ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
แนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ)
โดยเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” เป็น
“โครงการสลากออมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ (สลากเกษียณ)”
และเพิ่มเติมหลักการกรณีผู้ที่มีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์
ให้ซื้อสลากของกองทุนต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ให้รวมถึงการส่งเสริมการออมทรัพย์โดยการออกและขายสลากและกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกที่ซื้อสลากให้ครอบคลุมทั้งสมาชิก
กอช. ในปัจจุบันและผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(บุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่ไม่มีนายจ้าง เช่น พ่อค้า
แม่ค้า แม่บ้าน รับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกมีการซื้อสลากเป็นการออมเงินอีกรูปแบบหนึ่ง
รวมทั้งสามารถเป็นกลไกการออมเพื่อการชราภาพสำหรับแรงงานนอกระบบให้มีการสะสมเงินออมได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อรองรับการเกษียณ
และการเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged
Society) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
ที่เห็นควรพิจารณาออกแบบโครงสร้างการดำเนินโครงการ รูปแบบ จำนวนเงินรางวัล และการใช้แหล่งเงินให้มีความเหมาะสมที่จะทำให้โครงการมีความยั่งยืนและไม่พึ่งพางบประมาณเพียงแหล่งเงินเดียว
และต้องมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ชัดเจนทั้งในด้านกระบวนการบริหารจัดการโครงการ
การบริหารการออกสลาก ความพร้อมของระบบงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีที่ ๑
เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว และค่าใช้จ่ายในปีที่ ๒ และ ๓
รวมทั้งเงินรางวัลที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำทุกปีให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติบริหารจัดการกองทุนเพื่อจัดหาประโยชน์
และการลงทุนจากเงินที่สมาชิกซื้อสลากเพื่อการออมให้เป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกตามนัยมาตรา
๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เห็นควรให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการเงินสะสมของสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ
มั่นคง และปลอดภัย โดยควรหาแนวทางการบริหารจัดการเงินสะสมให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราผลตอบแทนความคาดหวัง
(Benchmark) ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมตามแผนการลงทุนระยะยาวต่อไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงการคลัง
และ กอช. ควรร่วมกันเตรียมความพร้อมในการศึกษาความเหมาะสมของการเพิ่มทางเลือกให้สมาชิกสามารถเลือกออมเงินต่อไปได้หลังอายุครบ
๖๐ ปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอาชีพอิสระและยังต้องประกอบอาชีพต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ | ดศ. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมถอนเรื่องนี้คืนไปได้
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ของกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๔๕ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - บรูไนดารุสซาลาม ๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ๓.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งนิวชีแลนด์ ๔. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์
ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรบาห์เรน ๖. คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย
- ตุรกี ๗.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน ๘.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
การค้าและวิชาการระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๙. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ฟิลิปปินส์ (ฝ่ายไทย) ๑๐. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - มาเลเซีย ๑๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - อินโดนีเซีย ๑๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - อินเดีย ๑๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ศรีลังกา ๑๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เวียดนาม (ฝ่ายไทย) ๑๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ ๑๖.
คณะกรรมการนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ ๑๗. คณะกรรมการประสานงานด้านสหประชาชาติ
องค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ และองค์การต่างประเทศ ๑๘.
คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน ๑๙. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศในระดับชาติ ๒๐. คณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทย ๒๑.
คณะกรรมการเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับองค์การระหว่างประเทศ และการประชุมระหว่างประเทศภาครัฐในประเทศไทย ๒๒. คณะกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย -
รัสเซีย ๒๓.
คณะกรรมการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย - เยอรมัน ๒๔. คณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิชาการไทย
- จีน (คกร. ไทย - จีน ฝ่ายไทย) ๒๕. คณะกรรมการความร่วมมือไทย - สหภาพยุโรป ๒๖. คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ๒๗.
คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้ ๒๘. คณะกรรมการหมู่ประจำชาติไทยในศาลอนุญาโตตุลาการ
ณ กรุงเฮก ๒๙. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา
(ฝ่ายไทย) ๓๐. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - ลาว (ฝ่ายไทย) ๓๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย -
มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) ๓๒.
