ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 61 จากทั้งหมด 570 หน้า แสดงรายการที่ 1201 - 1220 จากข้อมูลทั้งหมด 11388 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1201 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | กษ. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจโครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามฝ่าย อินโดนีเซีย–มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๕ และอนุมัติให้
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU)
โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามฝ่าย อินโดนีเซีย–มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ลงนามเอกสารดังกล่าวข้างต้น โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
Northern Corridor Implementation Authority (NCIA) ประเทศมาเลเซีย และการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเข้าใจความเข้มแข็งของห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมยางพารา
โดยจะร่วมมือกันกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาง
การเสริมสร้างศักยภาพของเมืองยางพารา (Rubber Cities) ของทั้งสามประเทศสมาชิกความร่วมมือด้านงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ยาง
นวัตกรรม และเทคโนโลยีความร่วมมือด้านมาตรฐานและการรับรอง
การแสวงหาและเสนอความร่วมมือผ่านเครือข่ายเมืองยางพาราระหว่างอนุภูมิภาค IMT-GT
และภูมิภาคอาเซียน (ASEAN)
ตลอดจนความร่วมมือด้านธุรกิจ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจโครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยางแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามฝ่าย
อินโดนีเซีย–มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1202 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2565 เพื่อใช้ในโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2563 | กษ. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.อนุมัติใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๕
ในวงเงิน ๑,๗๔๗,๙๐๓,๒๐๐ บาท (เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทอุดหนุนทั่วไป)
สำหรับเป็นเงินอุดหนุนเกษตรกรของโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๑๑๘๖๔ ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำกับ ติดตาม การดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน
และบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เกิดความยั่งยืน
และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร
ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลของเกษตรกรที่ผ่านการรับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (Organic
Thailand) เพื่อติดตาม
ตรวจสอบความต้องการการทำนาข้าวอินทรีย์และตรวจรับรองระบบมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ได้อย่างต่อเนื่อง
ติดตามและประเมินผลโครงการในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพชีวิตเกษตรกร ราคาขาย รายได้
และต้นทุนการผลิตของกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโดยเปรียบเทียบก่อนและหลังดำเนินโครงการ
รวมถึงความยั่งยืนของเกษตรกรที่ยังคงเพาะปลูกข้าวอินทรีย์อย่างต่อเนื่องภายหลังสิ้นสุดการดำเนินโครงการ
และเร่งปรับปรุงขั้นตอนในการรับรองพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วขึ้น
ตลอดจนความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการพัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกไปยังต่างประเทศ
และการนำผลผลิตมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงในอนาคต ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1203 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ ปีงบประมาณ 2565 สำหรับแผนงานขยายเขตและปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปี 2565-2566 ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวใหม่ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง กู้เงินในประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๕
สำหรับแผนการขยายเขตและปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวใหม่ของการไฟฟ้านครหลวง
ภายใต้กรอบวงเงิน ๒,๓๐๐
ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๕/๑๐๓๑๑ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๒๔/๓๕๘๓ ลงวันที่ ๒๗
มิถุนายน ๒๕๖๕) ที่เห็นว่า การดำเนินการของการไฟฟ้านครหลวง หากมีความจำเป็นต้องขอใช้พื้นที่ขอให้มีการประสานงานล่วงหน้าในขั้นตอนการสำรวจและออกแบบรายละเอียด
ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัดต่อไป
กำหนดมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า และสมควรจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวด้วย
และใช้ความระมัดระวังในการกู้เงิน
โดยพิจารณากู้เงินเพื่อการลงทุนตามความจำเป็นและพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินด้วยความรอบคอบ
เพื่อให้สามารถเตรียมการรองรับสถานการณ์ผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1204 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2565 ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2565) | นร.08 | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น
และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๑๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น
และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง และร่างประกาศ
เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งนายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ รวม ๓ ฉบับ
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1205 | โครงการช่วยเหลือความเดือดร้อนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายการให้บริการประชาชน เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | สทบ. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๑๔,๖๔๗,๕๐๐ บาท ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการช่วยเหลือความเดือดร้อนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
