยในตลาดโลก และควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการระดับจังหวัดให้ครอบคลุมผู้แทนจากภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เป็นต้น หรือพิจารณาใช้กลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัด (คณะกรรมการ กรอ. จังหวัด) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยอาจปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการ กรอ. จังหวัด เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการส่งเสริมการพัฒนาสินค้า GI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ทุกจังหวัดควรมีการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดและแนวทางการพัฒนาสินค้า GI ให้อยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์จังหวัด ตลอดจนขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13305 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญ ได้แก่ (๑) คำสั่ง กพย. ที่ ๑/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (๒) คำสั่ง กพย. ที่ ๑/๒๕๖๑ เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (๓) รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ ๔ คณะ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐-กันยายน ๒๕๖๑ ได้แก่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะอนุกรรมการส่งเสริมความเข้าใจและประเมินผลการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และคณะอนุกรรมการการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (๔) การประชุม High-Level Political Forum (HLPF) on Sustainable Development 2018 and High-level Segment of ECOSOC ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (๕) การผลักดัน SEA มาใช้กับการวางแผนพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม (๖) รายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการขับเคลื่อน SDGs ทุก ๆ ๖ เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐ และมกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๑ (๗) แนวทางการขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นที่ : การจัดกลุ่มจังหวัดเพื่อขับเคลื่อน SDGs (๘) แนวทางการเพิ่มอันดับความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อบรรลุ SDGs ของประเทศไทยในเวทีโลก (๙) การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการปรับปรุงหน่วยงานรับผิดชอบหลักของเป้าหมายที่ ๖ การสร้างหลักประกันให้มีน้ำใช้และมีการบริหารจัดการน้ำและการสุขาภิบาลอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน และ (๑๐) เรื่องอื่น ๆ : การสร้างการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน SDGs ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13306 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และ 1 บีอาร์ เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี และ ๑ บีอาร์ เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๕/๒๕๕๗ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเฝ้าระวังด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง ระดับเสียง และแรงสั่นสะเทือนจากการทำเหมือง การพิจารณาศึกษาทางเลือกประกอบการตัดสินใจที่เหมาะสมในภาพรวม เช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อประเมินทางเลือกที่เหมาะสมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การวางแผนบริหารจัดการแร่ในภาพรวมทั้งเชิงพื้นที่และรายชนิดแร่ โดยจำแนกเขตพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองได้ การประเมินคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ การประเมินสถานการณ์และพิจารณาขีดจำกัด และความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อการทำเหมืองในภาพรวมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และกำหนดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองบนพื้นฐานศักยภาพแร่และการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างเหมาะสมและยั่งยืน เป็นต้น นอกจากนี้ การขนส่งแร่อาจมีผลกระทบในระยะยาวต่อทางหลวงในบริเวณโดยรอบโครงการ เช่น ทางหลวงหมายเลข ๔๐๓ และทางหลวงหมายเลข ๔๒๓๘ รวมถึงบริเวณจุดเชื่อมต่อจากถนนท้องถิ่นเข้าสู่ทางหลวง อาจเป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงควรให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ หารือแนวทางลดผลกระทบดังกล่าวร่วมกับกรมทางหลวงต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13307 | รายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่รายงานฯ เป็นครั้งแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศนอกสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกช่องทาง นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภคให้ทราบถึงความเสี่ยงของการบริโภคสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากแหล่งต่าง ๆ ที่ระบุในรายงานฯ โดยมิได้มีมาตรการลงโทษหรือเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษี ทั้งนี้ รายงานฯ มีการระบุรายชื่อของตลาดขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่รวมถึงตลาดสินค้าและตลาดขายสินค้าออนไลน์ของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศและกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ๒. ให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในสถานที่จำหน่ายและเว็ปไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งตัดช่องทางการลำเลียงสินค้าละเมิด ตลอดจนประสานองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของหรือกำกับดูแลพื้นที่และเว็บไซต์ที่ถูกระบุในรายงานฯ เพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น ควรใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ถูกระบุในรายงานฯ อย่างจริงจัง ควรให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังพื้นที่และเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งมีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ไม่ถูกระบุไว้ในรายงานฯ ควบคู่กับการรณรงค์สร้างความตระหนักในทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหลีกเลี่ยงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ควรจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นนายทุนที่อยู่เบื้องต้นเพื่อตัดวงจรการประกอบอาชญากรรม และควรมีการพิจารณามาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเทคนิค (Technical Solutions) สำหรับตลาดสินค้าออนไลน์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเป็นการป้องกันการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized use) โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13308 | การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากเดิม นายประลอง ดำรงค์ไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็น นายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๗๐/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒ เรื่อง แต่งตั้งโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13309 | ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ และการเบิกจ่ายเงินกู้ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ เห็นควรให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานเจ้าของโครงการหรือจากแหล่งอื่น เพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ของกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทางหลวง กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๗๙.