คณะกรรมการเพื่อวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ ๓๓. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ลาว (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ลาว) ๓๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- กัมพูชา (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - กัมพูชา) ๓๕.
คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์)
ประจำปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ [เดิม คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย
- อเมริกัน (ฟุลไบรท์)] ๓๖. คณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่าง ๆ ๓๗. คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา ๓๘.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ๓๙.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - บังกลาเทศ ๔๐.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - เนปาล ๔๑.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน ๔๒.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอียิปต์ ๔๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน ๔๔. คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๔๕. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เมียนมา (ฝ่ายไทย) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ -
ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๖๗ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อชดเชยการขาดรายได้ส่วนต่างค่าโดยสารตามจริง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. รับทราบมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลสำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลการดำเนินมาตรการตามข้อ ๑ และ ๒
เมื่อสิ้นปีงบประมาณโดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการดำเนินมาตรการดังกล่าวในปีถัดไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณาปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสารของผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระหว่างรถไฟชานเมืองสายสีแดงสายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน)
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ให้งดการจ่ายค่าโดยสารซ้ำซ้อนกันในทุกกรณีสำหรับทุกประเภทบัตรโดยสาร
รวมทั้งให้เร่งเตรียมการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. ....
และการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนในกรณีที่มีการเดินทางข้ามระหว่างสายรถไฟต่าง
ๆ และลดภาระประชาชนที่ต้องใช้บัตรโดยสารหลายประเภทต่อไป ๕. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยการขาดรายได้ส่วนต่างค่าโดยสารตามจริงของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทยนั้น
ควรให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามส่วนต่างรายได้ค่าโดยสารที่เกิดขึ้นจริง
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ต่อจากที่ก่อสร้างบางส่วนแล้วของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | อว. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
เพิ่มวงเงินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๑ รายการ จากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ
จำนวน ๓๖๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๑๒,๔๙๒,๑๐๗.๐๒
บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๗๑,๒๔๒,๘๙๖.๓๑ บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๔๑,๒๔๙,๒๑๐.๗๑ บาท
และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๗๐ ตามนัยข้อ ๗ (๓)
ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | ข้อเสนอโครงการของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร.11 สศช | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน ๓๙ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๖๔๑,๑๒๗,๓๐๐ บาท โดยให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป และรับทราบข้อเสนอโครงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
จำนวน ๓๘๑ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๑๙,๒๘๒,๕๔๖,๙๗๖ บาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการ
หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูถนน หากไม่มีลักษณะเป็นการก่อสร้าง
และ/หรือขยายเขตทางหรือช่องจราจร และไม่มีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการตามประกาศฯ
และมติคณะรัฐมนตรีฯ ข้างต้น
จะไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ เห็นควรให้เตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์
และเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มเติม
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
โดยขอให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายจัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 | ทส. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า
หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี ๒๕๖๘ พร้อมกลไกการบริหารจัดการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานต่อไป
และรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
และผลการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าในช่วงวิกฤตสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญ โดยสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) ของภาคคมนาคมอย่างเคร่งครัดและติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ขอให้การขับเคลื่อนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | การปรับอัตราค่าตอบแทนแรกบรรจุและการปรับค่าตอบแทนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) | นร.10 | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอการปรับอัตราค่าตอบแทนแรกบรรจุและการปรับค่าตอบแทนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
รวมทั้งการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ ทั้งนี้
คาดว่าจะใช้งบประมาณ รวมทั้งสิ้น ๒,๖๗๐ ล้านบาท โดยปีที่ ๑ (๕ เดือน) จำนวน ๘๓๐ ล้านบาท และปีที่ ๒ (๑๒
เดือน) จำนวน ๑,๘๔๐ ล้านบาท
โดยให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรก
หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่า เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนของพนักงานราชการมีความเหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
โดยส่วนราชการต่าง ๆ ควรกำหนดมาตรการในการพัฒนาความสามารถของพนักงานราชการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้พนักงานราชการสามารถสนับสนุนการทำงานของส่วนราชการต่าง ๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) | กษ. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน | กษ. | 19/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ
๐.๔๖ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ได้แนบรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๗ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ ให้การปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียน มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่าในการผลิตผลิตภัณฑ์นม
โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ควรมีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นม ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) กระทรวงสาธารณสุข กำหนด เพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนในการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและภูมิคุ้มกันโรค
และหากมีการปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียนดังกล่าว
จะส่งผลกระทบต่อหน่วยจัดซื้อในด้านการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มเติม
ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | โครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่ 2) | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่
๒) ภายในกรอบวงเงิน ๕๕,๐๘๗,๘๐๐ บาท ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๘๐ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา
(ระยะที่ ๒) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการตามวิธีการงบประมาณและขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | การแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | กค. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนเป็นการเร่งด่วน
ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง
และเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการกำกับดูแล
การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
และเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
รับความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing
Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินไว้ทั้งหมด ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกประเภท
โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงจัดทำสื่อที่เหมาะสมสำหรับคนพิการทุกประเภท อาทิ
เสียงบรรยายภาพ (Audio Description : AD) สำหรับคนพิการทางการเห็น
คำบรรยายแทนเสียง (Closed Captions : CC) สำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
และหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย (Easy Read) สำหรับคนพิการ ทางสติปัญญาหรือออทิสติก
ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีร่างกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ขาดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน | ทส. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีร่างกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ขาดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ วรรคสอง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
รายการอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี
จำนวน ๑ หลัง จากเดิม จำนวน ๑๖๙,๖๗๑,๙๑๒.๔๗ บาท เป็น จำนวน ๒๑๕,๒๘๖,๙๑๒.๔๗ บาท และขอขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการดังกล่าว จากเดิม
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์
ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
ให้ถูกต้อง และแล้วเสร็จภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๖
หากมีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ตามประกาศกระทรวงดังกล่าว จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง
แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ทส. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา
๖๔ แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ๑ ๒
ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา
๑๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... รวม
๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้บังคับ
ให้สามารถอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในโอกาสแรก หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินการโครงการอย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันมิให้มีการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือมีการบุกรุกเพิ่มเติม รวมถึงเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ราษฎรในพื้นที่
ในการปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมาย
เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ๓.
ภายหลังพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร)
สามารถเข้าอยู่อาศัยและทำกินภายใต้โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้นด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่อนุรักษ์ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนควบคู่ไปกับกับการอนุรักษ์
ฟื้นฟู ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ระบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อนุรักษ์
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์
รวมทั้งไม่ให้เกิดการบุกรุกในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | ร่างกฎกระทรวงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ พ.ศ. .... | มท. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ
เพื่อมิให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์หรือพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะให้เป็นโปโดยเหมาะสม
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นควรกำหนดความหมายและลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะให้มีความชัดเจน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในทางปฏิบัติ และข้อ ๔ (๒)
ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว หากมีการดำเนินการใด ๆ ในเขตพื้นที่ป่า
จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร | ตช. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ (เรื่อง
การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร)
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | ขออนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ในการเปลี่ยนแปลงหน่วยรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" จากมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น มูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" | นร.52 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป เปลี่ยนเป็น เห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ ศอ.บต. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ ศอ.บต.
ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พ.ศ. .... | ศย. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด
โดยยกฐานะแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ขึ้น
เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในชั้นอุทธรณ์ในเขตตลอดท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังไปปฏิบัติงานในแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์เพิ่มเติมก่อนเป็นลำดับแรก
เพื่อรองรับปริมาณงานคดียาเสพติดที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงแรก
และควรพิจารณาเชื่อมโยงระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (Court Integral Online Service) เข้ากับแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการประชาชนยิ่งขึ้นต่อไป
พร้อมทั้งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ มีมติเห็นชอบกรอบการประเมิน ของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนโยบายรัฐบาล
มติคณะรัฐมนตรี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ และแผนระดับอื่น ๆ
ผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีรายละเอียดเช่นเดียวกับปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางหัวข้อของกรอบการประเมินฯ ได้แก่
องค์ประกอบการประเมิน กลุ่มเป้าหมายการประเมิน และเกณฑ์การประเมิน ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ |