ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 11378 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
รายการอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี
จำนวน ๑ หลัง จากเดิม จำนวน ๑๖๙,๖๗๑,๙๑๒.๔๗ บาท เป็น จำนวน ๒๑๕,๒๘๖,๙๑๒.๔๗ บาท และขอขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการดังกล่าว จากเดิม
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์
ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
ให้ถูกต้อง และแล้วเสร็จภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๖
หากมีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ตามประกาศกระทรวงดังกล่าว จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง
แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ทส. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา
๖๔ แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ๑ ๒
ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามมาตรา
๑๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... รวม
๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้บังคับ
ให้สามารถอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในโอกาสแรก หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินการโครงการอย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันมิให้มีการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือมีการบุกรุกเพิ่มเติม รวมถึงเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ราษฎรในพื้นที่
ในการปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมาย
เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ๓.
ภายหลังพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร)
สามารถเข้าอยู่อาศัยและทำกินภายใต้โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้นด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่อนุรักษ์ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนควบคู่ไปกับกับการอนุรักษ์
ฟื้นฟู ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ระบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อนุรักษ์
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์
รวมทั้งไม่ให้เกิดการบุกรุกในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | ร่างกฎกระทรวงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ พ.ศ. .... | มท. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ
เพื่อมิให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์หรือพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะให้เป็นโปโดยเหมาะสม
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นควรกำหนดความหมายและลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะให้มีความชัดเจน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในทางปฏิบัติ และข้อ ๔ (๒)
ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว หากมีการดำเนินการใด ๆ ในเขตพื้นที่ป่า
จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร | ตช. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ (เรื่อง
การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร)
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | ขออนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ในการเปลี่ยนแปลงหน่วยรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" จากมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น มูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" | นร.52 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป เปลี่ยนเป็น เห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ ศอ.บต. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ ศอ.บต.
ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พ.ศ. .... | ศย. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด
โดยยกฐานะแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ขึ้น
เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในชั้นอุทธรณ์ในเขตตลอดท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังไปปฏิบัติงานในแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์เพิ่มเติมก่อนเป็นลำดับแรก
เพื่อรองรับปริมาณงานคดียาเสพติดที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงแรก
และควรพิจารณาเชื่อมโยงระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (Court Integral Online Service) เข้ากับแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการประชาชนยิ่งขึ้นต่อไป
พร้อมทั้งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ มีมติเห็นชอบกรอบการประเมิน ของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนโยบายรัฐบาล
มติคณะรัฐมนตรี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ และแผนระดับอื่น ๆ
ผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีรายละเอียดเช่นเดียวกับปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางหัวข้อของกรอบการประเมินฯ ได้แก่
องค์ประกอบการประเมิน กลุ่มเป้าหมายการประเมิน และเกณฑ์การประเมิน ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | การศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำที่ดินในความครอบครองของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐมาสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน | นร. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ
ในขณะที่ยังมีที่ดินในความครอบครองของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้กับประชาชนในด้านที่อยู่อาศัยได้
ดังนั้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะทำงานขึ้น
เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำที่ดินในความครอบครองของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐมาสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนโดยกำหนดให้กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของรัฐ
รวมถึงการอนุญาตให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิได้เป็นระยะเวลายาวนานมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อเพิ่มโอกาสที่สถาบันการเงินจะพิจารณาให้สินเชื่อกับประชาชนกลุ่มดังกล่าวได้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 | กษ. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย
ปี ๒๕๖๗ กรอบวงเงิน ๒,๕๕๓,๐๐๙,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๓๐๕
ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๗)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue) | กต. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศตั้งคำของบประมาณ
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง
ๆ ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา
๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ ไม่เกินปีละ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยเห็นสมควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน
ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนฯ
ในช่วงเวลาดังกล่าวให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
เพื่อประกอบการพิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในระยะถัดไป
สำหรับการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงาน ก.พ.
