ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 11378 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
จากเดิม อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนเองของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๗ เป็น ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี
๒๕๗๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่า
ให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25 - 31 มกราคม 2568 ภาคการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการตามมาตรการวงเงิน 190.43 ล้านบาท | คค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๐.๔๓
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม
และกรุงเทพมหานครในการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ
ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๘ ตามปริมาณผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง
โดยไม่เกินกรอบวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ในเขตป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยศาลาพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรีท้องที่ตำบลไพรพัฒนาอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ | มท. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชีและข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ)
และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑
เอ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน
ในการดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรี ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | การขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะ MOU ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 | รง. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะ MOU ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว เมียนมา
และเวียดนามซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..) ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา
และเวียดนามซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..) ๒.๓
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
.... ๒.๔
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
.... รวม
๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า โดยที่แนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่กระทรวงแรงงานได้เสนอมาในครั้งนี้
ซึ่งจะต้องมีการออกประกาศตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
และพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อขออนุญาตทำงานให้ถูกต้อง และมิให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ
และโดยที่การออกประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดผลดังกล่าวและเกิดความต่อเนื่องจึงมีกรอบระยะเวลาสำหรับการดำเนินการที่จำกัด
สมควรที่กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจารณาและมีความเห็นในสาระสำคัญของร่างประกาศที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตั้งแต่ในชั้นการเสนอร่างประกาศ
เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจพิจารณาร่างประกาศดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | การเร่งรัดการดำเนินการเบิกจ่ายงบลงทุนของทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการประชุมเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เพื่อติดตามความคืบหน้าในการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ
และจะมีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในเดือนมีนาคม
๒๕๖๘ นี้ นั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุน
สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้โดยเร็ว
อันจะส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับไปประสานกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณของทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | การสรรหาพันธมิตรของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) โดยสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญด้านการเงินตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อเข้าร่วมลงทุนใน ธอท.
โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
และให้ความสำคัญกับการให้บริการในทุกพื้นที่ที่มีชาวไทยมุสลิม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ
ธอท. ในการให้บริการทางการเงินที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
รองรับความต้องการของชาวไทยมุสลิมได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งกระทรวงการคลังจะไม่เพิ่มทุนใน
ธอท. โดยการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องไม่ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังใน
ธอท. ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ในช่วง ๑ ปี นับจากวันที่การสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนเสร็จสมบูรณ์
และพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องมีข้อเสนอเกี่ยวกับการดูแลพนักงาน ธอท.
ที่เหมาะสมและเป็นธรรม ขั้นตอนการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนให้ดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณารายละเอียดการถือหุ้น วิธีการ
ราคาและสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังที่เหมาะสม
โดยให้พิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | สกพอ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์
สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ของฝ่ายไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างไทย-จีน
โดยดำเนินการในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น
(๑) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (๒) สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายด้านดิจิทัล (๓)
ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร เช่น
เครือข่ายบรอดแบนด์และระบบนำทางด้วยดาวเทียม (๔) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ
เช่น ระบบ AI
และเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ และ (๕) พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น
ระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ และคลังสินค้าอัจฉริยะ
รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านดิจิทัลและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระหว่างกัน
ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ
เอกชน และสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อสามารถเชื่อมโยง ขยายผล และต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล
ภายใต้กรอบความร่วมมือของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวไปยังพื้นที่อื่น
ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสร้างมูลค่าจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลได้ยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of
Understanding on Jointly Supporting the Building of Joint Laboratories in
Artificial Intelligence between the Ministry of Higher Education, Science,
Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science
and Technology of the People’s Republic of China) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความร่วมมือด้านการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์
(AI) และการประยุกต์ใช้ AI แบบบูรณาการระหว่างสถาบันวิจัย
มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงของทั้งสองประเทศ
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและพัฒนานักวิจัย ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | ขออนุมัติการลงนามในพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ กักกันโรค และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ของผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกมายังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กษ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ
กักกันโรค และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ของผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกมายังสาธารณรัฐประชาชนจีน
ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานศุลกากรจีน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ
โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการระบุหลักเกณฑ์ด้านการตรวจสอบและการกักกันโรคสำหรับผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกไปยังจีน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ | ดศ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนความร่วมมือด้านการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence - AI) และการประยุกต์ใช้ AI แบบบูรณาการระหว่างสถาบันวิจัย
มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงของทั้งสองประเทศ
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและพัฒนานักวิจัย โดยฝ่ายไทยและจีนจะพิจารณามอบหมายหน่วยงานในสังกัดที่มีภารกิจเกี่ยวข้องให้ร่วมจัดตั้งและพัฒนาห้องปฏิบัติการร่วมเพื่อดำเนินกิจกรรมความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริการไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและการไปรษณีย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | ดศ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริการไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและการไปรษณีย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือการแลกเปลี่ยนด้านไปรษณีย์
และการพัฒนาบริการไปรษณีย์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ
ผ่านการจัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ระหว่างสองประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญระหว่างกัน เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมไปรษณีย์
การวางแผนการพัฒนา ความปลอดภัยทางไปรษณีย์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นระยะเวลา
๕ ปี ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ฉบับ | อว. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้
๑) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน
เกี่ยวกับอุปกรณ์สำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ไทย - จีน
ภายใต้พันธกิจอวกาศยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ หมายเลข ๗ โดยมีสาระสำคัญในการวางกรอบข้อตกลงและข้อกำหนดสำหรับความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายในการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์สำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ไทย
- จีน ภายใต้พันธกิจอวกาศยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ หมายเลข ๗ และ ๒)
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การพลังงานปรมาณูแห่งชาติจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ
มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในการใช้พลังงานนิวเคลียร์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ
การพัฒนาความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับของทั้งสองประเทศ
ตลอดจนสนธิสัญญาและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้ง ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่ากรณีค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | ขอรับการสนับสนุนการจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 | สขค | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดิน
เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.)
ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อให้สำนักงาน กขค. มีรายได้ของสำนักงานจำนวนพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพของสำนักงาน
กขค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ จำนวน ๓๙๒.๙๙๕๕ ล้านบาท และอนุมัติให้ สำนักงาน กขค.
ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
เสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองการลงทุนภายใต้ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ | กต. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙
สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
การพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้ความคุ้มครองการลงทุนภายใต้ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง
ๆ เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองการลงทุนภายใต้ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ
ตามที่คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศเสนอ และรับทราบผลการดำเนินการของคณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๖๖ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองการลงทุนภายใต้ความตกลงฯ
ให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น
และเป็นประโยชน์ในการพิจารณาท่าทีสำหรับการเจรจาความตกลงฯ
ทั้งที่อยู่ระหว่างดำเนินการและที่มีแผนจะเจรจาต่อไปในอนาคต ตามที่คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศเสนอ ๒.
ให้คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองการลงทุนใหม่นี้ให้แก่ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติในการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) | นร.01 | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องและเงินยังชีพรายเดือนแก่บุตรเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคง
การรักษาความสงบเรียบร้อย และการปราบปรามยาเสพติดทั่วประเทศ
ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ (คทช.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงอุตสาหกรรม) | อก. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
จำนวน ๓ คณะ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ๒.
คณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ขออนุมัติดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) | คค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย
(ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) (โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒)
มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ (One Belt One Road : OBOR) โดยจะเป็นการเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางรางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
ในส่วนที่กระทรวงการคลังมีความเห็นว่า การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒
จำเป็นต้องใช้เงินกู้ในการดำเนินโครงการเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งกระทรวงคมนาคมมีโครงการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกันอีกหลายโครงการ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ในการดำเนินโครงการอื่น
ๆ อันอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเข้าใกล้กรอบร้อยละ
๗๐ นั้น กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยจะรับไปศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ ในส่วนของการเดินรถ การลงทุน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล
รวมถึงในส่วนของการดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทาก่อนดำเนินการต่อไป
ซึ่งจะช่วยลดภาระในส่วนของวงเงินงบประมาณและเงินกู้ที่ใช้ในการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒
รวมทั้งจะพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน
ตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ด้วย
โดยจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินการในส่วนของการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินและการก่อสร้างงานโยธาภายในกรอบวงเงิน
ดังนี้ ๒.๑
ค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน ๑๒,๔๑๘.๖๑ ล้านบาท ๒.๒
ค่างานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๒๓๗,๔๕๔.๘๖
ล้านบาท ๒.๓
ค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๖,๕๓๐.๐๑ ล้านบาท ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สำหรับเป็นค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินตามข้อ ๒.๑
โดยในส่วนค่างานก่อสร้างโยธาและค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา ตามข้อ ๒.๒ และข้อ ๒.๓
ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ให้ตามความเหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าชำระค่าคืนต้นเงินกู้
ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการก่อสร้างงานโยธาให้เป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคที่เหมาะสมและใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัด
มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญต่อไป ทั้งนี้
เพื่อเป็นการลดแรงกดดันทางการเงินการคลังของประเทศในภาพรวม ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ เช่น การลงทุนระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล การลงทุนเครื่องมือ/อุปกรณ์
และรถจักร ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา เป็นต้น ในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม
๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘)
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่
๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลงทุนในโครงการที่มีความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก รวมถึงกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
ที่มีผลการดำเนินงานที่ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เป็นอย่างมาก
เพื่อให้การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายและเป็นไปตามสมมติฐานของอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
(EIRR) ในการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
และป้องกันความเสี่ยงของต้นทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่รัฐต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นด้วย
ตลอดจนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเดินรถช่วงกรุงเทพมหานคร
- นครราชสีมา และนครราชสีมา - หนองคาย
ตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ)
ให้แล้วเสร็จทันแผนการเปิดให้บริการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการจัดหาผู้เดินรถกรณีที่ผลศึกษารูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนยังไม่แล้วเสร็จ
เป็นต้น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก
เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณและภาระทางการคลังของภาครัฐในอนาคตเกินสมควร และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย รวมถึงศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา
ให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการ
และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว ๕.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๘ (เรื่อง ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย
- จีน ครบรอบ ๕๐ ปี) ด้วย ๖.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ
(Project Feasibility) ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอายุของรายงานฯ
ที่จะนำไปใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบโครงการ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและสอดดล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาโครงการลงทุนที่จะดำเนินการในอนาคตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินของโลก
(Financial Hub) และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย
ผ่านกลไกในการส่งเสริม กำกับดูแล
และการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial
Hub เพื่อให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
(Non-residents) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นควรคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจของหน่วยงาน
ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ และความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
มีนาคม ๒๕๖๗ ที่มีเป้าประสงค์ในการนำงบประมาณรายจ่ายประจำที่ปรับลดได้ไปจัดสรรเป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการเป็นหน่วยงานของรัฐ
และหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่ ก.พ.ร. กำหนด
ควรมีการวางแผนการบริหารจัดการและการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว
และนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
การควบคุมขนาดกำลังคนภาครัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทางการเงินหลายฉบับ
สมควรรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
เพื่อให้การกำกับดูแลสอดคล้องกัน และเพื่อพัฒนาระบบ Financial Services ของประเทศในภาพรวมให้ทันสมัยขึ้นด้วย
และการจัดตั้งสำนักงานขึ้นใหม่อาจสร้างปัญหาต่อระบบงบประมาณในระยะยาว และอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะลดขนาดภาครัฐ
กว่าจะจัดตั้งขึ้นได้ก็ต้องใช้เวลานาน
สมควรพิจารณาว่าการมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้วทำหน้าที่ดังกล่าวเพิ่มเติมจะเหมาะสมกว่าหรือไม่
เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้
ความเข้าใจ
และประโยชน์ที่จะได้รับของการจัดตั้งศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน
ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าการพัฒนาศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินควรคำนึงถึงการพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทควบคู่กันด้วย
ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมระบบการระงับข้อพิพาททางเลือกในประเทศไทย อาทิ
การอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะช่วยให้การระงับข้อพิพาทสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยสามารถเลือกผู้ชี้ขาดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
อันจะนำไปสู่กระบวนพิจารณาที่มีประสิทธิภาพและคู่ความยอมรับคำชี้ขาดซึ่งนำไปบังคับตามกฎหมายต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิศิษฐ์ แสง-ชูโต ฯลฯ จำนวน 6 คน) | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
จำนวน ๖ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิศิษฐ์ แสง-ชูโต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาวิศวกร ๒. นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาสถาปนิก ๓. นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕. นายประยงค์ หิรัญญะวณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้
ความเชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรรม ๖. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ
ด้านสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | รายงานผลการดำเนินงาน โครงการแก้ปัญหาการกระจายทันตแพทย์ โดยกำหนดเงื่อนไขการเข้ารับราชการ | สธ. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงาน
โครงการแก้ปัญหาการกระจายทันตแพทย์โดยกำหนดเงื่อนไขการเข้ารับราชการ โดยคณะกรรมการพิจารณาฯ
ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ มีผลการดำเนินงานสรุปได้
ดังนี้ ๑) คณะกรรมการพิจารณาฯ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม
๒๕๖๕ มีมติเห็นชอบแผนความต้องการนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ให้สัญญาของส่วนราชการและหน่วยงาน
ระยะ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกันจัดทำแผนความต้องการนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ให้สัญญาระยะ
๕ ปีเพิ่มเติม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ ต่อไป และ ๒) คณะกรรมการพิจารณาฯ
ในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดสรรและแนวปฏิบัตินักศึกษาทันตแพทย์ผู้ให้สัญญาเพื่อให้รองรับนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ให้สัญญาที่จะสำเร็จการศึกษาในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ (ปีการศึกษา ๒๕๖๖)
และเพื่อให้หน่วยงานสามารถคัดเลือกนักศึกษาทันตแพทย์ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุนได้ครบตามแผนความต้องการ
และกำหนดตัวชี้วัดของการดำเนินการ โดยกำหนดให้หน่วยงานต้องคัดเลือกทันตแพทย์คู่สัญญาไปปฏิบัติงานชดใช้ทุนในหน่วยงานได้มากกว่าร้อยละ
๘๐ ของจำนวนความต้องการที่กำหนดในแผนความต้องการนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ให้สัญญาของหน่วยงาน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|