ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 11378 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | กต. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
ซึ่งอยู่ระหว่างการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ
จำนวน ๓ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา
สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (แทนตำแหน่งจะว่าง) ๒. นางสาวชวนาถ ทั่งสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย (แทนตำแหน่งจะว่าง) ๓. นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ (สับเปลี่ยนหมุนเวียน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิเฉพาะราย (นางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ) | สธ. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ สิงหาคม ๒๕๖๗ [เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ และนายวิทยา
พลสีลา)] เฉพาะราย นางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ เนื่องจากสำนักงาน ก.พ. ได้รับหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับผลงานของ
นางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ และ สำนักงาน ก.พ. มีมติยกเลิกผลการประเมินผลงานของนางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ
เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | ขอยกเลิกโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และขอเสนอโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 | กษ. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกเลิกโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ (เรื่อง โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
เห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต
๒๕๖๗/๖๘ ภายในกรอบวงเงิน ๓๘,๕๗๘.๒๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
(นบข.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการชดเชยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ ดังกล่าว ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน
เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันสถานการณ์ รวมทั้งบูรณาการข้อมูลการลงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
จำนวนเกษตรกร จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ราคาซื้อขายในตลาด ปริมาณผลผลิตต่อไร่
ต้นทุนการผลิตต่อไร่ เพื่อจัดทำอัตราการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความเหมาะสมตามความจำเป็น
ข้อมูลเกษตรกรไม่ตกหล่นและไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖
รวมทั้งการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดทำระบบการรายงาน การติดตาม
และการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และการกำหนดนโยบายภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขของเกษตรกรผู้รับเงินสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และในระยะต่อไป
ควรกำหนดแผนในการยกระดับผลิตภาพเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั้งการลดต้นทุนการผลิต
และเพิ่มผลิตภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีให้มีความต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รวมถึงจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรของภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | การอนุญาตให้ผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ (นักบิน) ทำการบินในเส้นทางการบินภายในประเทศเป็นการชั่วคราว | รง. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการอนุญาตให้ผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ
(นักบิน) ทำการบินในเส้นทางการบินภายในประเทศเป็นการชั่วคราว
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๔ แห่งพระระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อยกเว้นให้ผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ
(นักบิน) ที่มาพร้อมอากาศยาน (เครื่องบิน) สามารถทำงานได้เป็นการชั่วคราว และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ประจำหน้าที่นักบิน
หรือผู้ควบคุมอากาศยานในอากาศยานด้วยวิธีการเช่าพร้อมผู้ประจำหน้าที่ (Wet Lease) และประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง ผู้ประกอบการ คนต่างด้าว
และผู้ที่เกี่ยวข้อง รับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ประจำหน้าที่นักบินประจำอากาศยานด้วยวิธีการเช่าพร้อมผู้ประจำหน้าที่
(Wet Lease) ตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมชื่อร่างประกาศเป็น
“ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ประจำหน้าที่นักบินประจำอากาศยานด้วยวิธีการเช่าพร้อมผู้ประจำหน้าที่
(Wet Lease) ตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ”
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพิ่มการกำหนดขอบเขตการได้รับอนุญาตให้ทำงานตามร่างประกาศนี้ให้ชัดเจนว่าคนต่างด้าวมีสิทธิทำงานเฉพาะงานขับขี่เครื่องบินในประเทศกับผู้ดำเนินการเดินอากาศและอากาศยานที่ระบุไว้ในหนังสือแจ้งที่ได้รับจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
และจะทำงานอื่นหรือทำงานกับนายจ้างรายอื่นมิได้ (ร่างข้อ ๔) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.12 | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการตามรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖) และรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และเห็นชอบข้อเสนอแนะที่สำคัญของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
จำนวน ๗๒ ข้อเสนอแนะ โดยให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม
ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไข รับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการ
พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการต่อไป
ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเสนอ และให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการกำกับดูแลฐานข้อมูลกลางและมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลในข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลางของกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบ กระทรวงแรงงาน เห็นควรนำประเด็นข้อเสนอแนะจากรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ มาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันและยกระดับงานบริการของส่วนราชการให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลให้เป็นรูปแบบมาตรฐานเดียวกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมการนำเข้าเศษพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้เศษพลาสติก (เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นพลาสติก เช่น
ฝาขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำมันพืช)
เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาเศษพลาสติกทั้งที่นำเข้าและที่มีอยู่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรแก้ไขชื่อร่างประกาศฯ
เป็น “ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....”
เพื่อให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ และสอดคล้องกับชื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าเศษพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้เศษพลาสติก (เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นพลาสติก เช่น ฝาขวดน้ำดื่ม
ขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำมันพืช) เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาเศษพลาสติกทั้งที่นำเข้าและที่มีอยู่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรแก้ไขชื่อร่างประกาศฯ เป็น “ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
....” เพื่อให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
และสอดคล้องกับชื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้
และร่างข้อ ๔ เห็นควรใช้คำว่า “พิกัดอัตราศุลกากร”
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
แนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ)
โดยเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” เป็น
“โครงการสลากออมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ (สลากเกษียณ)”
และเพิ่มเติมหลักการกรณีผู้ที่มีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์
ให้ซื้อสลากของกองทุนต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ให้รวมถึงการส่งเสริมการออมทรัพย์โดยการออกและขายสลากและกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกที่ซื้อสลากให้ครอบคลุมทั้งสมาชิก
กอช. ในปัจจุบันและผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(บุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่ไม่มีนายจ้าง เช่น พ่อค้า
แม่ค้า แม่บ้าน รับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกมีการซื้อสลากเป็นการออมเงินอีกรูปแบบหนึ่ง
รวมทั้งสามารถเป็นกลไกการออมเพื่อการชราภาพสำหรับแรงงานนอกระบบให้มีการสะสมเงินออมได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อรองรับการเกษียณ
และการเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged
Society) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
ที่เห็นควรพิจารณาออกแบบโครงสร้างการดำเนินโครงการ รูปแบบ จำนวนเงินรางวัล และการใช้แหล่งเงินให้มีความเหมาะสมที่จะทำให้โครงการมีความยั่งยืนและไม่พึ่งพางบประมาณเพียงแหล่งเงินเดียว
และต้องมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ชัดเจนทั้งในด้านกระบวนการบริหารจัดการโครงการ
การบริหารการออกสลาก ความพร้อมของระบบงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีที่ ๑
เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว และค่าใช้จ่ายในปีที่ ๒ และ ๓
รวมทั้งเงินรางวัลที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำทุกปีให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติบริหารจัดการกองทุนเพื่อจัดหาประโยชน์
และการลงทุนจากเงินที่สมาชิกซื้อสลากเพื่อการออมให้เป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกตามนัยมาตรา
๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เห็นควรให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการเงินสะสมของสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ
มั่นคง และปลอดภัย โดยควรหาแนวทางการบริหารจัดการเงินสะสมให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราผลตอบแทนความคาดหวัง
(Benchmark) ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมตามแผนการลงทุนระยะยาวต่อไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงการคลัง
และ กอช. ควรร่วมกันเตรียมความพร้อมในการศึกษาความเหมาะสมของการเพิ่มทางเลือกให้สมาชิกสามารถเลือกออมเงินต่อไปได้หลังอายุครบ
๖๐ ปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอาชีพอิสระและยังต้องประกอบอาชีพต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ | ดศ. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมถอนเรื่องนี้คืนไปได้
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ของกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๔๕ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - บรูไนดารุสซาลาม ๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ๓.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งนิวชีแลนด์ ๔. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์
ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรบาห์เรน ๖. คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย
- ตุรกี ๗.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน ๘.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
การค้าและวิชาการระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๙. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ฟิลิปปินส์ (ฝ่ายไทย) ๑๐. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - มาเลเซีย ๑๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - อินโดนีเซีย ๑๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - อินเดีย ๑๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ศรีลังกา ๑๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เวียดนาม (ฝ่ายไทย) ๑๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ ๑๖.
คณะกรรมการนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ ๑๗. คณะกรรมการประสานงานด้านสหประชาชาติ
องค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ และองค์การต่างประเทศ ๑๘.
คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน ๑๙. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศในระดับชาติ ๒๐. คณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทย ๒๑.
คณะกรรมการเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับองค์การระหว่างประเทศ และการประชุมระหว่างประเทศภาครัฐในประเทศไทย ๒๒. คณะกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย -
รัสเซีย ๒๓.
คณะกรรมการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย - เยอรมัน ๒๔. คณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิชาการไทย
- จีน (คกร. ไทย - จีน ฝ่ายไทย) ๒๕. คณะกรรมการความร่วมมือไทย - สหภาพยุโรป ๒๖. คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ๒๗.
คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้ ๒๘. คณะกรรมการหมู่ประจำชาติไทยในศาลอนุญาโตตุลาการ
ณ กรุงเฮก ๒๙. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา
(ฝ่ายไทย) ๓๐. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - ลาว (ฝ่ายไทย) ๓๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย -
มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) ๓๒.
คณะกรรมการเพื่อวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ ๓๓. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ลาว (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ลาว) ๓๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- กัมพูชา (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - กัมพูชา) ๓๕.
คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์)
ประจำปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ [เดิม คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย
- อเมริกัน (ฟุลไบรท์)] ๓๖. คณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่าง ๆ ๓๗. คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา ๓๘.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ๓๙.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - บังกลาเทศ ๔๐.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - เนปาล ๔๑.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน ๔๒.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอียิปต์ ๔๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน ๔๔. คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๔๕. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เมียนมา (ฝ่ายไทย) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ -
ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๖๗ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อชดเชยการขาดรายได้ส่วนต่างค่าโดยสารตามจริง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. รับทราบมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลสำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลการดำเนินมาตรการตามข้อ ๑ และ ๒
เมื่อสิ้นปีงบประมาณโดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการดำเนินมาตรการดังกล่าวในปีถัดไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณาปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสารของผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระหว่างรถไฟชานเมืองสายสีแดงสายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน)
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ให้งดการจ่ายค่าโดยสารซ้ำซ้อนกันในทุกกรณีสำหรับทุกประเภทบัตรโดยสาร
รวมทั้งให้เร่งเตรียมการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. ....
และการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนในกรณีที่มีการเดินทางข้ามระหว่างสายรถไฟต่าง
ๆ และลดภาระประชาชนที่ต้องใช้บัตรโดยสารหลายประเภทต่อไป ๕. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยการขาดรายได้ส่วนต่างค่าโดยสารตามจริงของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทยนั้น
ควรให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามส่วนต่างรายได้ค่าโดยสารที่เกิดขึ้นจริง
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ต่อจากที่ก่อสร้างบางส่วนแล้วของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | อว. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
เพิ่มวงเงินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๑ รายการ จากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ
จำนวน ๓๖๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๑๒,๔๙๒,๑๐๗.๐๒
บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๗๑,๒๔๒,๘๙๖.๓๑ บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๔๑,๒๔๙,๒๑๐.๗๑ บาท
และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๗๐ ตามนัยข้อ ๗ (๓)
ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างกลุ่มอาคารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(อาคารเรียนรวมและปฏิบัติกลาง) ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | ข้อเสนอโครงการของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร.11 สศช | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน ๓๙ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๖๔๑,๑๒๗,๓๐๐ บาท โดยให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป และรับทราบข้อเสนอโครงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
จำนวน ๓๘๑ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๑๙,๒๘๒,๕๔๖,๙๗๖ บาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการ
หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูถนน หากไม่มีลักษณะเป็นการก่อสร้าง
และ/หรือขยายเขตทางหรือช่องจราจร และไม่มีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการตามประกาศฯ
และมติคณะรัฐมนตรีฯ ข้างต้น
จะไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ เห็นควรให้เตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์
และเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มเติม
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
โดยขอให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายจัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 | ทส. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า
หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี ๒๕๖๘ พร้อมกลไกการบริหารจัดการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานต่อไป
และรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
และผลการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าในช่วงวิกฤตสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญ โดยสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) ของภาคคมนาคมอย่างเคร่งครัดและติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ขอให้การขับเคลื่อนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | การปรับอัตราค่าตอบแทนแรกบรรจุและการปรับค่าตอบแทนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) | นร.10 | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอการปรับอัตราค่าตอบแทนแรกบรรจุและการปรับค่าตอบแทนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
รวมทั้งการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ ทั้งนี้
คาดว่าจะใช้งบประมาณ รวมทั้งสิ้น ๒,๖๗๐ ล้านบาท โดยปีที่ ๑ (๕ เดือน) จำนวน ๘๓๐ ล้านบาท และปีที่ ๒ (๑๒
เดือน) จำนวน ๑,๘๔๐ ล้านบาท
โดยให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรก
หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่า เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนของพนักงานราชการมีความเหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
โดยส่วนราชการต่าง ๆ ควรกำหนดมาตรการในการพัฒนาความสามารถของพนักงานราชการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้พนักงานราชการสามารถสนับสนุนการทำงานของส่วนราชการต่าง ๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) | กษ. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน | กษ. | 19/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ
๐.๔๖ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ได้แนบรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๗ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ ให้การปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียน มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่าในการผลิตผลิตภัณฑ์นม
โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ควรมีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นม ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) กระทรวงสาธารณสุข กำหนด เพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนในการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและภูมิคุ้มกันโรค
และหากมีการปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียนดังกล่าว
จะส่งผลกระทบต่อหน่วยจัดซื้อในด้านการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มเติม
ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | โครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่ 2) | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่
๒) ภายในกรอบวงเงิน ๕๕,๐๘๗,๘๐๐ บาท ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๘๐ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา
(ระยะที่ ๒) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการตามวิธีการงบประมาณและขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | การแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | กค. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนเป็นการเร่งด่วน
ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง
และเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการกำกับดูแล
การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
และเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
รับความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing
Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินไว้ทั้งหมด ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกประเภท
โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงจัดทำสื่อที่เหมาะสมสำหรับคนพิการทุกประเภท อาทิ
เสียงบรรยายภาพ (Audio Description : AD) สำหรับคนพิการทางการเห็น
คำบรรยายแทนเสียง (Closed Captions : CC) สำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
และหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย (Easy Read) สำหรับคนพิการ ทางสติปัญญาหรือออทิสติก
ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีร่างกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ขาดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน | ทส. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีร่างกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ขาดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ วรรคสอง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|