เห็นควรให้มีการจัดทำรายละเอียดการใช้จ่ายและกำหนดผลผลิต
และผลลัพธ์ในการดำเนินการที่ชัดเจน และการขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนฯ
ควรมีความยึดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามบริบท
ความจำเป็นและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี
เพื่อให้การดำเนินการของศูนย์อาเซียนฯ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสอดรับกับวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยื่น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายชูศักดิ์ ศิรินิล) เห็นว่า
แม้การจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นเป็นมูลนิธิจะทำให้ศูนย์อาเซียนฯ
มีสถานะเป็นนิติบุคคลและมีอิสระในการบริหารจัดการตนเองมากยิ่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศอาจมีข้อจำกัดในการกำกับดูแลศูนย์อาเซียนฯ
รวมถึงการนำเงินงบประมาณไปสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนฯ ที่เปลี่ยนสถานะไปแล้ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปให้เหมาะสม ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | การเร่งเสนอมาตรการหรือแนวทางในการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบอุทกภัย | นร. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐส่งเรื่องเกี่ยวกับมาตรการหรือแนวทางในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบอุทกภัยไปที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เพื่อพิจารณาในภาพรวมโดยด่วน
ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายลง
และกำลังอยู่ในช่วงการเยียวยาและฟื้นฟู จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำมาตรการหรือแนวทางในการช่วยเหลือ
เยียวยา และฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าวและเสนอไปยัง ศปช. โดยด่วน
เพื่อรวบรวมและพิจารณากลั่นกรองให้เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน
และตอบสนองต่อสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างครบถ้วน
ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in lnternational Law) ประจำปี 2567 | กต. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติ
ปี ๒๕๖๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๖๕
สำหรับการจัดการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International
Law) ประจำปี ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน - ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ณ
กรุงเทพมหานคร และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ ประจำปี ๒๕๖๗ โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการยอมรับในการต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติ
สำหรับการฝึกอบรมฯ ประจำปี ๒๕๖๗ มีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้แก่ผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก
จำนวนไม่เกิน ๓๐ คน โดยไทยสามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมการอบรมได้ จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้แล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการปรับแก้ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย NBSAP Accelerator Partnership | ทส. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย NBSAP Accelerator Partnership และเห็นชอบต่อร่างหนังสือ letter of support การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย
NBSAP Accelerator Partnership โดยให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
เป็นผู้ลงนามในหนังสือ letter of support การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายฯ
โดยร่างหนังสือฯ ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการดำเนินการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
และขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติของประเทศไทยที่มีความสอดคล้องกับเป้าประสงค์และเป้าหมายตามกรอบงานคุนหมิง
: มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก
ยืนยันว่าประเทศไทยมีความยินดีในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย NBSAP
Accelerator Partnership และเห็นว่าการเข้าร่วมเครือข่ายฯ
จะช่วยเสริมสร้างการขับเคลื่อนการดำเนินงานและการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผน
ส่งเสริมความสอดคล้องกันในเชิงนโยบายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง ฉบับใหม่ | สกพอ. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง
ฉบับใหม่ และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับใหม่ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง
เพื่อส่งเสริมการลงทุน ความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ
รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการวางแผนพัฒนา การบริหารจัดการ และในด้านอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(Green
Transportation) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ
รวมทั้งส่งเสริมผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง
พึ่งพาสัดส่วนวัสดุอุปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับใหม่ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | การลงนามข้อตกลงอาร์เทมิส (Artemis Accords) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย | อว. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อตกลงอาร์เทมิส (Artemis Accords) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย
และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) เป็นหน่วยงานปฏิบัติ
(Implementor) และหน่วยงานหลักแห่งชาติ (National
Focal Point) ของประเทศไทยในการดำเนินการใด ๆ ในข้อตกลงฯ
และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่อง และให้ สทอภ. พิจารณากลั่นกรองโครงการของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานที่จะดำเนินการในโครงการอาร์เทมิส
(Artemis Program) ในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนา ส่งเสริม
สนับสนุน ค้นคว้า วิจัย และดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้อง
เสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ พิจารณาก่อนการดำเนินการต่อไป โดยข้อตกลงฯ
มีสาระสำคัญเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันผ่านชุดหลักการ แนวปฏิบัติ
และแนวทางปฏิบัติ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลการสำรวจและการใช้อวกาศโดยพลเรือนด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโปรแกรมอาร์เทมิส
แนวปฏิบัติในการดำเนินกิจกรรมในอวกาศ
