ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1381 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... | รง. | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย
ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า โดยที่ร่างมาตรา ๓๐
กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบและร่างมาตรา
๓๑ กำหนดให้รายได้ของกองทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ดังนั้น
จึงเป็นการตรากฎหมายที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งรัฐต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐประกอบด้วย ๑.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นว่า ๑.๒.๑ นิยามคำว่า ผู้จ้างทำงาน
ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับมาตรา ๕๓๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เนื่องจากเป็นการจ้างแรงงานเช่นเดียวกันและควรเพิ่มเติมนิยามของผู้ส่งมอบงานไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ๑.๒.๒ หมวด ๒ มาตรา ๙ - มาตรา ๑๘
ควรเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพและออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพ เช่น
การอบรมออนไลน์ที่ได้รับใบประกาศนียบัตรสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ หมวด ๓ มาตรา ๔๑
- มาตรา ๔๔ ควรกำหนดให้การยื่นคำร้องและการพิจารณาคำร้อง
ควรให้สามารถนผ่านทางออนไลน์เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการบริการ ๑.๓ กระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... หมวด ๔ กำหนดให้กองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา ๓๑ และเงินของกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา ๓๒ ซึ่งเมื่อพิจารณาแหล่งที่มาและค่าใช้จ่ายสำหรับเงินของกองทุนแล้ว กรณีอาจก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในการบริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้ ๑.๔ กระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุน
โดยแหล่งรายได้มาจากเงินค่าสมาชิกอาจเป็นภาระแก่แรงงานนอกระบบได้
และทำให้ต้องใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นรายได้หลัก
อาจเป็นภาระต่องบประมาณภาครัฐในระยะยาวต่อไป
และร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ
ดังนั้น ควรมีการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองคู่ขนานกันไป เพื่อให้การบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฯ
มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ๑.๕ สำนักงบประมาณที่เห็นว่า สำหรับการพิจารณาจะจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
กระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๔ ของพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และมาตรา ๖๓ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และเป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๖ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า ๑.๖.๑ การกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบแห่งชาตินั้น
เห็นควรกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานรับผิดชอบงานเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการตามกฎหมายนี้ ๑.๖.๒ เห็นควรกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารกองทุนแทนการจัดตั้งสำนักงานบริหารกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕o เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ๑.๗ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ๑.๗.๑ มีการใช้ระบบคณะกรรมการโดยไม่จำเป็นทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัดเนื่องจากภารกิจตามร่างกฎหมายนี้เป็นภารกิจหลักของกระทรวงแรงงานอยู่แล้ว
สมควรกำหนดให้เป็นภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพ
หากประสงค์จะบูรณาการกับหน่วยงานอื่น อาจดำเนินการในรูปคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งกองทุนควรดำเนินการตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อน ๑.๗.๒ การรับส่งเอกสาร
คำขอ คำสั่งต่าง ๆ สมควรให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เพื่อความสะดวกรวดเร็วและเพื่อประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานนอกระบบ ๑.๗.๓ การจัดตั้งองค์กรแรงงานนอกระบบเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้วไม่ต้องบัญญัติไว้ ๑.๗.๔ มาตรา
๑๖ และมาตรา ๑๗ ไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้
เป็นการบูรณาการทำงานของหน่วยงานของรัฐตามปกติ ส่วนมาตรา ๑๗
เป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่แล้ว
รวมทั้งควรใช้โทษทางอาญาเพียงเท่าที่จำเป็นและควรเน้นการส่งเสริมมากกว่าการควบคุม ๑.๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ในส่วนของการกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพนั้น
ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกู้ยืมให้สอดคล้องกับความต้องการ
และลักษณะการทำงานของแรงงานนอกระบบแต่ละประเภท แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้
หากกระทรวงแรงงานมีความจำเป็นต้องจัดตั้งสำนักงานบริหารกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
เพื่อให้การบริหารกิจการของกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบบรรลุวัตถุประสงค์และก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการแรงงานนอกระบบยิ่งขึ้น
กระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินการจัดตั้งสำนักงานให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า การสร้างหลักประกันทางสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบควรพิจารณาการบูรณาการร่วมกับระบบหลักประกันทางสังคมที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน
ได้แก่ กองทุนการออมแห่งชาติ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๓๑ ๒.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นว่า ๒.๒.๑ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบจังหวัดขึ้นในสำนักงานแรงงานจังหวัดทุกจังหวัดจะต้องพิจารณาข้อจำกัดที่แตกต่างในเชิงโครงสร้างของสถานที่ ๒.๒.๒ ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงการคุ้มครองและการเข้าถึงสิทธิในด้านต่าง
