ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 403 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8041 - 8060 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8041 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน : คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2564 พ.ศ. .... | อก. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. ๑๑๙๕-๒๕๖๑
ซึ่งเป็นการรับมาตรฐานระหว่างประเทศ IEC 60065
Edition 7.2 (2011-02)
มาใช้โดยวิธีแปลในระดับเหมือนกันทุกประการ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา IEC 62368
ขึ้นใช้แทนแล้ว IEC 60065 จึงไม่มีความทันสมัย
ไม่ทันต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8042 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2564 | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑)
โครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามมาตรการที่ ๑
โดยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จำนวน ๒,๐๐๐ บาทต่อคน ในภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๖๔ กรอบวงเงิน ๒๑,๙๐๕.๙๒๐๐ ล้านบาท (๒)
ให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ (๓) ให้สถานศึกษาของรัฐ
เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ตามระเบียบของทางราชการ (๔) โครงการตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต
นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในภาครัฐและเอกชน ของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรอบวงเงิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท (๕) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน
รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในภาพรวม
โดยรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องในลักษณะมุ่งเป้า
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8043 | ร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง | กต. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้เ ๑.
เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศในกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง
ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
การฟื้นฟูหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง
โดยไม่มีการลงนามร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8044 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑) ตระหนักถึงความท้าทายระดับโลกในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(โควิด-๑๙) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคเพื่อรับมือผลกระทบดังกล่าว
๒) ยินดีต่อผลการดำเนินงานของคณะทำงานแต่ละสาขาในปี ๒๕๖๔
และความสำเร็จของการประชุมคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมครั้งแรก ๓)
แนวทางของแต่ละสาขาความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานของ IMT-GT ในระยะต่อไป
โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ในการดำเนินงาน ๔)
รับทราบถึงการดำเนินงานระยะสุดท้ายของเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT (UNITED) ตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๕ ปี พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๖๕ ๕)
ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทของสภาธุรกิจในฐานะกลไกขับเคลื่อนสำคัญของ IMT-GT ๖)
ยืนยันที่จะพัฒนาความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่อไป
รวมทั้งยินดีสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาใหม่ ๆ
เพื่อขยายขอบเขตสาขาความร่วมมือกับ IMT-GT
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๗
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8045 | มาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019
เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติต่าง ๆ
รวมถึงผลกระทบของประชาชนจากการติดต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
โดยในส่วนของการขยายเวลาการต่ออายุใบอนุญาต การแจ้ง
การชำระภาษีหรือเงินอื่นใดที่บุคคลต้องชำระให้แก่หน่วยงานของรัฐ
ให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณากำหนดระยะเวลาได้เองภายในกรอบของกฎหมายตามความจำเป็นเหมาะสม
แล้วให้หน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาดังกล่าว ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร.