และส่งเสริมการใช้อวกาศอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติ และนำไปใช้กับกิจกรรมด้านอวกาศของพลเรือนที่ดำเนินการโดยองค์กรอวกาศพลเรือนของรัฐผู้ลงนาม
(องค์กรอวกาศพลเรือนของรัฐของประเทศไทย คือ สทอภ.) ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรให้
สทอภ. ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฯ เพื่อส่งเสริมการใช้อวกาศอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | ขอความเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ (Agreement for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear Energy) (123 Agreement) | อว. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้
๑.๑ เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ
(Agreement
for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the
Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear
Energy) (123 Agreement) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติระหว่างสหรัฐฯ
และไทย มีสารัตถะของความตกลงฯ
เป็นการกำหนดแนวทางจัดหาวัสดุนิวเคลียร์ให้กับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยของไทย
และความตกลง Comprehensive Safeguards Agreement ระหว่างไทยกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
(International Atomic Energy Agency : IAEA)
๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร | นร.08 | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร เพื่อใช้ทดแทนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖
มกราคม ๒๕๖๔ เรื่อง
หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลของเด็กนักเรียนนักศึกษา และบุคคลไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักรไทย
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ถูกต้อง ชัดเจน แล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีมาตรการ แนวทาง หรือบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต
ประพฤติมิชอบ แอบอ้าง หรือสวมสิทธิให้แก่บุคคลต่างด้าวที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศ
จากบุคคลในประเทศที่สูญหาย และควรมีการดำเนินการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของบุคคลที่เข้ามาอยู่ในประเทศเพื่อป้องกันเหตุการณ์การลักลอบกระทำความผิดและอาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการตรวจสอบคัดกรองข้อมูล
และยืนยันความถูกต้องอย่างรอบคอบรัดกุมเรียบร้อยแล้ว ให้ได้รับการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคล
ทั้งนี้
เมื่อบุคคลกลุ่มเป้าหมายได้รับการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลเรียบร้อยแล้ว
ขอให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดส่งรายละเอียดรายการบุคคลดังกล่าวให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 57 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และพิจารณามอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องติดตามผลการประชุมฯ
และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ
เช่น การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคู่เจรจา ๑๑ ประเทศ/องค์กร การประชุมคณะกรรมาธิการสำหรับเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก รวม ๑๗ รายการ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีสาระสำคัญในภาพรวม เช่น ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันผลักดันความร่วมมือในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาค
และมีประเด็นที่ไทยผลักดัน เช่น การส่งเสริมการหารือที่ครอบคลุมเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศต่าง
ๆ ในภูมิภาค การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งมีการรับรองเอกสารระหว่างการประชุมฯ จำนวน ๘ ฉบับ
เช่น ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๗
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - สหราชอาณาจักร :
การเสริมสร้างความเชื่อมโยงเพื่ออนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและยั่งยืน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ในกรอบอาเซียน ฉบับปี 2024 | กษ. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ในกรอบอาเซียน
ฉบับปี ๒๐๒๔ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มอำนาจการต่อรองในเรื่องการค้าผลิตภัณฑ์เกษตรและป่าไม้ของอาเซียนในตลาดโลก
รวมถึงการเสริมความพยายามเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่จะนำไปสู่การขยายตลาด
การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยสินค้าและอาหาร เป็นฐานสำหรับการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิด
และคำนึงถึงการคงทรัพยากรสำหรับการผลิตไว้เพื่อสร้างการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนครอบคลุมสินค้าจำนวน
๑๑ ชนิด ได้แก่ สาหร่ายทะเลและผลิตภัณฑ์ โกโก้ มะพร้าว กาแฟ น้ำมันปาล์ม เมล็ดถั่วและถั่วฝัก
พริกไทย มันสำปะหลัง ชา ปลาทูน่า และหม่อนไหม
ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกตกลงร่วมกันเพื่อสร้างความร่วมมือ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามภารกิจ ความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | โครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 และรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 5 รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 [Thailand's First Biennial Transparency Report (BTR1) and combined Fifth National Communication and Second Biennial Transparency Report (NC5/BTR2)] | ทส. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความตกลงระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหน่วยดำเนินงาน
และร่างเอกสารโครงการภายใต้โครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ ๑ และรายงานแห่งชาติ
ฉบับที่ ๕ รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ ๒ [Thailand’s First Biennial Transparency Report (BTR1) and combined Fifth National Communication and
Second Biennial Transparency Report (NC5/BTR2)] และให้เลขาธิการสำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ โดยร่างความตกลงฯ เป็นข้อตกลงที่จะขอรับการสนับสนุน
จาก UNDP เพื่อให้อำนวยความสะดวกในการดำเนินโครงการจัดทำรายงาน
BTR/NC โดย UNDP จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในกิจกรรมต่าง
ๆ ของโครงการฯ (เช่น สรรหาบุคลากรอำนวยความสะดวกในกิจกรรมการฝึกอบรม
ส่งรายงานความก้าวหน้าในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ) ตามคำขอของประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และสร้างความร่วมมือในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|