ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 71 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1401 - 1420 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1401 | การดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา "เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต" | นร.01 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเรียกร้องของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น
กรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ
"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ ๔ อำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา "เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต" ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ
"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ ๔ อำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา "เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต" เสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่นสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สถาบันการศึกษาในพื้นที่ ฯลฯ
ร่วมกันจัดให้มีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) และแผนแม่บทต่าง ๆ โดยให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ
และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของภาคประชาชน
เช่น เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ฯลฯ รวมถึงผลการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ
"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ ๔ อำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา "เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต"
ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานของรัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รอผลการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ชาติ
(SEA)
ให้เป็นที่ยุติก่อนการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและกฎหมายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ
"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ ๔ อำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา "เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต"
ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1402 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | กค. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการคงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเดิม
ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ และในปี ๒๕๖๗
กระทรวงการคลังจะพิจารณาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีความเหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการคงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเดิม ตามบทเฉพาะกาล
มาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
โดยใช้อัตราภาษีตามมูลค่าของฐานภาษี ดังนี้ ๒.๑
ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม อัตราภาษี ร้อยละ
๐.๐๑-๐.๑ ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ๒.๒ ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย
อัตราภาษีร้อยละ ๐.๐๒-๐.๑ ตามมูลค่าที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้าง ๒.๓
ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่น นอกจาก ๒.๑ และ ๒.๒ อัตราภาษีร้อยละ
๐.๓-๐.๗ ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ๒.๔
ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
อัตราภาษีร้อยละ ๐.๓-๐.๗ ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรจะต้องพิจารณาถึงแหล่งเงินรายได้อื่น
และเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประกอบด้วย
รวมทั้งการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ ตลอดจนการรายงานผลการดำเนินงานและผลกระทบตามมาตรการภาษีที่ผ่านมา
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย
และเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนถึงภาระภาษีที่แท้จริงตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูล
และระบบการบริหารจัดการฐานข้อมูลการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เพื่อให้สามารถประกาศใช้อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีความเหมาะสมได้ในปี
๒๕๖๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1403 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 5/2564 | นร.11 สศช | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ๑.๒
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตามมติคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19)
และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1404 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการขนส่งเอสแคป ครั้งที่ 4 | คค. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
และร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
(ค.ศ. ๒๐๒๒-๒๐๒๖) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการส่งเสริมการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืน
ผ่านการกำหนดเป้าหมายและวางแผนโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อมุ่งสู่การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี
ค.ศ. ๒๐๓๐ ๑.๒
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1405 | การจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ (Peacebuilding Fund) ของสหประชาชาติ | กต. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบต่อการจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ [Peacebuilding
Fund (PBF)]
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดการบริจาคเงินให้แก่ PBF และการบริหารจัดการ
PBF ตามข้อกำหนดและเงื่อนไข
ซึ่งจะบังคับกับองค์การที่เป็นผู้รับและตัวแทนบริหารจัดการให้ดำเนินการตามแนวทางที่สหประชาชาติกำหนดอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
โดยไม่มีการกำหนดพันธกรณีสำหรับผู้บริจาค โดยข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
ผู้บริจาคโอนเงินสนับสนุน จำนวน ๑ แสนดอลลาร์สหรัฐ
ทันทีภายหลังจากการลงนามข้อตกลงฯ (๒) องค์การที่เป็นผู้รับดำเนินกิจกรรมตามแผนงานซึ่งผู้บริจาคได้ช่วยสนับสนุนทางการเงิน
(๓) ข้อตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับเมื่อผู้เข้าร่วมได้ลงนาม
และอาจจะถูกยกเลิกได้โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า ๓๐ วัน
และจะมีผลใช้บังคับจนกว่าข้อตกลงจะสิ้นสุดหรือถูกยกเลิก ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
ณ นครนิวยอร์ก เป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ของฝ่ายไทย ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1406 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ และเพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเส้นทางลำเลียงแร่ ทางตรวจการ พื้นที่รักษาความปลอดภัย และโครงการปลูกต้นไม้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ระหว่างแปลงประทานบัตร ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี | อก. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ชี้แจงว่า พื้นที่ทั้งหมดที่เสนอขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ๑ บี และ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่
รวมถึงพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเส้นทางลำเลียงแร่ ทางตรวจการ
พื้นที่รักษาความปลอดภัย
และโครงการปลูกต้นไม้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ระหว่างแปลงประทานบัตรที่ ๒๗๘๗๔/๑๔๗๖๖
และที่ ๒๗๘๙๓/๑๕๐๓๑ เนื้อที่ ๑๔๐ ไร่ ๒ งาน ๗๑ ตารางวา ของบริษัท ที่พีไอ โพลีน
จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี ในครั้งนี้
เป็นพื้นที่เดิมที่เคยได้รับการผ่อนผันให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑
บี และ ๑ บีเอ็ม มาก่อนแล้ว สำหรับการดำเนินคดีอาญากับบริษัทฯ นั้น
พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องทุกคดีและคดีถึงที่สุดแล้ว
ส่วนคดีแพ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
ซึ่งหากผู้ประทานบัตรกระทำผิดก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ทางราชการ ๒.
อนุมัติการขอผ่อนผันให้บริษัทฯ ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี และ ๑
บีเอ็ม
เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๓-๗/๒๕๕๖ และที่ ๙-๑๑/๒๕๕๖
ซึ่งร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกัน และตามคำขอที่ ๒๗๓๔๐/๑๔๓๙๐ ๒๗๓๔๑/๑๔๓๙๑
และที่ ๒๗๓๔๘/๑๔๓๙๒ ของผู้ขอเอง และเพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเส้นทางลำเลียงแร่ ทางตรวจการ พื้นที่รักษาความปลอดภัย
และโครงการปลูกต้นไม้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ระหว่างแปลงประทานบัตร ตามคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าตามมาตรา ๕๔
แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ ๑๕
พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔)
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับการประกอบกิจการของผู้รับประทานบัตรให้เป็นไปตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และเงื่อนไขต่าง ๆ โดยเคร่งครัด รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับบริษัทฯ
และกำกับดูแลให้บริษัทฯ ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม
เช่น สมควรผ่อนผันให้บริษัทฯ ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี และ ๑
บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่เฉพาะในพื้นที่ตามประทานบัตรเดิม ตามคำขอประทานบัตรที่
๓-๗/๒๕๕๖ และที่ ๙-๑๑/๒๕๕๖ คำขอที่ ๑๒-๑๗/๒๕๕๖ จำนวน ๑๔ แปลง (๓,๖๖๙ ไร่) เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1407 | ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ พ.ศ. .... (การพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ ในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564) | ยธ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ทรงมีแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์
โดยมีการตราพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ โดยในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ สมควรจะมีการพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์
เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี
อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
และให้ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับมาก ห้ามมิให้เสนอข่าว ให้ข่าว หรือให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้จนกว่าพระราชกฤษฎีกาจะประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดระบบการรักษานอกเรือนจำ
เพื่อดูแลรักษาพยาบาลให้แก่ผู้ต้องโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว
ซึ่งเป็นคนเจ็บป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น
คนเจ็บป่วยซึ่งมีภาวะติดเตียงหรือมีโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
คนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และคนเจ็บป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1408 | การจัดทำแผนการ (Roadmap) สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส (ค.ศ. 2021-2023) | กต. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนการ (Roadmap) สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส (ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๓) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้
ดังนี้ (๑) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสในระยะ
๓ ปี โดยเน้นความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
ภายใต้บริบทสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์ชาติของไทย การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส
ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ภายในปี ๒๕๖๖ (๒) กรอบความร่วมมือ ๔ ส่วน ได้แก่
การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคง
การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
การเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน
เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผ่านการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์
ภาษาและวัฒนธรรม และการส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นระดับโลก
โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับทวิภาคี
ภูมิภาค และระหว่างประเทศ โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามร่างแผนการ (Roadmap)
สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส (ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๓) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
โดยปรับแก้ถ้อยคำในร่างแผนการฯ ฉบับภาษาไทย ส่วนที่ ๑ ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสันติ
เสถียรภาพและความมั่นคง ให้ตรงกับกฎหมายและหลักปฏิบัติภายในประเทศ ดังนี้ ๑. (ง)
คำว่า “การบ่มเพาะความรุนแรงและแนวคิดสุดโต่ง” ปรับแก้เป็น
“การบ่มเพาะแนวคิดสุดโต่ง” ๒. (ช) คำว่า “ขบวนการอาชญากรรม” ปรับแก้เป็น. “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
๓. (ช) คำว่า “การค้าอาวุธ” ปรับแก้เป็น “การลักลอบค้าอาวุธ” ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามถ้อยคำจากร่างแผนการฯ
คู่ฉบับภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศสเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับกฎหมายรวมถึงแนวปฏิบัติของหน่วยงานรับผิดชอบของฝ่ายไทย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนการ (Roadmap) สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส (ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๓) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1409 | การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร.08 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ขยายระเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๕ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ
ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่
๑๕) และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนด
ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ รวม ๓ ฉบับ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติการป้องกัน
แก้ไข ระงับยับยั้ง ฟื้นฟู หรือช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1410 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2564 | นร.11 สศช | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ จำนวน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ โดส (Sinovac)
โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนตุลาคม ๒๕๖๔
เป็น สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ (๒) อนุมัติให้กรมการจัดหางาน ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์
รวมทั้งธุรกิจ SMEs สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง (๓) มอบหมายให้กรมการจัดหางาน
กำหนดให้มีกลไกการตรวจสอบสภาพการจ้างงานใหม่
กรณีที่เป็นลูกจ้างรายวันจากฐานข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก
โดยการจ่ายเงินอุดหนุนจากรัฐผ่านโครงการฯ
ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการให้เงินอุดหนุนตามจำนวนลูกจ้างรายวัน ๑ ราย ต่อ ๑ นายจ้าง
เท่านั้น และ (๔) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๑ (๑๐ กรกฎาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๔) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ โดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง โดยเร็ว และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
และตามรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๑ โดยเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้
การจัดหาเงินและการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กรมการจัดหางานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่ควรเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1411 | ขออนุมัติวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๔/๖๕
เพิ่มเติม จำนวน ๗๖,๐๘๐.๙๕ ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินจ่ายชดเชยให้เกษตรกร จำนวน
๗๔,๕๖๙.๓๑ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จำนวน ๑,๕๑๑.๖๔ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี
๒๕๖๔/๖๕ จำนวนทั้งสิ้น ๘๙,๓๐๖.๓๙ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ โดยการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส.
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้
ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินการจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ ธ.ก.ส. ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ตรวจสอบพื้นที่และที่มาของปริมาณผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วนไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน และ (๒)
กำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่มีปริมาณมากและคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning)
และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ
ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ดังกล่าว มาใช้ในการดำเนินโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตได้ต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๙
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1412 | ขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 | กษ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๖๕.๖๙
ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรณีราคายางตกต่ำ
ในช่วงวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งค่าบริหารโครงการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและการยางแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔)
ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔) และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรอบวงเงินภายใต้ตามมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีวงเงินคงเหลือไม่เพียงพอ
ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย
เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
กรณีเกษตรกรชาวสวนยางมีเป้าหมายในการดำเนินการในพื้นที่ป่าไม้จะต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง
ครบถ้วน เป็นไปตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวน พ.ศ. ๒๕๐๗
และพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ตลอดจนระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ ๒๐ ปี
เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและการพัฒนาอาชีพและรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงโดยไม่สร้างภาระด้านงบประมาณแก่ประเทศไทยในระยะยาว
และเร่งพิจารณาแหล่งเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณทั้งในปัจจุบันและอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายในการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการตามนัยมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว
มาใช้ในการดำเนินงานโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1413 | โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๕๔,๙๗๒.๗๒
ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงิน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม
มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป
พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ
(๒) เนื่องจากโครงการสนับสนุนสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้พืชต่าง
ๆ เป็นนโยบายของรัฐที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาและมีการดำเนินการเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางด้านการคลัง
หากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ก็ควรบรรจุโครงการรัฐดังกล่าวในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนปกติเพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็น
เช่น ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ในกรณีที่รัฐบาลใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการต่าง
ๆ มีจำนวนประมาณ ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ๒.๒ รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทุกโครงการ
ตลอดจนคำนึงถึงการกระจายความช่วยเหลือไปยังเกษตรกรในสาขาหรือพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นด้วย
และ (๒) เพื่อให้เกิดการปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ตลอดจนลดภาระงบประมาณของภาครัฐระยะยาว เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (๒.๑) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และ (๒.๒) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรเตรียมพร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่สร้างมูลค่าสูงและมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
๒.๓ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (๑) เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่และที่มาของผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนจัดทำต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยง และความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์
เพื่อกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
และ (๒) ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมพิจารณากำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่ปริมาณมาก และคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning) และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง
โดยไม่ให้เกิดส่วนต่างที่เกินความจำเป็นของราคาที่รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น
และจะต้องคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณ
ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามกฎหมายวินัยการคลัง
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มีนาคม ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดด้วย (เช่น ให้มีการปฏิรูปภาคการเกษตร
พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณ ให้มีความเหมาะสม
ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายทุกปี
และจัดระบบตรวจสอบกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้มีความรัดกุม เป็นต้น) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1414 | การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ | นร.04 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงว่า
การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการประจุไฟฟ้าของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ราชการสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบของทางราชการ
โดยกรณีที่เป็นการเช่ารถยนต์ส่วนกลาง
การเบิกจ่ายค่าบริการประจุไฟฟ้าถือเป็นค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการตามนัยข้อ
๑๘ (๑)
ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๓ และกรณีที่เป็นรถยนต์ประจำตำแหน่ง
ผู้ใช้รถประจำตำแหน่งเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวเองตามนัยข้อ ๒๑
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ)
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะ ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย
และแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเช่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในภารกิจของหน่วยงานของรัฐ
ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว ๓. อนุมัติเป็นหลักการว่า
ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
(Electric
Vehicle: EV) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ให้ทุกส่วนราชการสามารถจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ (รถตู้หรือรถกระบะ) สันดาปภายใน
หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน
ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้
ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้เน้นรถยนต์ HEV หรือ PHEV
เป็นหลัก
เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างน้อยร้อยละ
๓๐ ภายในปี ๒๕๗๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1415 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ | นร.09 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ) เป็นการชั่วคราว และให้พิจารณาจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์โดยสาร ๑๒ ที่นั่ง (รถตู้) สันดาปภายใน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานระบบรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1416 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติเพื่อจัดการฝึกอบรม United Nations Senior National Planners Course ค.ศ. 2021 | กห. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติเพื่อจัดการฝึกอบรม
United Nations Senior National Planners Course ค.ศ. ๒๐๒๑ ระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ ประเทศไทย
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม
United Nations Senior National Planners Course ค.ศ. ๒๐๒๑
ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการและขั้นตอนการจัดกำลังเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพให้มีประสิทธิภาพ
และจะเป็นโอกาสอันดีที่กำลังพลของกองทัพไทยจะได้รับทราบข้อมูล
เพื่อนำมาพัฒนาขีดความสามารถด้านการเตรียมกำลังพลในการเข้าร่วมภารกิจปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
ตลอดจนเป็นการแสดงบทบาทนำและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในการมีส่วนร่วมสนับสนุนภารกิจการปฏิบัติการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบสหประชาชาติในอนาคตต่อไป
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติเพื่อจัดการฝึกอบรม
United Nations Senior National Planners Course ค.ศ. ๒๐๒๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติเพื่อจัดการฝึกอบรม
United Nations Senior National Planners Course ค.ศ. ๒๐๒๑ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกองบัญชาการกองทัพไทยตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1417 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกทางยุทธวิธีกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ | ตช. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จากเดิม รายการโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกทางยุทธวิธีกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔
ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๓๗,๘๙๐,๐๐๐ บาท เป็น
รายการโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกทางยุทธวิธีกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ตำบลบัวขาว อำเภอสีคิ้ว
จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๑๙,๕๕๐,๐๐๐ บาท
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1418 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 39/2564 | นร.11 สศช | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๙/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โดยให้จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดลำพูน จังหวัดนนทบุรี
จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดกาญจนบุรี
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ หรือยกเลิกกิจกรรมภายใต้โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ.
๒๖๕๓ ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1419 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครั้งที่ 15/2564 | นร.11 สศช | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการฯ
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการโดยเคร่งครัด
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับผู้เสนอโครงการตั้งแต่ตอนการเสนอโครงการ
การอนุมัติและเบิกจ่ายเงินกู้และการรายงานผลการติดตามและประเมินผลโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในกรอบการดำเนินการและคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ โดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑)
อนุมัติให้กรมการจัดหางาน
ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs (๒) มอบหมายให้กรมสรรพากร
พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีที่กำหนดให้เงินอุดหนุนที่รัฐจ่ายให้นายจ้างจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้วแต่กรณีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
(๓) เห็นชอบกรอบการดำเนินการและคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการ
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการโดยเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
ที่ควรซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับผู้เสนอโครงการตั้งแต่ตอนการเสนอโครงการ
การอนุมัติและเบิกจ่ายเงินกู้และการรายงานผลการติดตามและประเมินผลโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของกรอบการดำเนินการและคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ ให้เป็นไปตามข้อ ๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1420 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 16 (CMP 16) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 3 (CMA 3) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร | ทส. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๖ (COP 26)
การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๖ (CMP 16)
การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 3 (CMA 3) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร และถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำ
(World Leaders Summit) ในห้วงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๖ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องเร่งจัดเตรียมการดำเนินงานตามภารกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำ
(World Leaders Summit)ในห้วงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|