โดยด่วน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตหรือรับแจ้งรับไปพิจารณากฎหมายที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะกฎหมายลำดับรอง และเร่งดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องกับข้อเสนอสำนักงาน
ก.พ.ร. ด้วย และแจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว
เร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ให้ประชาชนได้รับทราบมาตรการที่เสนอ
เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8046 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | กค. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ซึ่งมีแนวทางการช่วยเหลือ ๔
แนวทาง ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือโดยการหักกลบจำนวนค่าปรับ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจที่จะพิจารณาการงด หรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาหรือการขยายเวลาการทำสัญญา
ตามพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๑๐๒ วรรคหนึ่ง การนำเงินงบประมาณหรือเงินอื่นมาจ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
การกำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ ๐ ทั้งนี้ การคิดค่าปรับในอัตราร้อยละ ๐
ให้คิดตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓
จนถึงก่อนวันที่มีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงทั่วราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้พิจารณางดหรือลดปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง
ก็ให้นำจำนวนวันดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนวันตามมาตรการนี้ และจำนวนที่เหลือ
ให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ ๐ สำหรับค่าปรับส่วนที่เกินจำนวนวันตามมาตรการนี้
ให้คิดในอัตราที่กำหนดในสัญญาหรือข้อตกลงตามปกติ โดยให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๘๓ ต่อไป ตามที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8047 | บันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น กระทรวงกิจการภายใน และการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจการค้า และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ | สธ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น
กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข
แรงงานและสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า
และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ
กรุงโตเกียว หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ โดยบันทึกความร่วมมือฯ
จะลงนามในรูปแบบทางไกล โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
และเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น
(High Level Joint Commission : HLJC ครั้งที่ ๕ มีสาระสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในด้านการดูแลสุขภาพ
ได้แก่ การให้บริการด้านการแพทย์ การฟื้นฟูสมรรถภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
วัคซีน และอุปกรณ์การแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การประกันสุขภาพถ้วนหน้า
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8048 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม | อว. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม
(โครงการอบรมฯ) ภายในกรอบวงเงิน ๔๐๗,๒๒๙,๕๘๕ บาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑)
เพื่ออบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์
ด้านประมง สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พืชและเห็ดเศรษฐกิจ
หมอดิน New Normal และพืชสมุนไพร (๒) เพื่อรองรับแรงงานคืนถิ่น พลิกฟื้นอาชีพด้านเกษตรกรรมด้วยศาสตร์พระราชา
เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
รวมถึงวิกฤตของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นทางรอดและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชน (๓)
เพื่อสร้างต้นแบบเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม
กลุ่มเป้าหมาย เครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นทั่วทุกภาคของประเทศ จำนวน ๒,๕๗๔ กลุ่ม ประมาณ ๒๕,๗๔๐
ราย ดำเนินการโดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมและส่งเสริมการพัฒนาอาชีพด้านต่าง ๆ
ตามวัตุประสงค์ และระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕
(เริ่มเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดการอบรม สัมมนา
หรือการประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
และควรร่วมมือกับหน่วยงานในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการเกษตร
รวมถึงการพัฒนาเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนอยู่แล้ว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8049 | ขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบอันเนื่องมาจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 30) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงานดำเนินการจัดทำรายละเอียด โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน ๖๕ ปี
ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน มาตรา ๔๐ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ฉบับแก้ไข โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลการจดทะเบียนอนุญาตผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างเหมาะสม
และสามารถยืนยันตัวตน ตรวจสอบได้
และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
โดยให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์
รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจ และคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม
เป็นธรรม อย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานประกันสังคม ติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่ผลการดำเนินการฯ
ให้ประชาชนรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง เป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8050 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในประเด็นสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาล ของ อ.ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ และ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในประเด็นสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-๑๙ ของรัฐบาล
ของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ และคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
(ค.ต.ป.) ประจำกระทรวง และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง
ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ โดยให้รัฐมนตรี
หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม จังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการ
พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการต่าง
ๆ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเสนอ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการพัฒนาฐานข้อมูลโครงการในพื้นที่
และเปิดให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงได้โดยสะดวก
ลดความซ้ำซ้อนและส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดโครงการ สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
และใช้โครงสร้างพื้นฐานในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุน
โดยเฉพาะการลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม สร้างการรับรู้
ความเข้าใจในการดำเนินงานของ ค.ต.ป. ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ควรเร่งดำเนินการและให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8051 | ขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน “โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” | พม. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ
(เทพารักษ์ ๔) จำนวน ๔๕ หน่วย เพื่อจัดทำโครงการอาคารต้นแบบของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม
จำนวน ๑ อาคาร เพื่อเป็นอาคารเช่าสำหรับผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ ลูกจ้าง
พนักงานของรัฐ โดยใช้ทรัพย์สินรอการพัฒนา (Sunk Cost) และเพิ่มกรอบงบลงทุน
“โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” จำนวน ๑๑ ล้านบาท เพื่อการดำเนินงานปกติ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ ในการปรับปรุงอาคารต้นแบบของโครงการบ้านสุขเกษม (บ้านผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ)
โดยเพิ่มวงเงินการดำเนินการและวงเงินเบิกจ่ายจากแหล่งเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปี ๒๕๖๔
จำนวนเดียวกัน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(การเคหะแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข
ที่เห็นว่าให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ และการประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ต่อไป และหากมีการสำรวจกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเช่าระยะยาว
ควรพิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม ให้ครอบคลุมถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้
ให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการ โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการให้ชัดเจน
โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองก่อนเป็นลำดับแรก
รวมทั้งให้กำหนดรูปแบบและจำนวนการสร้างที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าห
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8052 | รายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะด้านงบประมาณ | ดศ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะงบประมาณ เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการดังกล่าว
และข้อมูลค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดงาน World Expo
2020 Dubai ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-๑๙
เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบแนวปฏิบัติของเจ้าภาพ
และสอดคล้องกับกำหนดการจัดงานใหม่ซึ่งมีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพิ่มอีก
๓๕๔ วัน
โดยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นแผนงานที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๑,๑๑๑,๘๕๐ บาท
และแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมพิเศษเพื่อแสดงศักยภาพประเทศไทย
โดยหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ (๑) กรมส่งเสริมการเกษตร กะทรวงเกษตรและสหกรณ์ (๒)
กระทรวงวัฒนธรรม และ (๓) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าควรดำเนินการติดตั้งระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ภายในอาคารแสดงประเทศไทย งาน World
Expo 2020 Dubai ในรูปแบบเสมือนจริงเห็นครบทุกมุมมอง
(Virtual Reality) ผ่านออนไลน์ เพื่อให้ผู้ชมงานทั่วโลก สามารถเข้าชมงานได้อย่างทั่วถึง
ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในงานได้อย่างเต็มประสิทธิผลและคุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่ได้ลงทุน
และให้ดำเนินการต่อรองค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าดูแลรักษาอาคาร
ค่ารักษาความปลอดภัย เป็นต้น กับประเทศเจ้าภาพและผู้ให้บริการที่ Expo
เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในห้วงระยะเวลาที่มีการเลื่อนกำหนดจัดงานในโอกาสแรก
ตลอดจนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมกิจกรรมพิเศษจากแหล่งเงินอื่น เช่น
เงินรายได้ หรือภาคเอกชนสมทบ รวมถึงการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์ที่จะได้รับอย่างสมเหตุสมผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8053 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | อว. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเพชรบูรณ์
พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8054 | การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายชื่องานบริการ Agenda จำนวน ๑๒ งานบริการ และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ของส่วนราชการที่ได้รับมอบหมาย และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณางานบริการ Agenda และงานบริการรายส่วนราชการเพิ่มเติม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องสนับสนุนองค์ความรู้ในการพัฒนา e-Service ให้กับส่วนราชการควบคู่กันไปด้วยทั้งในด้านวิชาการและเทคนิค
งบประมาณและกฎหมายที่อาจยังไม่เอื้อต่อการพัฒนา e-Service ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนงานบริการที่จะกำหนดเป็นตัวชี้วัดในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ควรเป็นงานบริการที่สามารถดำเนินงานได้ครบตามระดับพัฒนา e-Service ทั้ง ๓ ระดับ คือ L1 (สะดวกยื่น) L2 (สะดวกใช้) L3 (สะดวกรับ)
