ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการ Country Programme (CP) ระยะที่ 2 และการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการต่ออายุโครงการ Country Programme ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) | นร.11 สศช | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการต่ออายุโครงการ Country Programme ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๖.๗๒๐๑ ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ Country Programme ระยะที่ ๒
โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน จำนวน ๑๑๙.๑๐๔๑ ล้านบาท และงบดำเนินงาน จำนวน ๔๗.๖๑๖๐
ล้านบาท
โดยในส่วนของงบเงินอุดหนุนจะจัดสรรให้กับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจำนวนทั้งหมด
เพื่อดำเนินการมอบให้กับ OECD และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
โดยอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
เป็นผู้ลงนามเอกสารดังกล่าวข้างต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการต่ออายุโครงการ
Country Programme ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์กรแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา
(OECD)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
902 | โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) | กค. | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านล้านหลัง
ระยะที่ ๓ ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอาคารสงเคราะห์)
รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ควรจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการ
และติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Formming Loans : NPLs) รวมทั้งควรมีการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของกลุ่มลูกค้ารายย่อยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการให้ความช่วยเหลืออื่นในลักษณะเดียวกันด้วย
ควรจัดลำดับความสำคัญให้กับประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ บาท ต่อเดือน เป็นลำดับแรก
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑-๒ ควรมีช่องทางการเข้าร่วมโครงการที่หลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
ไม่จำกัดเฉพาะช่องทางใดช่องทางหนึ่ง และควรบริหารจัดการความเสี่ยง
จัดทำฐานข้อมูลและติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องแบบครบวงจร
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สำหรับภาระงบประมาณในการชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห์กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการบ้านล้านหลัง
ระยะที่ ๓ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ในการดำเนินโครงการสร้างที่อยู่อาศัยของประชาชนและการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของประชาชน
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับพื้นที่/ทำเลในการก่อสร้างที่เหมาะสม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ในเขตนอกเมืองของกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ
และพื้นที่ในเส้นทางที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งไว้แล้ว
เพื่อกระจายความเจริญและสร้างความเป็นชุมชนใหม่ ๆ
ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
903 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี | กษ. | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้มีการจ่ายเงินค่าเยียวยาให้แก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายห้วยหลวงหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว
[ตามหนังสือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ด่วนที่สุด ที่ กษ ๐๓๐๗ (คกร)/๕๒๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕] สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร
๐๗๐๗/๓๑๗ ลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจ่ายเงินดังกล่าวให้ถูกต้อง
รอบคอบ
โดยคณะรัฐมนตรีไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงิน
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
ที่เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
โดยไม่ควรกำหนดให้คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของฝ่ายบริหารทำงานปกติประจำ
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
(หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๔๐๒.๕/๑๔๗๗๔ ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เช่น
จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าต่อการใช้งบประมาณและภาระทางการคลัง
โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และกรมชลประทานควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ มีการประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ เช่น กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ
และกรมชลประทานควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบคอบและครบถ้วน เพื่อให้การจ่ายเงินค่าขนย้ายทำได้ในครั้งเดียว
และไม่เกิดปัญหาเช่นเดียวกับโครงการอื่น ๆ ที่ผ่านมา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
904 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ | มท. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
905 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. .... | กก. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
เรื่อง
การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางอากาศ
ช่องทางบกและช่องทางน้ำ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการตรวจลงตราและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตามพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒
โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมืองและผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมือง ๓.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น
ควรมีการพิจารณาประสิทธิภาพการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามร่างประกาศฯ เป็นระยะ
โดยคำนึงถึงภาระของภาคเอกชน การบริหารจัดการ และความสะดวกของผู้เดินทาง
พร้อมจัดทำรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามและทบทวนปรับแนวทางได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย ควรมีการกำหนดแนวทางและแผนการใช้จ่ายประโยชน์จากค่าธรรมเนียมให้มีความชัดเจน
เพื่อให้การใช้เงินค่าธรรมเนียมเกิดประโยชน์ต่อภาคการท่องเที่ยวสูงสุด
ควรเตรียมความพร้อมและดำเนินการทดสอบระบบการรับชำระเงินค่าธรรมเนียมและการเชื่อมโยงข้อมูลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
906 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้เงินผลประโยชน์พิเศษโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน | อก. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้เงินผลประโยชน์พิเศษโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน
โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และเงินค่าปรับของโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน
พร้อมทั้งให้ถอนฟ้องคดีศาลปกครองคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๓๓/๖๕ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๕
และให้โครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียนผ่อนชำระหนี้ด้วยผลผลิตแร่โพแทชตามเงื่อนไขที่กำหนด
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานรับและบริหารจัดการผลผลิตแร่โพแทชที่ได้จากการชำระหนี้ของโครงการ
และพิจารณาแนวทางการผลักดันการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตแม่ปุ๋ยโพแทชเซียมให้แก่ภาคเกษตรกรรมของประเทศ
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคเกษตรกรรมและประเทศชาติต่อไป
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์/ผลกระทบที่จะเกิดแก่ประชาชนเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในภาคการเกษตรที่ควรจะได้ใช้ปุ๋ยเคมีในราคาที่ถูกลงจากปัจจุบันที่มีนัยสำคัญ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น กรณีผ่อนชำระหนี้สินด้วยแร่โพแทชต้องพิจารณาดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้
และควรวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นของโครงการฯ
อย่างรอบด้าน และคณะรัฐมนตรีสามารถทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ เงินผลประโยชน์พิเศษโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียนได้
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
907 | ร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง | สกพอ. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง
และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ
ของฝ่ายไทย โดยบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน
ได้แก่
การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับมณฑลกวางตุ้ง
และเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ความร่วมมือในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ด้านการวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีระยะเวลาบังคับใช้
๓ ปี นับจากวันที่ได้ลงนาม (๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒-๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๕) เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันที่จะขยายระยะเวลาของบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับนี้เป็นลายลักษณ์อักษร
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การพิจารณาจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ ควรประมวลผลการดำเนินความร่วมมือในช่วงที่ผ่านมาและประโยชน์ที่ได้รับเพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักกการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
908 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของสำนักงานอัยการสูงสุด | อส. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของสำนักงานอัยการสูงสุด
และให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๔๘๐,๖๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ
การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามข้อ ๘ และข้อ ๙ (๑)
ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบด้วยแล้ว
และขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
909 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย | คค. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย
และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
โดยผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงและเพิ่มเติมสิทธิการบินระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย
ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑)
ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางการบินจากเดิมแบบกำหนดจุดเป็นพิกัดเส้นทางบินแบบเปิด (๒)
เพิ่มสิทธิการทำการบินจากเดิม ๙ เที่ยวบิน/สัปดาห์ เป็น ๔๒ เที่ยวบิน/สัปดาห์
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่ไม่เข้าข่ายตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
910 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน
ในท้องที่ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าควรพิจารณาปรับแก้แผนที่ท้ายกฎระทรวง โดยตัดสัญลักษณ์และข้อความ
“เขตเส้นพรมแดนตามกฎหมายระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา” ออก
เพื่อให้การจัดทำแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งไม่ปรากฎสัญญาลักษณ์และข้อความดังกล่าว
อาทิ แผนที่ท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำมูโนะ
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ๓๕๖๕ และแผนที่ท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองปูยู
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าส่วนราชการในพื้นที่ควรกำกับดูแลมิให้การดำเนินการดังกล่าวกระทบต่อแนวเขตแดนที่อยู่ระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของ
JBC ไทย-กัมพูชา รวมทั้งปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ ที่กำหนดให้
“ส่วนราชการที่รับผิดชอบการก่อสร้างถนนหรือการกระทำใด ๆ
บริเวณชายแดนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน
ต้องประสานกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อร่วมตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
911 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัยปี 2565 | กษ. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทาน ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓,๐๙๒,๗๑๖,๓๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัยปี
๒๕๖๕ รวม ๑,๑๖๗ รายการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง โปร่งใส
ตรวจสอบได้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรส่งรายละเอียดข้อมูลโครงการฯ
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และแผนงานการบูรณาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ให้เป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
912 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์ยาและสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล | อว. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อสร้าง
จำนวน ๕๙,๕๕๐,๐๐๐ บาท
งานก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์ยาและสมุนไพร
มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยงบประมาณในส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นการใช้เงินรายได้สมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล
และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการก่อสร้าง จากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่อไป ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งควรมีการกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบการดำเนินการเป็นระยะ ๆ
เพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