และค่าใช้จ่ายการให้บริการประชาชน ตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือความเดือดร้อนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
และค่าใช้จ่ายการให้บริการประชาชนเพื่อกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการให้เหมาะสมและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1206 | ขอความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันด้านบริการ ภายใต้องค์การการค้าโลกของไทย ที่จะผูกพันวินัยในการใช้กฎระเบียบภายใน | พณ. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันด้านบริการ
ภายใต้องค์การการค้าโลกของไทย ที่จะผูกพันวินัยในการใช้กฎระเบียบภายใน
โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์นำร่างตารางข้อผูกพันของไทย
เข้าสู่กระบวนการภายใต้องค์การการค้าโลกเพื่อให้การปรับปรุงร่างตารางข้อผูกพันดังกล่าวมีผลผูกพันทางกฎหมาย
ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ขอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีตามร่างตารางข้อผูกพันที่ผูกพันการใช้กฎระเบียบภายในต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างตารางข้อผูกพันด้านบริการ
ภายใต้องค์การการค้าโลกของไทย ที่จะผูกพันวินัยในการใช้กฎระเบียบภายใน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปทบทวนกระบวนการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้สอดคล้องกับวินัยในการใช้กฎระเบียบภายในดังกล่าว
โดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ประสานงานและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1207 | ร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ | ทส. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้และทรัพยากรป่าไม้
ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ
มีเป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศอย่างน้อยร้อยละ ๔๐ ของพื้นที่ประเทศ
ประกอบด้วย ป่าอนุรักษ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนไม่น้อยกว่าร้อยละ
๒๕ ระยะเวลาของแผนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐ โดยร่างแผนแม่บทฯ ได้กำหนดมาตรการไว้ ๓
ด้าน ตามนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ได้แก่ ด้านการจัดการป่าไม้
ด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้
และด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น
ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้ประโยชน์จากการจัดทำและการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ต่อยอดมิติเศรษฐกิจด้านภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของไทยที่ได้มาตรฐาน
มีธรรมาภิบาล ตอบโจทย์ความยั่งยืนทั้งห่วงโซ่อุปทาน
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในภาวะตลาดโลกที่มีเงื่อนไขและการแข่งขันสูงในปัจจุบัน
การดำเนินบทบาทตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ
ควรกำหนดหน่วยงานหรือคณะบุคคลผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และเหมาะสม
รวมถึงควรบูรณาการฐานข้อมูลสารสนเทศในภาพรวมทั้งในระดับประเทศ และระดับพื้นที่
ตลอดจนการดำเนินการระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้ประสานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในประเด็นเรื่องของ
“การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” เพิ่มเติมนอกจากการอนุรักษ์
การจัดการและการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ในส่วนที่ ๕ ข้อ ๕.๑ ประการที่ ๖
และควรคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ครอบครองและใช้ประโยชน์อยู่เดิม
โดยอาจมีมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลือที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อภาคประชาชน ในส่วนที่
๕ ข้อ ๕.๑ ประการที่ ๙ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้แต่ละประเภทให้มีความเหมาะสม
ชัดเจน สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
แล้วให้จัดทำเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน (Handbook)
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการขอทบทวน
ปรับปรุงหรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่อาจมีความซ้ำซ้อนหรือไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1208 | การออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity: CI) ของทางการเมียนมา ให้แก่แรงงานเมียนมาที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เรื่อง การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศภายหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | รง. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการออกเอกสารรับรองบุคคล
(Certificate of Identity : CI) ของทางการเมียนมา
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ โดยทางการเมียนมาได้เริ่มออกสารรับรองบุคคล
(Certificate of Identity : CI) เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๕
ณ ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI) จำนวน ๕ แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดระนอง
จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงหน่วยให้บริการเคลื่อนที่ (Mobile
Unit) ในพื้นที่จังหวัดสงขลา จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดปทุมธานี
โดยมีผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๕-๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ทั้งสิ้นจำนวน
๔๐๘,๑๕๕ ราย ๑.๒
พิจารณาให้ความเห็นชอบการออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate
of Identity : CI) ของทางการเมียนมา
