ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงคมนาคมและการเคลื่อนย้ายอย่างยั่งยืนแห่งราชอาณาจักรสเปน ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม | คค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงคมนาคมและการเคลื่อนย้ายอย่างยั่งยืนแห่งราชอาณาจักรสเปน
ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย สำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งในมิติต่าง ๆ
ได้แก่ ๑) ระบบราง ๒) ถนน และการขนส่งทางบก ๓) ท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ
และ ๔) การบินผ่านการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และการพัฒนาโครงการนำร่อง
การให้คำปรึกษาคำแนะนำทางเทคนิคและความช่วยเหลือในการจัดทำและดำเนินโครงการ
การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การจัดประชุม สัมมนา
และการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการฝึกอบรมและโครงการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
382 | ร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. 2567-2572 | กก. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน
เป็นผู้ลงนามในโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ โดยร่างโครงการฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
ผ่านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
การพัฒนาและการฝึกอบรมทรัพยากรบุคคล และการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการตลาด ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
383 | การปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น | ศธ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
(นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ ๒
โดยผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานใช้ทุนหรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนด
และรับเงินเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ
กำหนดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดย “หน่วยงานชดใช้ทุน”
ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรม สถาบันไทยโคเซ็นและหน่วยงานของรัฐ “ภาคอุตสาหกรรม”
ให้หมายความถึงภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ
และกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตในประเทศไทย โดยไม่จำกัดภูมิภาคในประเทศไทยและไม่จำกัดสัญชาติของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
และ “หน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร” ให้หมายความถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
องค์การมหาชน หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ กองทุนที่เป็นนิติบุคคล
หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ และหน่วยงานที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ ๒ เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑
โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๒ ตามข้อ ๑
เนื่องจากเป็นการให้ทุนการศึกษาในลักษณะเดียวกันกับการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ
ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ ให้กระทรงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ ที่ให้กำหนดสัดส่วนของนักเรียนทุน จ.ภ. ที่จะชดใช้ทุนในสถานที่ปฏิบัติงานต่าง
ๆ (หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของเอกชนในประเทศไทย
และสถาบันไทยโคเซ็น) ให้เหมาะสม และให้ความสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐและโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
สำหรับการปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนของการปฏิบัติงานหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑ ให้เป็นเงื่อนไขเดียวกับนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ ๒
ควรกำหนดเงื่อนไขทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ผู้รับทุนได้มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการวางแผนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาพรวมให้มีความชัดเจน
โดยพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลเพื่อติดตามและประเมินความก้าวหน้าทางอาชีพของนักเรียนทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ
เพื่อนำมาวัดประสิทธิผลของการจัดสรรทุนรัฐบาลในกลุ่มประเภทแหล่งทุนต่าง ๆ
และการออกแบบแนวทางการพิจารณาจัดสรรทุนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
384 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2567 และกลไกการบริหารจัดการ | นร.12 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๑.๑
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ของสำนักงาน
ก.พ.ร.
โดยจังหวัดเป้าหมายที่สามารถกำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยรายปีของปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน
๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ตามตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint KPIs) ประเด็นที่ ๕ การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5
ได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวนทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด
และจังหวัดเป้าหมายที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะนำมากำหนดเป็นค่าเป้าหมาย
เนื่องจากมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในระหว่างปี
หรือยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ซึ่งจะนำมากำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๕ จังหวัด ๑.๒
เห็นชอบข้อเสนอแนะโดยมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติม
สำหรับจังหวัดที่ยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดค่าเป้าหมายสำหรับใช้ประเมินในปีถัดไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งการและสนับสนุนงบประมาณ
เครื่องมือ และบุคลากรสำหรับการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มขีดความสามารถ
ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มกลไกการบริหารจัดการเชิงรุก
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนอย่างชัดเจน เพื่อการบูรณาการทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว
และควรคำนึงถึงสถานที่ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
385 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2567/2568 | นร.14 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน
๗,๖๐๖.๔๙๗๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ จำนวน ๒,๖๖๘
รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และการมีมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยเฉพาะโครงการประเภทการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ และการขุดลอกคูคลองในช่วงฤดูน้ำหลาก
ให้มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุดด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้เร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
386 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) | อว. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คณะ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ท่าน ได้แก่
๑.๑ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๑.๒ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๒.
คณะกรรมการบริหารโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ท่าน ได้แก่
๒.๑ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๒.๒ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓.
คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลสถาบันไทยโคเซ็น ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๗
ท่าน ได้แก่
๓.๑ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษา
๓.๒ ศาสตราจารย์ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๓ รองศาสตราจารย์พินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๔ รองศาสตราจารย์กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๕ รองศาสตราจารย์รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๖ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
387 | ขอความเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างความยินยอมร่วมกันฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความเห็นชอบร่วมกันที่จะต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ต่อเนื่องไปโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลาครั้งละ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ อันเป็นการดำเนินการตามข้อ ๕ (๒) ของแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
โดยสาระสำคัญของความร่วมมือยังคงเป็นเช่นเดิมตามที่กำหนดไว้ในแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่มีเจตนาให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔
ของแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความยินยอมร่วมกันฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
388 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ในการเดินทางเข้า-ออก ดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน สำหรับกรณีท่องเที่ยวเท่านั้น
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเข้า-ออกของผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากกลุ่มผู้แสวงประโยชน์ในทางมิชอบ อาทิ
การพำนักเกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) หรือการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จของบุคคลก่อนเข้าเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง
และการบริหารจัดการบุคคลที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและบริการสาธารณะที่สะดวกต่อการเข้าถึงและมีความเพียงพอรองรับต่อการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในขณะเดียวกันควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
389 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าง หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท
พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เป็นเวลา ๑๓ วัน
โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน
และได้รับเงินเดือนตามปกติ และให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นสตรี
ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิ ถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา
๑๓ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน
และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม)
ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรม ครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑
เดือน แต่ไม่เกิน ๓ เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๗๓ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณีตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
390 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 19 ที่กรุงเตหะราน | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรอง
(๑) ร่างปฏิญญาเตหะราน (Tehran Declaration) (๒)
ร่างเอกสารแนวทางหลักในการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการ ACD (Guiding
Principles on the Functioning of the ACD Secretariat) และ (๓)
ร่างกฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้ ACD (Rules of Procedure of the
ACD) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย
(Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๑๙
มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้การรับรองร่างเอกสารทั้ง ๓ ฉบับ โดยร่างเอกสารทั้ง
๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย
และสานต่อข้อริเริ่มของไทยในการสร้างเวทีความร่วมมือระดับทวีป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง
๓ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
391 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว | พน. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม ๖.๗๕
เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ ๙๕๙.๗๖ ล้านบาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ ๒๔๓.๘๓
ล้านบาท และเงินบาท ๗๑๕.๙๓ ล้านบาท
โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว ให้แล้วเสร็จก่อนการลงนามผูกพันสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องขออนุญาตทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗
และต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการบริหารจัดการน้ำ
โดยต้องครอบคลุมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภูมิรัฐศาสตร์ต่อปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดให้มีกลไกในการติดตามประเมินผลโครงการฯ ร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกชนิดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่
โดยให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสอดรับกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพลังงานในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
392 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 26 (The 26th GMS Ministerial Conference) | นร.11 สศช | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS)] ครั้งที่
๒๖ และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ โดยมีรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)]
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้รับรองเอกสารจำนวน
๒ ฉบับ (โดยไม่มีการลงนาม) ได้แก่ ๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๖ และ ๒) ร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
393 | รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2566 | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. ความเสี่ยงด้านรายได้ในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ อยู่ที่ ๒,๖๖๖,๘๐๘ ล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ ๕.๓๔ จากปีก่อน)
และมีสัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๑๔.๘๘ ๒. ความเสี่ยงด้านรายจ่ายปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ
๒๕๖๕ โดยวงเงินงบประมาณ รายจ่ายปี ๒๕๖๖ กลับมาขยายตัวอยู่ที่ ๓,๑๘๕,๐๐๐
ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๗๔ จากปีก่อน) โดยเป็นผลมาจากรายได้ของประชาชน
ผลประกอบการของภาคเอกชน รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ๓. ความเสี่ยงด้านหนี้ในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
โดยจำเป็นต้องวิเคราะห์และติดตามอย่างใกล้ชิด โดยระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ
๒๕๖๖ มีจำนวน ๑๑,๑๓๑,๖๓๔.๒๐
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๔๔ ต่อ GDP (ยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด) ๔.