และพิจารณาความพร้อมของหน่วยงาน งบประมาณ รวมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายด้วย ควรดำเนินการร่วมกับส่วนราชการในการสำรวจคามต้องการของประชาชนหรือกลุ่มผู้รับบริการ
การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ส่วนราชการ
ทั้งด้านวิชาการและด้านเทคนิคในการออกแบบหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น e-Service และการปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
และควรคำนึงถึงประเด็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการและเข้าถึงข้อมูลและรับบริการจากภาครัฐได้โดยง่าย
สะดวก รวดเร็ว และหลากหลายช่องทางยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งพิจารณากำหนดประเภทและจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของงานบริการประชาชนที่ส่วนราชการควรดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่อไป
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
โดยยึดแนวทางการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service-FVS) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก และเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ [เรื่อง
แนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล
(Face Verification Service-FVS)] ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8055 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. .... | ยธ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. ๑๑๙๕-๒๕๖๑
ซึ่งเป็นการรับมาตรฐานระหว่างประเทศ IEC 60065
Edition 7.2 (2011-02)
มาใช้โดยวิธีแปลในระดับเหมือนกันทุกประการ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา IEC 62368
ขึ้นใช้แทนแล้ว IEC 60065 จึงไม่มีความทันสมัย
ไม่ทันต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8056 | ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... | ดศ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการให้มีความชัดเจนสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
สังคม และเทคโนโลยีการให้บริการของผู้ให้บริการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าควรจะกำหนดเงื่อนเวลาในการบังคับใช้ให้มีผลบังคับใช้ในอนาคตหรือการเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อให้ผู้ให้บริการรายเดิมและผู้ให้บริการรายใหม่มีระยะเวลาในการปรับปรุงวิธีการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับร่างประกาศดังกล่าวด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8057 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง บทบาทและทิศทางการประกันภัยและนัยเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง วุฒิสภา | สว. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง บทบาทและทิศทางการประกันภัยและนัยเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบูรณาการเชิงนโยบายภาครัฐในด้านการบริหารความเสี่ยงของภาคเกษตรกรรมผ่านระบบประกันภัย
การยกระดับมาตรฐานการประกันสุขภาพและการออมผ่านระบบประกันภัยให้สอดคล้องกับสังคมผู้สูงอายุ
ปรับปรุงกฎเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเทคโนโลยีประกันภัย
เช่น ศึกษากฎหมายประกันภัยทางด้านเกษตรกรรม
และยกร่างกฎหมายการประกันภัยทางด้านเกษตรกรรม
เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ทั้งสถานการณ์โรคระบาด
หรือภัยธรรมชาติ ศึกษากฎหมายประกันสุขภาพ รูปแบบการประกันสุขภาพ
เพื่อพัฒนากฎหมายแม่บทที่เกี่ยวกับการประกันสุขภาพ
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัยเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจประกันภัยขับเคลื่อนธุรกิจสู่
Digital Transformation เพื่อให้อุตสาหกรรมประกันภัยของไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัยและรูปแบบในการกำกับดูแลที่รองรับการดำเนินธุรกิจประกันภัย
และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในช่องทางการเสนอขายและให้บริการ
โดยการเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และมีแพลตฟอร์มกลาง
หรือตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างธุรกิจประกันภัย เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8058 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการอัยการ | อส. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการอัยการ จำนวน ๒๐ คัน
อัตราค่าเช่าคันละ ๔๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน
ระยะเวลา ๕ ปี (๖๐ เดือน) ตั้งแต่ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ถึงปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
สำหรับรายละเอียดงบประมาณในการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามความเห็นชอบของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๒๗/๕๙๔ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
โดยค่าเช่าในปี ๒๕๖๔ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่ได้รับการจัดสรรภายใต้แผนงานพื้นฐาน ด้วยการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
และสำนักงานอัยการสูงสุดควรคำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาที่คงเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8059 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | ดศ. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๑)
เรื่องเพื่อทราบ (จำนวน ๔ เรื่อง) เช่น รายงานความก้าวหน้า/ผลการดำเนินงานของดาวเทียม
การดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศใหม่ในประเทศไทย
และการใช้งานระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมของกระทรวงกลาโหม และ ๒)
เรื่องเพื่อพิจารณา (จำนวน ๓ เรื่อง) เช่น
การแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวังและบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ
และแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ
ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8060 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสี พ.ศ. .... | อว. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการอนุญาตเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสี พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต
และการต่ออายุใบอนุญาตสำหรับเครื่องกำเนิดรังสี แต่ละประเภท ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|