ให้แก่แรงงานเมียนมาที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เรื่องการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว เมียนมา และเวียดนาม
เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศภายหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ดังนี้ ๑.๒.๑
เห็นชอบให้ทางการเมียนมาดำเนินการเปลี่ยนเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI)
ให้แก่แรงงานเมียนมาที่มีเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI) ฉบับเดิม โดยให้ดำเนินการได้ไม่เกินวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ๑.๒.๒
เห็นชอบการดำเนินการของทางการเมียนมาที่จะเพิ่มการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลของแรงงานเมียนมาที่ไม่มีเอกสารประจำตัว
เพื่อพิจารณาออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate
of Identity : CI) ให้แก่แรงงานเมียนมาที่ได้รับอนุญาตทำงานเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่มีเอกสารประจำตัว
โดยให้ดำเนินการได้ไม่เกินวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ๑.๒.๓
เห็นชอบสถานที่ออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate
of Identity : CI) ในพื้นที่ ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร
จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดระนอง และจังหวัดชลบุรี
รวมถึงหากทางการเมียนมาร้องขอสถานที่ออกเอกสารรับรองบุคคลเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงสถานที่การออกเอกสารรับรองบุคคล
ให้ทางการเมียนมาที่มีหนังสือร้องขอผ่านช่องทางการทูตและสามารถดำนเนินการได้ไปพลางก่อน
โดยมีระยะเวลาการดำเนินการไม่เกินวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ๑.๒.๔ เห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน
โดยกรมการจัดหางานร่วมดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับทางการเมียนมา ในพื้นที่ ๔
จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดระนอง
และจังหวัดชลบุรี
ในการพิจารณาอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานเมียนมาที่มาดำเนินการขอมีเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI) ณ สถานที่ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1209 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูประบบด้านทันตสาธารณสุขไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านสาธารณสุข ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา | สว. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การพิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ
และเร่งรัดการปฏิรูประบบด้านทันตสาธารณสุขไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านสาธารณสุข
ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานผลการศึกษาดังกล่าว
สรุปได้ว่า การจัดตั้งกรมทันตสุขภาพเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามแผนยุทธศาสตร์ด้านทันตสาธารณสุขของประเทศอาจกระทบกับงบประมาณและรายจ่ายบุคลากรภาครัฐในระยะยาว
ประกอบกับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒
มกราคม๒๕๖๒ ในการณีที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ควรระบุข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม
เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ ทั้งนี้
กระทรวงสาธารณสุขจะรับไปพิจารณาเพื่อให้มีกลไกในการขับเคลื่อน จัดแผน
หรือแนวทางการพัฒนาระบบทันตสาธารณสุขที่มีความชัดเจนและมีส่วนร่วมตลอดจนการดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษานี้
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1210 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 15/2565 | นร.11 สศช | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้จังหวัดสกลนคร
จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดชัยนาท
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
ภายใต้เงื่อนไขว่าในกรณีที่จังหวัดไม่สามารถลงนามและผูกพันสัญญาในโครงการที่ได้รับอนุมัติภายในเดือนกันยายน
๒๕๖๕ ให้จังหวัดเสนอขอยกเลิกโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป (๒)
อนุมัติให้จังหวัดสกลนคร จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่
ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๔ โครงการ และ ๕ กิจกรรมย่อย กรอบวงเงิน ๔๘,๗๖๘,๕๗๔.๗๕ บาท (๓)
อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (เฟส ๓)
โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการฯ จากเดิมเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕
เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ (๔) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ
eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
และเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ เมื่อดำเนินโครงการแล้วเสร็จให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนข้อ
๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ (๕) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง
(สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ)
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พิจารณาจัดเตรียมแหล่งเงินและกรอบวงเงินเพื่อรองรับกรณีการตรวจสอบเหตุทุจริต
(Fraud List) ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการอื่น ๆ
ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบการทุจริต อาทิ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราชนะ
โครงการคนละครึ่ง เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๘ (๓)
แห่งพระราชกำหนดฯ และ (๖) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๙ (๑ พฤษภาคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
ข้อ ๑๙ และ ๒๐ สำหรับโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนด
ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1211 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 24/2565 | นร.11 สศช | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๒๔/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ยุติโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าเกษตรสู่ผู้บริโภค
ทำให้กรอบวงเงินโครงการปรับลดลง จาก ๒๒๑.๓๘๒๐ ล้านบาท เป็น ๙.๐๕๐๐ ล้านบาท (๒)
มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เร่งดำเนินการคืนเงินกู้เหลือจ่ายจำนวน ๒๑๒.๓๓๒๐
ล้านบาท ตามขั้นตอนข้อ ๒๒ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเร็ว
พร้อมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลสินค้าเกษตรที่จะนำเข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ให้ชัดเจน
เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์จากการพัฒนาระบบแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ (๓) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๔ (๑
พฤษภาคม–๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
และ (๔) รับทราบรายงานผลการคืนเงินกู้เหลือจ่ายของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจำนวน ๗
โครงการ รวม ๙,๙๙๒.๓๖๕๖ ล้านบาท
ที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนข้อ ๒๒ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ แล้ว ทำให้กรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ คงเหลือ ณ
วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ เพิ่มขึ้นจาก ๒๕,๗๓๒.๐๕๔๓ ล้านบาท เป็น
๓๕,๗๒๔.๔๑๙๙ ล้านบาท ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ยุติโครงการ
รวมทั้งโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรกเพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1212 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 25/2565 | นร.11 สศช | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
และเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-๑๙) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย จำนวน ๓๐,๐๐๒,๓๑๐ โดส (Pfizer) โดยปรับกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มที่ ๕
เพิ่มกลุ่มเป้าหมายในการฉีด Pfizer (Maroon cap) สำหรับเด็กอายุ
๖ เดือน ถึงอายุน้อยกว่า ๕ ปี และขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการจากเดิมเดือนกันยายน
๒๕๖๕ เป็น เดือนธันวาคม ๒๕๖๕ และ (๒) มอบหมายให้กรมควบคุมโรค เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ
eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
และรับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้
เร่งรัดปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓
สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งควรเร่งการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่ขอขยายอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด พร้อมทั้งให้กรมควบคุมโรครับความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1213 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2565 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2565/2566 เพิ่มเติม | นร.14 | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน
๙๑๑.๗๑๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี ๒๕๖๕ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๕/๒๕๖๖ เพิ่มเติม จำนวน ๕๗๖ รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยรับงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
ที่ควรให้หน่วยรับงบประมาณเร่งรัดการดำเนินโครงการโดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลให้ถูกต้องและครบถ้วนในทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1214 | การลงนามความตกลงของอาเซียนว่าด้วยกรอบการกำกับดูแลด้านยาแผนโบราณ (ASEAN Agreement on Regulatory Framework for Traditional Medicines ; TM Agreement) และความตกลงของอาเซียนว่าด้วยกรอบการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ASEAN Agreement on Regulatory Framework for Health Supplements ; HS Agreement) | สธ. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการลงนามความตกลงของอาเซียนว่าด้วยกรอบการกำกับดูแลด้านยาแผนโบราณ
(ASEAN Agreement on Regulatory Framework for
Traditional Medicines; TM Agreement) และความตกลงของอาเซียนว่าด้วยกรอบการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
(ASEAN Agreement on Regulatory Framework for Health Supplements; HS
Agreement) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕๔
ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ กันยายน ๒๕๖๕ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยร่างความตกลงทั้ง
๒ ฉบับ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางเกี่ยวกับข้อกำหนดคุณภาพของยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
โดยประเทศสมาชิกอาเซียนต้องรับประกันว่า ยาแผนโบราณหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วแต่กรณีที่เป็นไปตามความตกลงและภาคผนวกที่เกี่ยวข้องสามารถวางจำหน่ายในตลาดของประเทศสมาชิกอาเซียนได้
และการใช้บังคับร่างความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ
ต้องได้รับการประกาศหรือได้รับการให้สัตยาบันหรือการยอมรับโดยประเทศสมาชิกทุกประเทศตามที่สอดคล้องกันกับข้อกำหนดภายในประเทศซึ่งจำเป็นสำหรับการบังคับ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างความตกลงทั้ง
๒ ฉบับ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งน่าจะมีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม
หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
รวมทั้งเป็นหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรีตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในความตกลงทั้ง
