ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 100 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1981 - 2000 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1981 | ขออนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) | กค | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) ในวง เงินรวม 227,939.0193 ล้านบาท โดยกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎ หมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ต่อไปด้วย 2. อนุมัติให้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันราคาข้าว เปลือก วงเงิน 40,013.0000 ล้านบาท และโครงการจำนำผลผลิต การเกษตรปีการผลิต 2551/2552 (ภาระ ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สถาบันการเงิน) วงเงิน 1,919.6680 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ข้อ 8 : วัตถุ ประสงค์อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 3. เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกว่าด้วย การบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการ ฯ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติต่อไป 4. อนุมัติโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินรถ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขระดับตติยภูมิ ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร 5. อนุมัติกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อนำมาสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ในวงเงิน 150,000 ล้านบาท และมอบหมายให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาจัดสรรเงินกู้ให้แก่โครงการภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว โดยให้ความสำคัญกับโครงการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งโครงการของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
||||||||||||||||||||||||
| 1982 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบ เศรษฐกิจ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และ ผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายน้ำ เพื่ออุตสาหกรรม เป็นทิศทางในการวางแผนการพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มี ศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำทุกประเภท ดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริม การเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคงของชุมชนและสังคมให้บรรลุวัตถุประสงค์การ กระจายรายได้และความเจริญ 1.2 บูรณาการนโยบายและแผนการใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรมเข้ากับนโยบายและแผนการจัดการ น้ำของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะกรรมการลุ่มน้ำต่าง ๆ ที่พื้นที่อุตสาหกรรมตั้งอยู่ 1.3 สร้างความสมดุลการใช้น้ำผ่านกลไกราคาของน้ำแต่ละประเภท จากแหล่งน้ำที่แตกต่างกัน เพื่อจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมตลอดจนภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เลือกใช้ตามความเหมาะสม 1.4 สร้างกลไกการตรวจสอบคุณภาพน้ำในรูปคณะกรรมการน้ำชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนเอก ชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อยกระดับความร่วมมือและเพิ่มขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง และตรวจวัดคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำตลอดจนการปนเปื้อนของน้ำทิ้ง 2. ด้านกฎหมาย 2.1 ผลักดันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายหลักในการ บริหารและการพัฒนาทรัพยากรน้ำ การจัดตั้ง กนช. คณะกรรมการประจำลุ่มน้ำต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อการระดม ความรู้ ความสามารถและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมกำหนดนโยบายและทิศทาง การบริหารจัดการน้ำให้มีเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย 2.2 พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้เกิด องค์กรในรูปคณะกรรมการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและทรัพยากรน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ประกอบด้วยส่วน ราชการ เอกชน ชุมชน เกษตรกร และผู้มีส่วนได้เสีย ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการน้ำ ประสิทธิภาพ การใช้น้ำของภาคการผลิตทั้งสอง 2.3 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายด้านการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม 3. ด้านการใช้เครื่องมือในการจูงใจ 3.1 ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดน้ำรวมทั้งการ อนุรักษ์น้ำ เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การใช้ซ้ำ การนำกลับมาใช้ใหม่ ฯลฯ เพื่อให้การใช้ทรัพยากร น้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัด คุ้มค่า 3.2 ให้รางวัลในรูปส่วนลดการจัดเก็บค่าการปล่อยมลพิษ หากโรงงานใดได้ดำเนินโครงการลด การใช้น้ำหรือโครงการลดปริมาณน้ำทิ้งให้นำค่าน้ำและค่าการปล่อยมลพิษที่ลดได้มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบ การเงิน 4. ด้านการดำเนินงานหรือการนำนโยบายไปปฏิบัติ 4.1 แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมระดับประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายการ บริหารจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับ กนช. รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาห กรรมในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดสัดส่วนการจัดสรรน้ำให้แก่ภาคการผลิตและเพื่ออุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับ นโยบายของคณะกรรมการประจำลุ่มน้ำ ตลอดจนการกำหนดมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจ 4.2 ส่งเสริมและสนับสนุนการค้นคว้าและวิจัยด้านการบริหารอุปสงค์และอุปทานน้ำ กระตุ้นให้ เกิดการตื่นตัวในทางวิชาการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำ 5. มาตรการด้านระบบติดตามประเมินผล 5.1 ติดตามค่าปริมาณน้ำสำรองในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง 5.2 ประเมินผลประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยให้สถานประกอบการจัดทำค่าสัดส่วนของผลผลิต ต่อปริมาณน้ำเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