ๆ เช่น การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การแนะนำและให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ การอบรมพัฒนาทักษะทางด้านอาชีพของแรงงานนอกระบบโดยไม่เลือกปฏิบัติและตระหนักในสิทธิมนุษยชน
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมและเท่าเทียมในทุกมิติครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
ควรมีการรณรงค์การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่แรงงานนอกระบบ
เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุ
โดยควรรณรงค์ให้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องการออมตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานเพื่อให้เงินออมเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนในวัยสูงอายุ ๒.๓ กระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ต้องให้การสนับสนุนการดำเนินการต่าง
ๆ ของภาครัฐ โดยการพิจารณาให้การสนับสนุนใด ๆ
ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... มาตรา
๑๕ (๓) นั้น จะต้องคำนึงถึงบริบท ความพร้อมและความสามารถภายใต้ความเหมาะสมและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นประกอบด้วย ๒.๔ สำนักงบประมาณที่เห็นว่า กระทรวงแรงงานควรคำนึงถึงการบูรณาการเรื่องแรงงานนอกระบบในทุกมิติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภายใต้หน่วยงานการกำกับของกระทรวงแรงงนและภายนอกที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างรอบคอบ
เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภารกิจ รวมถึงกรณีจะให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม
การพัฒนาคุณภาพชีวิต และคุ้มครองแรงงานนอกระบบในครั้งนี้
และจะส่งผลต่อภาระงบประมาณนั้น
จะต้องคำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานที่มีอยู่ก่อนเป็นลำดับแรก ตลอดจนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
และฐานะของแหล่งเงินนอกงบประมาณที่สามารถใช้จ่ายได้ ๒.๕ สำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับระบบฐานข้อมูลกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ถูกต้อง
ครบถ้วน และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้กลุ่มแรงงานนอกระบบได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดและการดำเนินการบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ๒.๖ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า ควรมีการทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติและอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องที่จัดตั้งไว้
เพื่อให้มีจำนวนคณะกรรมการเท่าที่จำเป็นและไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของคณะกรรมการที่มีอยู่เดิม ๒.๗ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ในขั้นตอนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการส่งเสริม
การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
ในเรื่องการขึ้นทะเบียนแรงงานนอกระบบ ควรเพิ่มช่องทางการขึ้นทะเบียนให้มีความสะดวก
และสอดรับกับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย อาทิ การขึ้นทะเบียนผ่านระบบออนไลน์
การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยขึ้นทะเบียนในระดับพื้นที่ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1382 | ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ลต. | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญประกอบด้วย แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามของคำว่าเขตเลือกตั้ง
โดยหมายความว่าท้องที่ที่กำหนดเป็นเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหรือแบบบัญชีรายชื่อ
แล้วแต่กรณี (มาตรา ๓)
แก้ไขเพิ่มเติมให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วจึงมีสิทธิส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ
และต้องกำหนดให้ส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวก่อนปิดการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
โดยกำหนดวันที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า ๓
วัน (มาตรา ๕) เป็นต้น และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้คณะกรรมการสรรหาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อไม่เกินหนึ่งร้อยรายชื่อ
(มาตรา ๓) และแก้ไขเพิ่มเติมให้สมาชิกลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อได้คนละไม่เกินสิบรายชื่อ
(มาตรา ๓) รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1383 | การขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของสำนักเลขาธิการอาเซียน ในการต่ออายุ ครั้งที่ 3 ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลียกับรัฐบาลแห่งประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย ระยะที่ 2 และการแก้ไขข้อความในบันทึกความเข้าใจฯ | กต. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของสำนักเลขาธิการอาเซียนในการต่ออายุครั้งที่
๓
ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลียกับรัฐบาลแห่งประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ระยะที่ ๒ และการแก้ไขข้อความในบันทึกความเข้าใจฯ
รวมทั้งเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน
ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยให้ความยินยอมให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในเอกสารดังกล่าว
โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการต่ออายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ระยะที่ ๒ (เอเอดีซีพีสอง) ครั้งที่ ๓ ออกไปอีก ๑ ปี จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
และแก้ไขบันทึกความเข้าใจในส่วนของอารัมภบท หมวดที่ ๒ (ข้อ ๒ และข้อ ๓) หมวดที่ ๓
(ข้อ ๑) หมวดที่ ๖ (ข้อ ๑ และข้อ ๒) และหมวดที่ ๑๑ (ข้อ ๒)
ให้สอดคล้องกับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่ปรากฏข้อความที่แก้ไขในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของรัฐบาลออสเตรเลีย
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหมวดที่ ๑๒ การขยายเวลา (Extension)