๒ ฉบับ และเมื่อลงนามแล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขส่งความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ
ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงทั้ง
๒ ฉบับ ๔.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารสำหรับความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ
ให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงทั้ง ๒ ฉบับแล้ว
และกระทรวงสาธารณสุขได้มีหนังสือแจ้งยืนยันมายังกระทรวงการต่างประเทศว่า
ฝ่ายไทยได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการมีผลบังคับใช้ของความตกลงเสร็จสิ้นแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1215 | ร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ. 2565 และร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ. 2565 | พม. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
และร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๕ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณารับรองร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ หรือร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ในการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๕ (ค.ศ. ๒๐๒๒) ในวันพุธที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๕ โดยร่างแถลงการณ์ฯ ทั้ง ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศ
และการเสริมพลังสตรีผ่านระบบทางเศรษฐกิจ ภายใต้หัวข้อ
“การเสริมพลังทางเศรษฐกิจของสตรีผ่านระบบเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน
และเศรษฐกิจสีเขียว” ผ่านการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา
ค.ศ. ๒๐๔๐ ของเอปค แผนปฏิบัติการอาทีโอรา และแผน ลา เซเรนา
เพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างถ้อยแถลงการณ์ประชุมฯ และร่างถ้อยแถลงประธานฯ
ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ร่างถ้อยแถลงฯ ทั้งสองฉบับจึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕
และร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๕ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1216 | มาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา | ป.ย.ป. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ในประเด็นที่เกี่ยวกับการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของเยาวชนไทยด้วยมาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตและมาตรการสนับสนุนคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา
เพื่อการศึกษาซึ่งจะได้ดำเนินการในกลุ่มนักเรียนที่มีฐานะยากจนและยากจนพิเศษตามเกณฑ์ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ในระดับชั้น ป.๑-ม.๖ และเทียบเท่า ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ ๒.
ให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง กระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการตามข้อ ๑
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ
เกิดการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาได้อย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการส่งเสริม พัฒนา
และฝึกอบรมครูผู้สอนให้มีความรู้ความสามารถในการนำอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มศักยภาพ
รวมทั้งการพัฒนาทักษะให้ครูผู้สอนสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1217 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2566 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย | พน. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณ
๕,๐๐๐,๐๐๐
ดอลลาร์สหรัฐ และแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๖ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่ควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และเร่งรัดการเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
ต่อคณะรัฐมนตรีตามกรอบระยะเวลาที่ข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนด เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๓
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1218 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2537 เรื่อง การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย) เพื่อผลิตไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับ จากไม้ที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ คือ ยูคาลิปตัส สะเดาเทียม สนทะเล สนประดิพัทธ์ กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินยักษ์ มะพร้าว มะขาม มะไฟบ้าน มะปรางบ้าน จามจุรี และไม้ตาล | ทส. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๕ มกราคม ๒๕๓๗ เรื่อง การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย) เพื่อผลิตไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับ
จากไม้ที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ คือ ยูคาลิปตัส สะเดาเทียม สนทะเล สนประดิพัทธ์
กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินยักษ์ มะพร้าว มะขาม มะไฟบ้าน มะปรางบ้าน จามจุรี
และไม้ตาล จากเดิม “เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย)
เพื่อผลิตไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับ จากไม้ที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ คือ ยูคาลิปตัส
สะเดาเทียม สนทะเล สนประดิพัทธ์ กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินยักษ์ มะพร้าว มะขาม
มะไฟบ้าน มะปรางบ้าน จามจุรี และไม้ตาล ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้ทดลองดำเนินการในบางพื้นที่ก่อน
เช่นเดียวกับการแปรรูปไม้ยางพาราตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒
พฤษภาคม ๒๕๒๔ ทั้งนี้ ในการอนุญาตให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตและมาตรการตรวจสอบควบคุมเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ มกราคม ๒๕๓๒” เป็น “อนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้