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องการเบิกจ่ายยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยระดับเงินคงคลัง
ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๖ อยู่ที่ ๕๓๙,๐๕๖ ล้านบาท (ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๘๔,๙๖๓ ล้านบาท) เนื่องจากการเบิกใช้เงินคงคลังสำหรับรายจ่ายที่งบประมาณตั้งไว้ไม่เพียงพอประกอบกับในปี
๒๕๖๖ ได้มีการชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลออกไปในปีถัดไป ๕. รัฐบาลจึงควรพิจารณาดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ในอนาคต
เช่น (๑) ปรับลดรายจ่ายต่าง ๆ
ที่ไม่จำเป็นลงและดำเนินโครงการตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เท่าที่จำเป็น และ (๒)
ผลักดันแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและรายได้รัฐบาลอื่น ๆ
และทบทวนมาตรการยกเว้น/ลดหย่อนต่าง ๆ ให้มีเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย
เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
394 | (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | ทส. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3
และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
โดย (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint
Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือ เป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่าง
ๆ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของไทย เพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตตามสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนในโครงการแต่ละโครงการต้องมีการพิจารณาผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
บันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
395 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่สำนักงบประมาณเสนอให้มีการพิจารณาผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet
(โครงการ Digital Wallet) ที่เป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง
นั้น
เนื่องจากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๗ ดังนั้น
จึงอาจพิจารณาให้มีการใช้จ่ายงบประมาณกับประชาชนกลุ่มเปราะบางก่อนเพื่อให้สามารถใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ได้ตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ชี้แจงว่า
กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับข้อเสนอของสำนักงบประมาณข้างต้นไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ
Digital Wallet ต่อไป โดยจะดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้อง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ และให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง
การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
และสำนักงบประมาณจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นระยะเวลา ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
396 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (สำนักงาน ก.พ.ร.) | นร.12 | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓
กันยายน ๒๕๖๖ เรื่อง
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
รวมถึงการอนุมัติ อนุญาตแก่ภาคเอกชนที่สมควรให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
โดยมีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาตของทางราชการ ๒)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ เรื่อง
การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
การปรับปรุงระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตและการทบทวนกฎหมายตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และ ๔) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เรื่อง
แนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
397 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
398 | ข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการบริหารจัดการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต | ศธ. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการบริหารจัดการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวในภาพรวมแล้ว
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ระบบการบริหารจัดการและการคัดเลือกนักเรียนทุน ให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
(สป.ศธ.) ดำเนินการ เช่น
กำหนดแนวทางหรือรูปแบบการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตของกองทุนฯ
ในแต่ละกระบวนงาน และกำหนดแนวทางในการควบคุม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีการจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยง
การควบคุมภายใน และขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อป้องกันการทุจริต
รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานเป็นข้อมูลสาธารณะ ๒.
ระบบการบริหารเงินกองทุนและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้ สป.ศธ. ดำเนินการ เช่น
ซักซ้อมความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารเงินและเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ
เพื่อเน้นย้ำวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ และแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่ง สป.ศธ.
ได้แจ้งเวียนหลักเกณฑ์ และแนวทางการบริหารเงินกองทุนฯ แก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องตามคู่มือและแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ
ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๖
พร้อมทั้งจัดทำปฏิทินและระยะเวลาการเบิกจ่าย/โอนเงินที่ระบุผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด ๓.
ระบบการติดตามและประเมินผลและการรายงานผลการดำเนินการเงินกองทุนฯ ให้
สป.ศธ.ดำเนินการ เช่น จัดทำข้อมูลข้อเท็จจริง
และประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สื่อออนไลน์ เว็บไซต์
เพื่อให้ภาคประชาชนรับทราบการดำเนินงานของกองทุนฯ และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลและเฝ้าระวังการทุจริต
ซึ่ง สป.ศธ. ได้วางแผนการจัดทำระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับทุน รายงานผลการดำเนินการประจำปี
รายงานการเงิน ยอดเงินคงเหลือ ปฏิทินการดำเนินการ
การติดตามผลสัมฤทธิ์ของผู้ได้รับทุน
รวมทั้งเพิ่มช่องทางการติดตามและรายงานผลผ่านระบบออนไลน์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
399 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ศธ. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีผลการดำเนินการ เช่น ๑) การกำชับให้หน่วยงานในสังกัดเคร่งครัดในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒) การยกเลิกการเปิดโอกาสให้สถานศึกษาในสังกัดกำหนดหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน
๓) การประกาศรายชื่อนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ๔)
การสุ่มตรวจการดำเนินการรับนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศ และ ๕) การจัดทำแนวทางการดำเนินงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาและให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปปฏิบัติ
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
400 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 | ทส. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขงล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|