ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 405 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8081 - 8100 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8081 | การแต่งตั้งคณะผู้แทนไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 | ดศ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑.
เห็นชอบเอกสารกรอบท่าทีของประเทศไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์
(Universal Postal Union : UPU) สมัยที่ ๒๗ รวมถึงร่างข้อสงวนต่อกรรมสารสุดท้าย และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม
ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ๑.๒. มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปรายลงมติและลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์
สมัยที่ ๒๗ ๑.๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน
(Credentials) โดยมอบอำอาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เกี่ยวกับเอกสารที่รับรองในที่ประชุม รวมถึงกรรมสารสุดท้าย หากได้รับการลงนามเห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการ
มีหนังสือหรือตราสารแจ้งการเห็นชอบ (Notice/Instrument of Approval) รวมทั้งให้สัตยาบันต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ
UPU ต่อไปในภายหลัง ทั้งนี้เป็นไปตามธรรมนูญฯ ข้อ ๒๕ และ ๓๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมการประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๗ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ หากในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ดังกล่าวจะมีการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกก็จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา
๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
และหากความตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8082 | ขออนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | พม. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน
๓,๔๙๓,๑๙๑,๑๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8083 | เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน | สม. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา
และประชาชน
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางฯ
ดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี
โดยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อคงไว้ด้วยความสงบเรียบร้อยของสังคมและประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติในภาพรวม
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นว่าควรให้ข้อมูลการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบริหารจัดการการชุมนุม
ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับทราบ
เพื่อนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้านและควรดำเนินการผ่านกระบวนการของรัฐสภา
ควรสร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองฯ
ควรได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามมาตรการหรือแนวทางดังกล่าว การดำเนินการตามมาตรการต่าง
ๆ ในการดูแลการชุมนุมที่มีการละเมิดกฎหมาย
จะเป็นไปตามสมควรแก่เหตุและยุทธวิธีการใช้กำลังเท่าที่จำเป็นของสถานการณ์ตามหลักสัดส่วน
ให้หน่วยงานของรัฐอาจนำหลักการสำคัญสำหรับการบริหารจัดการการชุมนุมอย่างเหมาะสม ๑๐
ประการ มาปรับใช้ภายใต้บริบททางกฎหมายและสังคมของประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาถึงลักษณะธรรมชาติและการชุมนุมที่เกิดขึ้น
สนับสนุนให้รัฐบาลจัดให้มีเวทีหารือร่วมกับประชาชนเพื่อยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี
รวมถึงมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความสมดุล ความเป็นกลาง
ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
และการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่จะได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8084 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 3 | กค. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่
ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๔๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑,๗๙๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม คงเดิม ๑,๕๒๖,๕๖๔.๑๗ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ คงเดิม ๓๘๗,๘๖๐.๗๒
ล้านบาท การบรรจุรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ครั้งที่
๓ จำนวน ๑ รายการ และการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ มาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ และมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเกิดประสิทธิผลต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น
ๆ
และรัฐบาลควรเร่งพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุขและการเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
พร้อมทั้งเตรียมการออกมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับศักยภาพการผลิตและการแข่งขันของประเทศไปพร้อมกัน
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนการกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(Gross Domestic Product : GDP) ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้จ่ายและการลงทุนของประเทศ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8085 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายดนุช ตันเทอดทิตย์) | นร.04 | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายดนุช ตันเทอดทิตย์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8086 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน พ.ศ. .... | มท. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งสถานประกอบกิจการสมควรจะต้องมีระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการทบทวนปรับปรุง แก้ไขอย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้ลูกจ้างมีความปลอดภัยในการทำงานยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรมีความครอบคลุมเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่มีองค์ประกอบอย่างน้อย คือ นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน โครงสร้างการบริหารระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน ควรแก้ไขร่างข้อ ๗ เป็น “ข้อ ๗ ให้นายจ้างจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดการให้มีระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานเก็บไว้ในสถานประกอบกิจการให้เป็นปัจจุบัน และพร้อมให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้” พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำนิยามคำว่า “ระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน” ขอแก้ไขเป็น “ระบบการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” และควรเพิ่มความหมายให้ครอบคลุมคำนิยามโดยพิจารณาเพิ่มเติมข้อความให้ชัดเจนมากขึ้น และการจัดทำเอกสารตามร่างข้อ ๗ ควรมีการระบุระยะเวลาการจัดเก็บเอกสาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการและควบคุมเอกสาร รวมทั้งควรมีการทบทวนสถานประกอบกิจการตามบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8087 | แนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service - FVS) | ดศ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล
(Face Verification Service-FVS) และอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการพัฒนาและจัดให้มีระบบ
FVS และดำเนินการให้บริการกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบ FVS มีความมั่นคงปลอดภัย น่าเชื่อถือ ตลอดจนสอดคล้องตามกฎหมาย หลักเกณฑ์
และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงมหาดไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและจัดทำระบบ FVS
รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดเพื่อการบริหารงานและการให้บริการ
และให้กระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แล้วแต่กรณี
รายงานการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในส่วนของการพัฒนาระบบ
Digital ID ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดจัดทำแผนงานหรือโครงการตามแนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service-FVS) ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ แล้วดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ควรเร่งจัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินงาเพื่อพัฒนาระบบ FVS อย่างครอบคลุม ระบบ FVS ควรได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพความถูกต้องแม่นยำอย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ยึดติตกับผู้ให้บริการหรือเทคโนโลยีใดเป็นการเฉพาะ การพัฒนาระบบ FVS ควรเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการบูรณาการการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัลของทุกหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้
เพื่อให้การพัฒนาระบบฯ ในภาพรวมของประเทศสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวมาใช้ประกอบการดำเนินการตามแนวทางฯ
ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอในครั้งนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8088 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตรในคณะกรรมการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (นางสาวศิริพร บุญชู) | กษ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นางสาวศิริพร บุญชู เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเกษตร) ในคณะกรรมการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง
เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8089 | กรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition Arrangements: AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข | อก. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน
(ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition
Arrangements : AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน ฉบับปี ๒๕๔๑ ให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรับรอง
หรือยอมรับผลของกระบวนการตรวจสอบและรับรองที่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขา
และจะนำไปใช้กับข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขาสำหรับทุกผลิตภัณฑ์
ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยครอบคลุม ๕ สาขา ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
รวมถึงสาขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว และเมื่อลงนามแล้ว
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งกรอบความตกลงฯ ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powres) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘
(เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรเร่งดำเนินการสร้างความรับรู้ให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบกรอบความตกลงฯ
ที่จะมีการบังคับใช้ในอนาคต
ควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและเร่งพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการในส่วนของการทดสอบมาตรฐานและพัฒนาบุคลากรสำหรับการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานให้เพียงพอ
เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเชื่อมั่นของสินค้าไทยกับผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8090 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... | คค. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางของประเทศ เพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจการขนส่งทางรางให้สามารถยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมขนส่งทางรางและการบริหารจัดการการขนส่งทางรางอย่างเป็นระบบ
สอดคล้องกับการพัฒนาการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ ให้เป็นโครงข่ายเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ตามความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานศาลยุติธรรม
เช่น ควรให้มีการพิจารณาบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฯ
ในรายละเอียดที่ชัดเจนและคำนึงถึงการแบ่งแยกบทบาทหน่วยงานต่าง ๆ ในกิจการขนส่งทางราง
ความสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดให้มีระบบการรายงาน
การติดตามและประเมินผลผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนการพัฒนาขนส่งทางราง
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วนทุกมิติ คำนึงถึงภารกิจ
ความจำเป็น ความสามารถในการดำเนินงาน ความคุ้มค่าของการใช้จ่าย หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางรางต้องไม่ซ้ำซ้อนกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรอื่น
ควรให้มีการพิจารณากำหนดโครงสร้างและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการขนส่งทางรางทั้งในส่วนของระดับนโยบาย
การกำกับดูแลกิจการ และหน่วยงานระดับปฏิบัติการ รวมถึงการบูรณาการภารกิจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการในสาขาขนส่งรูปแบบต่าง
ๆ ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรกำหนดให้มีระบบการรายงาน
การติดตามและประเมินผลผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนการพัฒนาขนส่งทางราง
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วนทุกมิติ คำนึงถึงภารกิจ
ความจำเป็น ความสามารถในการดำเนินงาน ความคุ้มค่าของการใช้จ่าย ควรให้มีการพิจารณากำหนดโครงสร้างและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการขนส่งทางรางทั้งในส่วนของระดับนโยบาย
การกำกับดูแลกิจการ และหน่วยงานระดับปฏิบัติการ
รวมถึงการบูรณาการภารกิจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการในสาขาขนส่งรูปแบบต่าง
ๆ และมีการซักซ้อมความเข้าใจกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยให้ชัดเจนก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8091 | การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร (สายงานบริหาร) ระดับสูง ตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร.52 | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร
(สายงานบริหาร) ระดับสูง
ตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอ.บต.) เสนอ
และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกฯ
ควรเพิ่มคุณสมบัติที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ตรงและความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
และการกำหนดอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกควรให้เป็นอำนาจของคณะอนุกรรมการสามัญ
(อ.ก.พ.) ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวง การกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือก
ควรมีจำนวนที่เหมาะสมและไม่น้อยจนเกินไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นว่า ศอ.บต. ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งนี้
เนื่องจากไม่อาจดำเนินการตามหนังสือเวียนของสำนักงาน ก.พ. ได้ สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้สำนักงาน
ก.พ. พิจารณาปรับปรุงหนังสือเวียนดังกล่าวให้ทันสมัยด้วย
เพื่อให้การบริหารงานบุคคลภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8092 | ร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับมาตรฐานการอุดมศึกษา จำนวน 5 ฉบับ | อว. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับมาตรฐานการอุดมศึกษา จำนวน ๕
ฉบับดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการอุดมศึกษาซึ่งเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำเกี่ยวกับคุณลักษณะของสถาบันอุดมศึกษา
การดำเนินการผลลัพธ์ คุณภาพ และเกณฑ์อื่นในการบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษา
เพื่อใช้ในการส่งเสริม การกำกับดูแล การตรวจสอบ ติดตามและประเมินผล
และการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงมาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำของหลักสูตรการศึกษา คุณลักษณะ คุณภาพ และเกณฑ์อื่น
ในการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงมาตรฐานตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำของหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขอตำแหน่งทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการอุดมศึกษาอื่น พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำของมาตรฐานการอุดมศึกษาที่เป็นมาตรฐานอื่นที่ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวง ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเป็นมาตรฐานคุณภาพต่ำ
เพื่อเป็นเป้าหมายร่วมในการผลิตบัณฑิตที่มีผลลัพธ์การเรียนรู้อันตอบสนองต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ
โดยคำนึงถึงบริบทของสถาบันที่มีความหลากหลาย และความมีอิสระ
ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องการกำหนดหลักสูตรในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากหลักสูตรที่ให้ปริญญา
และให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพ
ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความรู้ ทักษะ
และสมรรถนะให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ควรดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐
และการกำหนดตำแหน่งวิชาการที่กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการประจำสถาบันอุดมศึกษา
ควรวางระบบ หลักเกณฑ์
ตลอดจนแนวทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนและมีมาตรฐานเทียบเคียงกัน นอกจากนี้
ควรคำนึงถึงประโยชน์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐในภาพรวม และควรเพิ่มข้อกำหนดขั้นต่ำเกี่ยวกับมาตรฐานหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เพื่อรองรับการจัดการศึกษาด้วยหลักสูตรการศึกษาหรือการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายจนถึงระดับปริญญาตรี
ควรกำหนดรายละเอียดผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้สำเร็จการศึกษาด้านความรู้ ด้านทักษะ
และด้านลักษณะบุคคลให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ และการกำหนดตำแหน่งวิชาการที่กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการประจำสถาบันอุดมศึกษา
ควรวางระบบ หลักเกณฑ์
ตลอดจนแนวทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนและมีมาตรฐานเทียบเคียงกัน นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงประโยชน์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐในภาพรวม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8093 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศแทนตำแหน่งที่ว่าง (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวนิชย์) | พม. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวนิชย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสิทธิมนุษยชน) ในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8094 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์) | ดศ. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการระดับสูง) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กลุ่มที่ปรึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8095 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม | นร.10 | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งสิ้น ๒,๔๑๑ อัตรา
ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒,๑๓๖ อัตรา และกรมราชทัณฑ์
จำนวน ๒๗๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการดังกล่าวดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) และกระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) รับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐอย่างเคร่งครัด
และส่วนราชการทั้ง ๒ แห่ง
ควรบริหารจัดการอัตราข้าราชการตั้งใหม่ที่ได้รับจัดสรรดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมาย
และเร่งดำเนินการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
กรมราชทัณฑ์มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่และที่จะได้รับการจัดสรรเพิ่มเติมให้มีศักยภาพในการดูแลจัดการผู้ต้องขังภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และให้กำหนดแนวทางการต่ออายุราชการให้แพทย์และทันตแพทย์ที่เกษียณอายุแล้วและให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาให้เอกชนและภาคส่วนอื่นเข้ามาร่วมดำเนินการแทนในบางภารกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8096 | การจัดตั้งบริษัทนวัตกรรมของกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) ดำเนินการจัดตั้งบริษัทนวัตกรรมของกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๑.๒ อนุมัติเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นของ
กฟผ. ในระยะเวลา ๕ ปี (ปี ๒๕๖๔-ปี ๒๕๖๘) จำนวน ๑,๑๘๔ ล้านบาท ตามที่ กฟผ. เสนอ ปี
๒๕๖๔ จำนวน ๓๒๐.๔๐ ล้านบาท ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๒๒๕.๙๐ ล้านบาท ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๒๑๓.๙๐
ล้านบาท ปี ๒๕๖๗ จำนวน ๒๑๑.๙๐ ล้านบาท และปี ๒๕๖๘ จำนวน ๒๑๑.๙๐ ล้านบาท
และหากคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ กผฟ.