913 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่ได้มอบหมายให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติพิจารณา | มท. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบมอบหมายให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีจำนวน
๕ มติ ได้แก่ นโยบายการใช้และกรรมสิทธิ์ที่ดิน
การพิจารณาถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อนำไปจัดให้แก่ประชาชน
การควบคุมการจัดที่ดินขอหน่วยงานที่ดำเนินการจัดที่ดิน
การพิจารณากำกับนโนบายที่ดินแห่งชาติ
และการจำแนกที่ดินออกจากป่าไม้ถาวรซึ่งอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จึงไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดที่ดิน
แต่จะเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามนัยมาตรา ๑๐ (๑) และ
(๔) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการกรณีที่ดินของรัฐที่อยู่ในความครอบครอง
หรือใช้ประโยชน์ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
หรือที่ได้อนุญาต/อนุมัติให้เอกชนเข้าทำประโยชน์หรือได้รับสัมปทาน
เมื่อส่วนราชการหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะใช้ที่ดินเสื่อมสภาพ
หรือหมดอายุการอนุญาต/อนุมัติให้เข้าทำประโยชน์หรือหมดอายุสัมปทานที่ให้แก่เอกชน
แล้วแต่กรณี
สมควรที่หน่วยงานเจ้าของที่ดินดังกล่าวจะได้พิจารณาดำเนินการเพื่อส่งมอบที่ดินนั้น
ๆ ให้แก่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาที่ดินของประชาชน
ตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
914 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-เบลเยียม | คค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่เดินอากาศของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเบลเยียม เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเบลเยียมและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการเดินอากาศ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยร่างความตกลงฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หากกระทรวงคมนาคมยืนยันได้ว่าร่างความตกลงฯ ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม
หรือการค้าการลงทุนอย่างกว้างขวาง ก็ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมยืนยัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเบลเยียมและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยบริการเดินอากาศ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
915 | การปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
โดยขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงเฉพาะระดับตำแหน่งที่เกินกว่า ๑๑๓,๕๒๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ดังนี้ (๑) ระดับ ๘ ผู้อำนวยการกอง จาก ๙๙,๙๗๐
บาท เป็น ๑๒๐,๒๗๐ บาท (๒) ระดับ ๙ ผู้อำนวยการฝ่าย จาก ๑๐๘,๘๑๐ บาท เป็น ๑๓๓,๗๗๐ บาท (๓) ระดับ ๑๐
ผู้ช่วยผู้ว่าการ จาก ๑๑๑,๑๖๐ บาท เป็น ๑๓๘,๒๗๐ บาท และ (๔) ระดับ ๑๑ รองผู้ว่าการ จาก ๑๑๓,๕๒๐
บาท เป็น ๑๔๒,๘๓๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการทางพิเศษแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลดำเนินงานของหน่วยงานอย่างรอบคอบ
มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
กำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว เช่น กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มรายได้และชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
916 | ทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย | กก. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยและเห็นชอบรายการปรับหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับรายละเอียดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมและอัตราการคืนเงินของเงื่อนไขต่าง
ๆ ให้เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยตรงเป็นลำดับแรก
เช่น การกระจายรายได้สู่เมืองรอง การเพิ่มการจ้างแรงงานไทย
และการเพิ่มมูลค่าค่าใช้จ่ายในประเทศ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่โดยตรง
๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค)
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบของการใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
และไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาล การดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า
ให้ดำเนินการเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ควรดำเนินการติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ผ่านมา
ทั้งด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม โดยละเอียด
ตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำ ระหว่างถ่ายทำ และหลังการถ่ายทำ เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์
พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เตรียมความพร้อมและประเมินทิศทางและแนวโน้มการขยายตัวของการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยล่วงหน้าเพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมให้มีความครอบคลุม
โดยเฉพาะการจัดหาแหล่งเงินงบประมาณให้เพียงพอเหมาะสมกับความต้องการ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
917 | แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ทส. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ
ต่อไป ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๗
เมษายน ๒๕๖๒ รับทราบ เพื่อเป็นกรอบนโยบายการบริหารจัดการขยะพลาสติกในภาพรวมของประเทศและเป็นแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานการจัดการขยะพลาสติกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการระยะที่
๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๕) รวมทั้งยกระดับการจัดการขยะให้ดียิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณองค์ความรู้ด้านวิชาการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างความรู้ความข้าใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ควรเร่งดำเนินการโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง
และปลายทาง
รวมถึงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ขยะพลาสติกทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การกำหนดให้มีการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์
ตลอดจนร่างอนุบัญญัติและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะต้องวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมทั้งจะต้องพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในระยะต่อไป
หากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีแผนระดับที่ ๓ ที่ต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของการเสนอแผนระดับที่ ๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) วันที่ ๓
ธันวาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ) วันที่ ๑๕
ธันวาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓ ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน...
เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๔ (เรื่อง
คู่มือแนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓ และการเสนอแผนระดับที่ ๓
ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน... ต่อคณะรัฐมนตรี) ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
918 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการ ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขอขยายระยะเวลาก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,576 ตารางเมตร (ปรับราคา 3 จังหวัดชายแดนใต้) โรงพยาบาลปัตตานี ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 1 หลัง | สธ. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการและเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารผ่าตัดผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ
เป็นอาคาร คสล. ๗ ชั้น จากพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๑๓,๕๗๖ ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการ ๙๓๐ วัน ในวงเงิน ๑๕๓,๘๔๖,๔๐๐ บาท เป็นพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๑๔,๗๐๓ ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการ ๑,๓๙๕ วัน ในวงเงิน
๓๕๖,๖๖๔,๐๐๐ บาท และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๙
เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๓๒๔,๑๓๓,๓๐๐ บาท
ขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบวงเงินตามสัญญาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
รับความเห็นของกระทรวงคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรเร่งดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จและถือปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ ของทางราชการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ควรมีการกำกับติดตาม และตรวจสอบการการดำเนินการอยู่เป็นระยะ ๆ
เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างเป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
919 | การกําหนดระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสําหรับโครงการ "บ้านคนไทยประชารัฐ" บนที่ดินราชพัสดุ | กค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนิน “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน
(Pre Finance และ Post Finance)
สำหรับธุรกรรมนโยบายภาครัฐ “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” ออกไปอีก ๑ ปี
(ตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.อนุมัติให้ยกเลิกการดำเนิน
“โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ ในพื้นที่
๗ จังหวัด ประกอบด้วย (๑) พื้นที่ชลบุรี (๒) พื้นที่เชียงใหม่ (๓) พื้นที่เชียงราย
(๔) พื้นที่ขอนแก่น (๕) พื้นที่ลำปาง (๖) พื้นที่นครพนม และ (๗) พื้นที่อุดรธานี ๓.
ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์)
และหน่วยงานที่เกี่ยข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ควรมีกระบวนการคัดกรองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
ปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้ที่มีความจำเป็น และได้รับสิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
920 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน | คค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๑๒
ตอน วงเงิน ๔,๙๗๐,๗๑๐,๖๖๖ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้แก่
(๑) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๖ จำนวน ๓ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๕ ,ตอนที่
๒๐ และตอนที่ ๒๔ (๒) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗ จำนวน ๕ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๒, ตอนที่ ๑๘ ตอนที่ ๑๙ ตอนที่ ๓๔ และตอนที่ ๓๙ และ (๓)
ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๔ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑, ตอนที่ ๔,
ตอนที่ ๒๑, และตอนที่ ๒๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น
ให้กรมทางหลวงดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่
๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เกี่ยวกับแนวปฏิบัติกรณีรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พิจารณาการเปิดให้บริการโครงการฯ บางช่วงของเส้นทางที่แล้วเสร็จ
เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในบริเวณพื้นที่โครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
(กรมทางหลวง)
เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมและกำกับการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้
รวมทั้งตรวจสอบงานก่อสร้างในส่วนที่ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนการแก้ไขสัญญาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และดำเนินการให้ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|