(โรงเลื่อย) เพื่อผลิตไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับ จากไม้ที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ คือ ยูคาลิปตัส สะเดาเทียม สนทะเล สนประดิพัทธ์
กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินยักษ์ มะพร้าว มะขาม มะไฟบ้าน มะปรางบ้าน จามจุรี
ไม้ตาล และไม้ผลทุกชนิดที่ปลูกขึ้นในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน
โดยมีหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรการตรวจสอบควบคุมตามที่คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้กำหนด”
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการเพิ่มไม้ผลทุกชนิดที่ปลูกขึ้นอยู่ในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ต้องมีกฎหมาย ระเบียบ มาตรการ หรือเงื่อนไขกำชับไว้ชัดเจน
ในการนำวัตถุดิบป้อนโรงงานแปรรูปไม้ (โรงเลื่อย) เพื่อผลิตไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับของโรงงาน
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และควรมีการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์จากไม้ที่ได้จากอุตสาหกรรมไม้แปรรูปหรือชิ้นไม้สับ
ให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้มีที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า
ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
และเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้อย่างคุ้มค่า
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบที่มาของไม้ที่จะนำมาแปรรูปให้ชัดเจนและรัดกุม
เพื่อป้องกันปัญหาการลักลอบตัดไม้จากป่าธรรมชาติ หรือการนำไม้ที่ได้จากที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิมาแปรรูปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1219 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในท้องที่ 13 จังหวัดชายฝั่งทะเล | ทส. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓
กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง
รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศไทย) วันที่ ๒๒
สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง
มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาจัดการพื้นที่ป่าชายเลน)
เพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ในท้องที่ ๑๓ จังหวัดชายฝั่งทะเล
เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลน เนื้อที่รวม ๕๗๓-๓-๗๘ ไร่
ไปดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคม
เช่น ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่
และการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีที่ดินทำกิน
ตลอดจนการสงวนพื้นที่ที่ยังคงสภาพความเป็นพื้นที่ป่าชายเลนหรือป่าชายหาด
รวมถึงการกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและคุ้มครองการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมภายหลังจากที่ได้ดำเนินการตามเป้าหมายการจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าว
ควรกำหนดให้ชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้ทำกินในป่าชายเลนดังกล่าวมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากยิ่งขึ้นจากที่เป็นอยู่ด้วย
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนเป็นไปอย่างยั่งยืน หน่วยงานดำเนินการตามมาตรา ๖๒
ห้ามมิให้ผู้ใดทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่
เพื่อให้การจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชนเป็นไปอย่างถูกต้องตามพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1220 | การให้การยอมรับในข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด (Ban Amendment) | ทส. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการให้การยอมรับในข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด
(Ban Amendment)
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำตราสารการยอมรับ (Instrument of
Acceptance) และส่งมอบให้เลขาธิการสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไป โดยการแก้ไขอนุสัญญาบาเซลฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑)
ห้ามประเทศตามภาคผนวก VII ได้แก่ ประเทศสมาชิกในกลุ่ม OECD,
EC และลิกเตนสไตน์ ส่งของเสียอันตราย (เช่น
ของเสียจากการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ ของเสียจากการผลิต การผสม หรือการใช้สารเคมี
หมึก เรซิน และของเสียจากการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม)
ไปยังประเทศอื่นที่ไม่อยู่ในภาคผนวก VII และเพิ่มเติมภาคผนวก
๒,๘ และ ๙ เกี่ยวกับขยะพลาสติก เช่น โพลีเอทิลีน (PE)
โพลีโพรพีลีน (PP) โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ให้เป็นของเสียอันตรายในอนุสัญญาบาเซลฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตราย
และการกำจัด (Ban Amendment)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นว่าข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลฯ
เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่หากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าสามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาและไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ขยะที่นำเข้ามาต้องสะอาดและไม่มีของเสียอันตรายปนเปื้อน
ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งขยะหรือของเสียอันตรายกับขยะพลาสติก
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
(องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการขยะพลาสติกในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้สามารถนำขยะพลาสติกในประเทศไปใช้เป็นวัตถุดิบรีไซเคิลทดแทนการนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น
รวมทั้งช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