ดำเนินการจัดตั้งบริษัทนวัตกรรมของกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศทไย ให้ถือว่า
กฟผ.
ได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายสำหรับบริษัทนวัตกรรมของกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ประจำปี ๒๕๖๔ จำนวน ๓๒๐.๔๐ ล้านบาท โดย กฟผ. จะเบิกจ่ายชำระเงินค่าหุ้นครั้งที่ ๑
เป็นจำนวนเงิน ๖๐ ล้านบาท
และเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนครั้งต่อไปจะเป็นไปตามการเรียกชำระเงินค่าหุ้นของบริษัท ๑.๓ อนุมัติให้
กฟผ. ลงนามสัญญาร่วมทุนเมื่อผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ๒.
ให้กระทรวงพลังงานและ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เช่น กฟผ. ควรกำกับทิศทาง บทบาท
และแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัทในเครือทั้งหมดให้มีความชัดเจน สอดคล้อง
และไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยคำนึงถึงมูลค่าตลาดทั้งห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจพลังงาน
และมีกระบวนการตรวจสอบและบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนและการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงพลังงาน โดย
กฟผ. พิจารณาต่อยอดการประกอบกิจการรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มเติมด้วย
โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technology) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8097 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานประจำเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๔
โดยมีผลการดำเนินงานของ คณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) กระทรวงกลาโหม
จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จิตอาสาเฉพาะกิจ และจิตอาสาภัยพิบัติ (๒) กระทรวงการคลัง
จัดกิจกรรมจิตอาสากระทรวงการคลังร่วมใจบริจาคโลหิต ครั้งที่ ๑-๓
และกิจกรรมมอบอาหารปรุงสุกและน้ำดื่มแก่ประชาชนในพื้นที่เขตจตุจักร (๓)
กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมจัดทำถุงใส่ของจากห่อกระดาษ A4 เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ) (๔) กระทรวงมหาดไทย จัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.)
และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย
และ (๕) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
จัดกิจกรรมโครงการสนับสนุนจิตอาสาพระราชทานกิจกรรมฝึกอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
(CPR) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8098 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564 | กค. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่
๔ มิถุนายน ๒๕๖๔
ซึ่งกระทรวงการคลังได้กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๕ (LB246A) อายุ ๓.๐๔ ปี จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔
โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๐.๖๔๘๐ ต่อปี
และได้จัดทำประกาศเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวข้างต้น
เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8099 | สรุปผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศ ของคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศ
ของคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว สรุปได้ว่าการใช้เครื่องจักรกลเพื่อลดการเผาในที่โล่งจากเกษตรกรรม
รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณนอกจากจะช่วยเหลือให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องจักรกลที่ช่วยในการเก็บเกี่ยวแล้ว
ควรสนับสนุนเครื่องจักรกลในการเตรียมดินปลูกพืชที่มีราคาถูกและคุ้มค่าต่อการลงทุน
การกำหนดมาตรฐานไอเสียรถยนต์ดีเซลเป็นยูโร ๕
เพื่อให้รถยนต์ดีเซลต่ำกว่ามาตรฐานต้องติดตั้งระบบบำบัดไอเสียนั้นต้องพิจารณาการบังคับใช้มาตรฐานรถยนต์ยูโร
๕ ควบคู่กับการบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร ๕
เพื่อให้การควบคุมการระบายมลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบันการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานหรือใบอนุญาตขยายโรงงาน
โรงงานที่มีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดมลพิษสูงจะต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยโดยโรงงานจะต้องประเมินค่าความเข้มข้นของมวลสารที่ระบายออกจากปล่องระบุในเล่มรายงาน
หน่วยงานรัฐควรต้องทำแบบจำลองประเมินมลพิษจากการชิงเผาชีวมวลในป่า (ทำแนวกันไฟ)
เพื่อวางแผนลดผลกระทบ โดยใช้แบบจำลองควบคู่อุตุนิยมวิทยา-เคมี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8100 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร โดยให้มีการจัดเก็บเงินส่วนต่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรของโรงงานส่งให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
และนำเงินดังกล่าวมาบริหารจัดการให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างโรงงาน โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๓/๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ
และการกำหนดให้โรงงานน้ำตาลทรายนำส่งส่วนต่างระหว่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศตามที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประกาศ
กับราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอนหมายเลข ๕
บวกพรีเมียมน้ำตาลทรายไทยเฉลี่ยแต่ละเดือน
อาจเข้าข่ายการอุดหนุนภายในที่บิดเบือนการค้าเนื่องจากรัฐเป็นผู้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ และติดตามการจัดทำและการปรับปรุงบัญชีประมาณการการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรตลอดฤดูกาลการผลิตให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในร่างระเบียบฯ
ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|