๐๗ ล้านบาท โดยในการยกเลิกสัญญาขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการ และดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยกเลิกโครงการต้องคืนเงินที่ได้เบิกไปแล้ว ขอให้เร่งดำเนินการและแจ้งผลการคืนเงินดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทุกเดือน ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ความคุ้มค่าทั้งในมิติสังคมและเศรษฐกิจ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดทำมาตรการเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้กรมทางหลวงตรวจสอบโครงการประเภทต่าง ๆ ว่า เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือไม่ และควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่หรือลดข้อขัดแย้งจากการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. เห็นชอบเป็นหลักการว่า ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ เมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ และมีเงินคงเหลือจากการดำเนินงาน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นำเงินที่เหลือในบัญชีดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13310 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑,๗๔๐.๖๐ ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จำนวน ๑๖๔.๒๕ ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจำนวน ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ และส่วนที่ ๒ (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙-๒๕๖๑ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง ตลอดจนการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัย และการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13311 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ (Tier 1) และส่วนที่ ๒ (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคต โดยส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากการประกันภัยของเกษตรกรร่วมจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น โดยทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันด้วย และในระยะต่อไปหากระบบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยเองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ตลอดจนการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13312 | ผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 | วท | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและได้พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบดาวเทียมนำทาง (Global Navigation Satellite System : GNSS) ของประเทศ (๒) โครงการสำรวจความสูงภูมิประเทศของประเทศไทยด้วยแสงเลเซอร์ (LiDAR) (๓) โครงการกราด (scan) ฟิล์มภาพถ่ายทางอากาศเป็นข้อมูลเชิงเลข เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (๔) โครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศสถิติ (NSO-GIS) (๕) โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และ (๖) โครงการจัดทำข้อมูลแนวเขตการปกครองระดับหมู่บ้านมาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13313 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 (25th ALMM) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | รง | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ (25th ASEAN Labour Ministers Meeting : the 25th ALMM) และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ (The 10th ALMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “การส่งเสริมงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและทุกคนมีส่วนร่วมในประชาคมอาเซียน” ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเร่งส่งเสริมให้แรงงานมีความพร้อม มีทักษะ และมีขีดความสามารถในการปรับตัวควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่สำคัญ เช่น ขอบเขตอำนาจหน้าที่รัฐมนตรีอาเซียน (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนให้มีแนวปฏิบัติเป็นมาตรฐานสากล และแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ซึ่งเป็นเอกสารสรุปผลการประชุม ความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเอกสารผลลัพธ์ต่าง ๆ และการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมการขับเคลื่อนงานด้านแรงงาน เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศในการส่งเสริมงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ และการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งได้รับทราบและชื่นชมผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การให้บริการจัดหางาน และระบบประกันสังคมและประกันการจ้างงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13314 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนบ้านฮวก) | กค | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดด่านพรมแดนเพิ่มเติม ในลำดับที่ ๗ จังหวัดเชียงราย คือ ด่านพรมแดนบ้านฮวก ตั้งอยู่บริเวณบ้านฮวก หมู่ที่ ๑๒ ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา รวมทั้งกำหนดให้บริเวณบ้านฮวกดังกล่าวเป็นเขตศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวกตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง การเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13315 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "มาตรฐานสถานรับดูแลผู้สูงอายุ" ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “มาตรฐานสถานรับดูแลผู้สูงอายุ” โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รวบรวมผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยมีผลการดำเนินการรวม ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านนโยบาย เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุได้กำหนดมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุเพื่อเป็นมาตรฐานกลางของประเทศ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานสถานดูแลผู้สูงอายุ ส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานผู้ดูแลผู้สูงอายุ และกรมอนามัยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น (๒) ด้านกฎหมาย เช่น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ขณะนี้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี สำหรับการจัดเก็บภาษีจากค่าบริการดูแลผู้สูงอายุจากชาวต่างชาติในอัตราสูงกว่าคนไทย กระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สามารถปฏิบัติได้ในระดับรัฐบาลกลาง เนื่องจากขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีอากร และ (๓) ด้านการปฏิบัติการ เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุได้อาศัยกลไกคณะอนุกรรมการบูรณาการจัดทำมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยทบทวนกิจการการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยเพื่อหามาตรการกำกับดูแลก่อนที่กฎกระทรวงฯ มีผลใช้บังคับ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13316 | การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง | นร09 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคม รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลุ่มภารกิจให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง และการปรับปรุงโครงสร้างของกรมการบินพลเรือน และจัดตั้งเป็นกรมท่าอากาศยาน และเป็นการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและกรมการขนส่งทางรางให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางดังกล่าว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำร่างกฎกระทรวงตาม (๑) เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และส่งร่างกฎกระทรวงตาม (๒) และ (๓) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาลงนาม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการลงนามเมื่อร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๒ (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างกรมการขนส่งทางรางกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อให้การพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงกับการขนส่งระบบอื่น และการสรรหาบุคลากรในกรมการขนส่งทางราง ควรเน้นการคัดเลือกบุคลากรที่มีองค์ความรู้ตามภารกิจที่กำหนด ซึ่งจำเป็นต้องมีความชำนาญสูง นอกจากนี้ ภารกิจการออกใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางรางของกองกำกับกิจการขนส่งทางราง ควรพิจารณาให้มีกลไกการกำกับดูแลและอำนาจในการลงโทษ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13317 | ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง สถานการณ์คนต่างด้าวในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สถานการณ์คนต่างด้าวในประเทศไทย โดยกระทรวงแรงงานได้รวบรวมผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในบางส่วนแล้ว เช่น กรณีส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กระทรวงแรงงานได้ประชุมระดับวิชาการระหว่างประเทศเพื่อหารือการนำเข้าแรงงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐ (MOU) ตามที่ประเทศไทยได้มีการลงนามกับประเทศต้นทาง (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) กรณีพิจารณาจำกัดโควตาเรือขนาดใหญ่ซึ่งลูกเรือเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานต่างด้าวให้มีจำนวนเรือสมดุลกับทรัพยากรในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน คงเรือประมงขนาดเล็กต่ำกว่า ๓๐ ตันกรอสส์แทน กรมประมงได้กำหนดให้เรือประมงแต่ละลำสามารถทำการประมงได้ทั้งปี โดยคงเรือขนาดน้อยกว่า ๓๐ ตันกรอสส์ ส่วนกรณีพิจารณาจำกัดขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขแก่คนต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดขั้นตอนการรับบริการไว้อย่างชัดเจน โดยคนต่างด้าวต้องเข้าสู่การบริการสุขภาพตามระบบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และกรณีพิจารณาทบทวนการให้สถานะบุคคลและสัญชาติแก่ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ ๑๙ กลุ่ม (Set Zero) เพื่อให้เกิดความภูมิใจในความเป็นคนไทย กระทรวงมหาดไทยได้คำนึงถึงหลักความมั่นคงของประเทศควบคู่กับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างสมดุล ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ โดยได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13318 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | กษ | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรพร้อมอาคารประกอบตามโครงการประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13319 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ได้แก่ (๑) การเร่งรัดให้มีการแต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เตรียมกระบวนการในการสรรหา แต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว (๒) การเร่งรัดการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ และให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปด้านกฎหมาย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือกรอบการดำเนินการบริหารภายในของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไว้แล้ว และ (๓) การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขแนวทางปฏิบัติ หรือรายละเอียดการปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติประจำปีที่จัดทำไว้เดิมให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มีการแก้ไข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดแนวทางดำเนินการไว้ ๒ แนวทาง คือ เมื่ออยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ ให้หน่วยงานดำเนินการตามแผนประจำปีเดิมที่กำหนดไว้ และเมื่อแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ เสร็จแล้ว ให้หน่วยงานดำเนินการปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับแก้ไข โดยกรอบวงเงินงบประมาณจะต้องไม่เกินจากกรอบเดิม เพื่อไม่ให้กระทบต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้จัดสรรไว้ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13320 | ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ระยะที่ 2 | ปช | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ ๒ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ได้แก่ ให้สำนักงาน ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนน CPI และให้สำนักงาน ป.ป.ท. ประสานกับหน่วยงานภาคเอกชนหรือมูลนิธิที่มีความพร้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคส่วนต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับค่าคะแนน CPI ๑.๒ ข้อเสนอต่อรัฐบาล เช่น รัฐบาลควรมอบหมายหน่วยงานหลักและหน่วยงานรองเพื่อรับผิดชอบการยกระดับค่าคะแนน CPI ในทุกแหล่งข้อมูล รัฐบาลต้องนำแผนปฏิรูปประเทศ ๑๑ ด้าน ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดให้มีกลไกการคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริต (Whistleblower) เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น (๑) ประเด็นการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า สำนักงาน ป.ป.ท. ควรเป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนการยกระดับคะแนน CPI ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และควรกำหนดหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบแผนปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน เพื่อดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และ (๒) ประเด็นการสนับสนุนงบประมาณและการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มเติม สำนักงบประมาณเห็นว่า สำนักงาน ป.ป.ท. ควรพิจารณาปรับปรุงบทบาท ภารกิจ โครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนของภารกิจและก่อให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายเกินความจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....