และหมวดที่ ๑๐ การแก้ไข (Amendments) ของบันทึกความเข้าใจฯ
ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1384 | การให้คำมั่นทางการเมืองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณารายชื่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือด้านภาษีของสหภาพยุโรป (EU List of Non- cooperative Jurisdictions for Tax Purposes : EU List) ข้อ 3.2 | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการมีหนังสือลงนามระดับรัฐมนตรีถึงประธาน Code of Conduct
Group (CoCG) เพื่อให้การให้คำมั่นทางการเมืองอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณารายชื่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือด้านภาษีของสหภาพยุโรป
(EU List of Non- cooperative Jurisdictions for Tax
Purposes : EU List) ข้อ ๓.๒
ว่าประเทศไทยจะดำเนินการตามข้อแนะนำโดยทั่วไปของ Inclusive Framework ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของ Country-by-Country Reports (CbCR) ให้ครบถ้วน
ภายในกำหนดเวลาการจัดทำรายงาน Action ๑๓ Peer Review ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1385 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2564 | นร.11 สศช | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการดำเนินการตามมาตรา
๖ แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (ครั้งที่ ๒)
และการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทั้งการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑)
แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๖๐,๐๐๐
ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ๑.๒ อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๓๐,๐๐๒,๓๑๐ โดส (Pfizer) ปี พ.ศ.
๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๖,๒๙๗,๗๐๐,๖๐๐ บาท และโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca)
ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๘,๗๖๒.๕๑๖๐ ล้านบาท ของกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้
พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ อนุมัติโครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิงและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐของสำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงาน กรอบวงเงิน ๖๐๗.๑๕๕๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่
๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการฯ
ไปประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ อนุมัติโครงการ
Thailand Festival Experience ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรอบวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการ
กลุ่มที่ ๓ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้
เห็นควรให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด
-๑๙ อย่างเคร่งครัดและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ฯ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการจัดหางานดำเนินโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับธุรกิจ SMEs สมัครเข้าร่วมโครงการฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากในปัจจุบัน จนทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องประกาศมาตรการควบคุมไม่ให้สถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๖๕
เห็นควรมอบหมายให้กรมการจัดหางานพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ
เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๖ อนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด
๑๙ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการเพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จํานวน cn Comm จำนวน ๖,๒๑๘ คน กรอบวงเงิน
๑๒.๔๓๖๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินของโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม และวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ และขยายระยะเวลาโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
เป็นสิ้นสุดในเดือนมกราคม ๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อให้ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนและผู้ปกครองได้อย่างครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
ทั้งนี้
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการฯ
แล้ว เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในระบบ
eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า
๑) ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้กฎหมายข้อบังคับและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
๒) เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
ขอให้กระทรวงต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการและกรอบวงเงินกู้
และมีมติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการแล้ว ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำและปรับปรุงแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้รายเดือนให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้กระทรวงการคลังบริหารเงินกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้จ่ายจริง
และบริหารหนี้สาธารณะให้มีต้นทุนที่เหมาะสมต่อไป และ ๓) เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัด สำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีกหากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบและส่งคืนเงินเหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลังโดยเร็ว ๒.๒ สำนักงบประมาณเห็นว่า
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพคุ้มค่าและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่าย
และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายและให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน ๒.๓ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๓.๑ เร่งดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยใช้แหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อมิให้เสียโอกาสในการพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ให้กับโครงการอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๒.๓.๒ ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการโดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณจัดสรรเหลือจ่าย
การโอนเงินจัดสรร และหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ให้หน่วยงานรับผิดชอบรายงานการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่มีการโอนเงินจัดสรรและหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการฯ
ตามข้อ ๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔)
ต่อไป ๒.๓.๓ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้หรือดำเนินโครงการแล้วเสร็จให้เร่งเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
พิจารณาตามขั้นตอนของข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1386 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum Of Understanding : MOU) ด้านความร่วมมือความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับเทศบาลนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น (Osaka City Government) | สกพอ. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum
Of Understanding : MOU) ด้านความร่วมมือความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย
๔.๐ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับเทศบาลนครโอซากา
ประเทศญี่ปุ่น (Osaka City Government) และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวของฝ่ายไทย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
โดยเห็นว่า ๑.
ควรเพิ่มเนื้อหาในข้อ ๑ ดังนี้ “1. Toward the development of a
Carbon Neutrality in EEC, both Participants make efforts
to promote mutual cooperation amicably taking into account their
respective capabilities and different national circumstances, in the following:” เพื่อคำนึงถึงความสามารถ
และสถานการณ์ของแต่ละประเทศในการดำเนินงานภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจนี้ ตามหลักการภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(United Nations Framework Convention on Climate
Change หรือ UNFCCC) ๒. ควรเพิ่มเนื้อหาในข้อ
๑ (๑) ดังนี้ “(1) Sharing knowledge and transferring technology of
standard and systems supporting the Carbon Neutrality policies of EEC;” เพื่อให้ครอบคลุมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีซึ่งเป็นบทบาทของประเทศพัฒนาแล้วที่จะสนับสนุนให้กับประเทศกำลังพัฒนาภายใต้
UNFCCC ๓. ควรเพิ่มเนื้อหาในข้อ
๑ (๒) ดังนี้ “(2) Creating new projects toward the realization of
a Carbon Neutrality taking into account mitigation co-benefits;” เพื่อให้ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ร่วมอื่นที่เกิดขึ้นจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย
๔.๐ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับเทศบาลนครโอชากา
ประเทศญี่ปุ่น
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1387 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และอุปทานอาหารแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร | กษ. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์
และอุปทานอาหารแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และอุปทานอาหารแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราชิล
ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรติดตามและประเมินผลความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
เพื่อต่อยอดความร่วมมือในมิติอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคตต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1388 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 40/2564 | นร.11 สศช | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยโคโรนาไวรัส COVID-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
(โครงการเพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยฯ) ของโรงพยาบาลมหานครเชียงใหม่
คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยฯ
จากเดิมสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ (๒) อนุมัติให้กรมประมง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการทั้ง ๕
โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำจืด (ปลาดุก/กบ) ในกระชัง
โครงการส่งเสริมการเลี้ยงปลาดุกเทศ
เพื่อเยียวยาผู้ซึ่งได้รับผลกระทบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงปลาทับทิมในกระชังของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนด้านประมงเชิงเกษตรและท่องเที่ยวบ้านวังดอกไม้
โครงการสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า และพัฒนาการสร้างผลิตภัณฑ์กลุ่มแปรรูปสินค้าประมงในจังหวัดสตูล
และโครงการสนับสนุนการเลี้ยงปูทะเลแบบพัฒนาในบ่อดินในจังหวัดสตูล โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
เป็นสิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ (๓) อนุมัติให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยกเลิกรายการภายใต้โครงการเงินกู้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
บริหารจัดการน้ำ และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน จำนวน ๓ รายการ วงเงิน ๒.๐๙๕๐ ล้านบาท
ทำให้กรอบวงเงินของโครงการฯ ปรับลดลง ๔,๒๒๔.๘๒๔๖ ล้านบาท
เป็น ๔,๒๒๒.๗๒๙๖ ล้านบาท (๔)
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
(พระราชกำหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔) เร่งดำเนินการโดยใช้แหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นลำดับแรกก่อน และ (๕) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
(พระราชกำหนดกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๖๓) ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๖ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม
๒๕๖๔) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ.
๒๖๕๓ ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1389 | ผลการนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 | กต. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบผลการนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก
(รายงานประเทศฯ) Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๓ และท่าทีของไทยต่อข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการนำเสนอรายงานประเทศฯ
รวมทั้งแผนการดำเนินการต่อไป ซึ่งหัวหน้าคณะผู้แทนได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
พร้อมแจ้งเกี่ยวกับกระบวนการยกร่างรายงานประเทศฯ
ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจากทุกภาคในประเทศ
พัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในด้านต่าง ๆ ในช่วง ๔ ปีครึ่งที่ผ่านมา พร้อมทั้งยืนยันความพยายามในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
และยึดมั่นต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถแจ้งผลต่อคณะรัฐมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติภายในวันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่ไทยตอบรับต่อไป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1390 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566 - 2569) | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ ๒๕๖๖-๒๕๖๙) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ในการประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้
การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อ GDP โดยการเร่งรัดการดำเนินการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น
การปรับปรุงรายการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการควบคุมสัดส่วนรายจ่ายต่อ GDP
โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำให้สอดคล้องกับความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายงบประมาณ โดยพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น
รวมถึงแนวโน้มการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่จะมีความสำคัญมากขึ้นในเวทีการค้าโลกในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1391 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษารับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ระบบการให้ทุนการศึกษาแทนการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาสำหรับสาขาขาดแคลน
ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ อย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะความซ้ำซ้อนของบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการให้ทุนการศึกษา
ความชัดเจนในการกำหนดสาขาขาดแคลน ภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น
การจัดสรรงบประมาณจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้เรียนด้วย
นอกจากนี้ กองทุนฯ ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์
เงื่อนไข แนวทางการปฏิบัติ
รวมถึงการทำสัญญาและความรับผิดในกรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญาให้มีความชัดเจน
ตลอดจนมีความยืดหยุ่นและเกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่เป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1392 | การจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม. | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยเห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง)
ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๙ โครงการ ๒๖๓ หน่วย ภายในวงเงิน
๒๑๑,๗๐๔,๒๔๖ บาท ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ -
๒๕๗๙)
โดยเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและเป็นธรรม
พร้อมจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด เป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ)
และกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๑) กระทรวงการคลังที่เห็นว่า
กระทรวงศึกษาธิการควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล
และดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า หากโครงการดังกล่าวมีลักษณะการจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินที่มีจำนวนที่ดินแปลงย่อยตั้งแต่
๕๐๐ แปลงขึ้นไปหรือมีเนื้อที่เกินกว่า ๑๐๐ ไร่ จะเข้าข่ายโครงการกิจการหรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการกิจการหรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒ เอกสารท้ายประกาศ ๔ ลำดับที่ ๒๘
โดยให้เสนอรายงานในขั้นตอนตามข้อ ๑๐ (๑)
กรณีเป็นโครงการกิจการหรือการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐดำเนินการร่วมกับเอกชน
และต้องขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการกิจการหรือการดำเนินการนั้นเสนอรายงานในขั้นก่อนขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๓) กระทรวงมหาดไทยที่เห็นว่า การดำเนินโครงการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1393 | หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.07 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ
และอนุมัติแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ รวมทั้งมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1394 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าด้วยการส่งเสริมความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน | กต. | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าด้วยการส่งเสริมความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน
(Memorandum of Understanding Between the Government of the Kingdom
of Thailand and the Government of the United States of America on Promoting
Supply Chain Resilience) เพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมลงนามได้ในวันที่ ๑๖
ธันวาคม ๒๕๖๔
และกระทรวงการต่างประเทศสามารถเผยแพร่เอกสารดังกล่าวต่อสาธารณชนภายหลังเสร็จสิ้นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือซึ่งมีขอบเขตสำคัญ
อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านตลาดและความเปราะบางเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน
พร้อมทั้งโอกาสในการขยายความร่วมมือด้านการพัฒนากฎหมาย นโยบาย มาตรฐาน
และมาตรการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน
การหารือเพื่อแสวงหาโอกาสขยายความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและรับมือกับปัญหาที่อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักของการผลิต
การค้า และการขนส่ง
รวมทั้งแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชน โดยบันทึกความเข้าใจฯ
มีอายุ ๕ ปี และสามารถพิจารณาต่ออายุได้โดยการเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามความร่วมมือภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ควรพิจารณาให้รอบด้าน โดยต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อข้อกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1395 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช | กษ. | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานหรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี เป็นลำดับแรก
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1396 | ร่างบันทึกการประชุม (Record of Discussion) ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 11 | กต. | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกการประชุม (Record of Discussion) ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี
(Joint Commission for Bilateral Cooperation : JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๑ ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘
ธันวาคม ๒๕๖๔ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม
ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างบันทึกการประชุมฯ
ในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ โดยวัตถุประสงค์ของร่างบันทึกการประชุมฯ
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้านทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
ในฐานะ “หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและความเจริญ รุ่งเรือง”
ให้มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและก่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1397 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2565) | นร.08 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่อำเภอแว้ง
จังหวัดนราธิวาส
ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาบังคับใช้แทน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง
ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๕ ๓.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง
และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
และร่างประกาศ เรื่อง
ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่อำเภอแว้ง
จังหวัดนราธิวาส ๔.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1398 | ขอให้พิจารณาประกาศพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร.51 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการประเมินพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
ประกอบการพิจารณาประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๑ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๒.๒ ร่างประกาศ
เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๒.๓
ร่างประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๔
ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รวม ๔ ฉบับ
ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการแก้ไขประกาศที่ออกตามความในมาตรา
๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
ในพื้นที่อื่น ๆ
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.
ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1399 | ผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 เรื่อง การป้องกันและตรวจสอบการบุกรุกที่ดินของรัฐและแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ทำการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ | นร16 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อมูลการทำเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
ประกอบด้วย ข้อมูลจำนวนเกษตรกร ที่ทำการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
ชนิดของพืชที่ปลูก ประเภทและจำนวนพื้นที่ที่บุกรุก แนวโน้มของการบุกรุก และให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งปรับปรุงข้อมูลดังกล่าวให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
เพื่อใช้ประกอบการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไทยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป ๒. เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาการทำเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
ภายใต้ประเด็นปัญหาหลัก ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
การป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐเพื่อทำการเกษตร จำนวน ๓ แนวทาง (๒)
ปัญหาการทำการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิหรือไม่ได้รับอนุญาตจำนวน ๓ แนวทาง
และ (๓) ปัญหาการบริหารจัดการการพัฒนาพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร
(ภายหลังจากการจัดที่ดินหรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายแล้ว) จำนวน ๖ แนวทาง
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการหารือและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งรัดการดำเนินการสำรวจข้อมูลจำนวนผู้บุกรุกที่ดิน
และขอบเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุกให้ชัดเจน ดำเนินการติดตาม ดูแล
และตรวจสอบการทำเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิอย่างสม่ำเสมอทุกปี
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1400 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗
และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก)
ตอนบางปะอิน-บางพลี และตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน
ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันจันทร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งประชาสัมพันธ์การยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมบนทางหลวงพิเศษดังกล่าวให้ประชาชนทราบ
เพื่อให้ประชาชนใช้เส้นทางดังกล่าวในช่วงวันหยุดราชการต่อเนื่องได้อย่างคล่องตัว
สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|