| 1983 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2551 | นร | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานสรุปผลการปฏิบัติงานของ
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำ ปี พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย การให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทาง ปกครองโดยจัดวิทยากรออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงาน ของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และจัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราช การทางปกครอง รวมทั้งเผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1984 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ ท้องถิ่น" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้ 1. กระทรวงศึกษาธิการควรบรรจุวิชาการปกครองส่วนท้องถิ่นหรือวิชาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ กระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไว้ในหลักสูตรทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดม ศึกษา 2. องค์กร และหน่วยงานของรัฐ และเอกชนควรสอดแทรกวิชาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองส่วน ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการกระจายอำนาจสู่ อปท. ไว้ในหลักสูตรการฝึกอบรมหรือการสัมมนา ทุกครั้งที่มีการฝึกอบรมหรือการสัมมนาในเวลาที่เหมาะสม 3. สถาบันอุดมศึกษาควรจัดทำหลักสูตร "การมีส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มองค์กรชุมชนในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น" เพื่อทำการฝึกอบรมกลุ่มองค์กรชุมชนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนและองค์กรภาคธุรกิจ และทำการ ศึกษาวิจัยรองรับประเด็นปัญหาของท้องถิ่น 4. จัดให้มีศูนย์ฝึกอบรมระดับจังหวัดในทุกจังหวัด โดยให้ อปท. ในจังหวัดนั้น ๆ ร่วมมือกับกระทรวงศึกษา ธิการและมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคทำหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นและ การกระจายอำนาจสู่ อปท. ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลข่าวสารเป็นศูนย์ฝึกอบรมและประสานงานระหว่างกลุ่มองค์กร เครือข่าย ภาคประชาชนกับ อปท. 5. ส่งเสริมให้ อปท. ปรับวิธีการบริหารให้มีลักษณะแนวระนาบ เปิดโอกาส และส่งเสริมสนับสนุนให้กลุ่ม องค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการของ อปท. ให้มากขึ้น 6. ส่งเสริมให้ อปท. ใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนาของ อปท. โดยให้ภาคประชาชนมี ส่วนร่วมอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
| 1985 | การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ | กค | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย การเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินรายได้ของ อปท. ทั้งหมดฝากคลัง ยกเว้นเงินรายได้ที่ อปท. เก็บเอง และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวให้เบิกจากคลังโดยให้คำนึงถึงสถานะทางการคลังของประเทศ นั้น เห็นควรให้ อปท. นำส่งเงินรายได้เข้าบัญชีเงินฝากของ อปท. เพื่อที่จะได้บริหารจัดการตามข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ จากสภาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยว กับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ บางเรื่องไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการกำหนดกรอบในการรักษาวินัย การเงินการคลังแต่มีลักษณะเป็นการกำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ส่วนการกำหนดทิศทางและแนวนโยบาย การคลังเพื่อประสิทธิภาพทางการคลัง การสร้างมาตรฐานทางบัญชี การตรวจสอบภายในและหลักเกณฑ์การดำเนิน กิจกรรมทางการคลังอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสทางการคลัง รวมทั้งการจัดทำข้อมูลทางการคลังเพื่อนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางการคลัง ควรกำหนดในลักษณะเป็นกรอบให้ปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเสนอต่อกระทรวงการคลัง และหากมีความจำเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ ปรับแผนการใช้จ่ายเงินได้นั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจมีผลต่อการดำเนินภารกิจของรัฐ บาล และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาร่วมกันในประเด็นตามคำชี้แจงของผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ ที่ว่าร่างพระราชบัญญัติ ฯ ได้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติในด้านรายจ่ายบางประการที่ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติและการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการ เช่น ร่างมาตรา 25 บัญญัติให้รายจ่าย ที่เป็นภาระตามกฎหมายของรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ซึ่งการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ ส่วนการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายงบประมาณมีกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการที่ยืดหยุ่น และ สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เป็นจริง และให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1986 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2552 | นร | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2552 วันที่ 28 กันยายน 2552 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการ กพอ. เสนอ โดยในการประชุมดังกล่าวได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม 5 เรื่อง ได้แก่ 1.1 การปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยองสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน 1.2 การจัดระบบบริการขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้มีคุณภาพและทั่วถึง 1.3 การกำกับดูแลโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดให้เป็นไปตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 1.4 การวางและจัดทำผังเมืองรวมมาบตาพุด 1.5 แนวทางการจัดการพื้นที่ที่มีปัญหาประชากรแฝงอย่างยั่งยืน 2. ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาสำหรับชุมชนในพื้นที่มาบตาพุดให้กระทรวงมหาดไทย รับไปประสานกับการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการน้ำประปาที่มี คุณภาพอย่างทั่วถึง ส่วนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยให้จังหวัดระยองและเทศบาลเมือง มาบตาพุดดำเนินการขออนุมัติใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามขั้นตอนของระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 แทนการใช้จ่ายจาก งบอุดหนุนส่วนท้องถิ่นตามนโยบายของรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1987 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลัก
เกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรีเสนอไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาด้วยว่าจะสมควรออกเป็นระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทย หรือระเบียบคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จึงจะถูกต้องเหมาะ สม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
| 1988 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง | ยธ | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง โดยสรุปดังนี้ 1.1 ควบุคมการขยายสาขาของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ให้หยุดหรือชะลอการขยายสาขา โดยพิจารณา เรื่องท้องที่ จำนวน และเวลาเปิด/ปิดห้างค้าปลีกสมัยใหม่ 1.2 ควรมีกฎหมายควบคุมการขายสินค้าราคาต่ำกว่าทุนและบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่และกฎหมาย อื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 1.3 การใช้มาตรการทางภาษีโดยให้ห้างค้าปลีกสมัยใหม่แต่ละสาขายื่นชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในท้องถิ่นที่สาขาของห้างค้าปลีกสมัยใหม่นั้นตั้งอยู่โดยไม่ให้ยื่นชำระภาษีรวมกันที่สำนักงานใหญ่ 1.4 ควรให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ทั้งผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิม ผู้ ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ผู้ผลิตเข้ามามีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้า ปลีกหรือค้าส่ง รวมทั้งให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทเพื่อการประสานงานอย่างบูรณาการ 1.5 ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือพิจารณาอนุญาตให้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัย ใหม่ในท้องถิ่นของตนเอง 1.6 ให้รัฐเข้ามามีบทบาทกำกับดูแลการค้าให้เสรีและเป็นธรรมอย่างแท้จริง 1.7 พิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค ธรรมาภิบาลและ ความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบธุรกิจ (Corporate Social Responsibility : CSR) ประกอบการอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งสมัยใหม่ 1.8 ให้รัฐให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการประกอบธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม โดยให้ความช่วย เหลือสนับสนุนด้านเงินทุน ความรู้และเทคโนโลยี 2. ให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ฯ พร้อมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาด ไทย และกระทรวงวัฒนธรรม ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปประกอบในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชการ บัญญัติประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อ ไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1989 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การมีส่วนร่วมของประชาชน" | สสป | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบตามที่สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดัง กล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. เร่งรัดและผลักดันให้มีพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชน พ.ศ. .... 2. สนับสนุนให้องค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันเป็นศูนย์รวมในการเผยแพร่ให้ความรู้ และกระตุ้นให้เกิด กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในสังคมไทย 3. กำหนดระยะเวลาในการออกกฎหมายให้แน่ชัด โดยกฎหมายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องเป็นไป ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัด 4. ให้ประชาชนมีบทบาทในกระบวนการบัญญัติกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่ครอบคลุมใน เรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากร การจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ โทรคมนาคม การจัดการชลประทาน และเก็บข้อมูลจาก ประชาชนที่ถูกผลกระทบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายในเรื่องดังกล่าว 5. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมยอมรับกฏกติกาของสังคม หากมีปัญหาในการบังคับใช้รัฐธรรม นูญ ให้ใช้วิธีการออกเสียงประชามติ ไม่ยอมรับการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 6. ปรับท่าทีเพื่อส่งเสริมให้การใช้สิทธิ หน้าที่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ต้งไว้ 7. เสริมสร้างให้เกิดความสมานฉันท์ ความเป็นปึกแผ่น และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยการ ให้วัดและโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการสร้างความสามัคคี ให้ผู้นำทางศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน ครู และหมอพื้น บ้าน เป็นต้น เป็นกลไกในการเชื่อมประสานความสามัคคี และจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบ การณ์กันอย่างเท่าเทียม 8 ยกระดับความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นสิทธิ หน้าที่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา ประเทศ โดยรัฐรับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานรวมทั้งสนับสนุนให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการเป็นสังคมแห่งการ เรียนรู้ 9. ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระที่เอื้อให้ประชาชนได้เข้ามามีสิทธิ หน้าที่ และมี ส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง 10. กำหนดแนวนโยบายการพัฒนาแบบล่างขึ้นบน (Bottom up) 11. ยกระดับให้ประชาชนกินดี อยู่ดี เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงหน้าที่ที่พึงมีต่อ สังคม
|
||||||||||||||||||||||||
| 1990 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามคำแหง 110 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหา
ริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามคำแหง 110 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระ สำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามคำแหง 110 เป็นกรณี ที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ ร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 1991 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยสุขุมวิท 66 และสายเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 66 กับซอยสุขุมวิท 66/1 และเพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 66 กับซอยสุขุมวิท 64 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริม
ทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยสุขุมวิท 66 และสายเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 66 กับซอยสุขุมวิท 66/1 และเพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 66 กับซอยสุขุมวิท 64 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดย เร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยสุขุมวิท 66 สายเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 66 กับซอยสุขุมวิท 66/1 และเพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยสุขุม วิท 66 กับซอยสุขุมวิท 64 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรม การตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 1992 | (ร่าง) แผนพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2552 - 2555) | ศธ | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2552-2555) มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาชาติ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและพัฒนาพื้นที่ โดยยึดแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ "เข้า ใจ เข้าถึง พัฒนา" ตลอดจนหลักคุณธรรมนำความรู้ การมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรศาสนา เพื่อสร้างสันติสุขและ เสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเชื่อมโยงสู่ประชาคม อาเซียนและประชาคมโลก ภายในปี พ.ศ. 2555 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการนำ (ร่าง) แผน ฯ ไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาประสานการนำแผนสู่การปฏิบัติ ติดตาม ประเมินผล และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงศึกษาธิการเสนอขอเพิ่มมาตรการในส่วนยุทธศาสตร์และมาตรการเร่งด่วน ดังนี้ "ข้อที่ 5. ปรับระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ 5.1 ให้มีการบริหารจัดการศึกษาอย่างบูรณาการเพื่อให้มีเอกภาพ ให้มีคณะกรรมการบริหาร การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็นประธาน ฯ มีอำนาจสั่งการ รับผิดชอบทั้งด้านบริหาร งานบุคคล บริหารงบประมาณ บริหารวิชาการ และบริหารทั่วไป เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงานในการขับ เคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐและกระทรวง ตลอดจนกำกับ ติดตามการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้บรรลุตามเป้าหมาย" 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานสภา ความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยมาใช้ ส่งเสริมการศึกษาให้กระจายอย่างทั่วถึง สร้างโอกาสและ พัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ สร้างเครือข่ายเยาวชนกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดการประสาน และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอน การให้ความสำคัญกับมาตรการส่งเสริมการศึกษา เพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ และปัญญา ชนในพื้นที่เพื่อเป็นฐานเครือข่ายในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่น ตลอดจนการให้ความสำคัญเร่งด่วน กับการสร้างโอกาสทางการศึกษากับกลุ่มเด็กกำพร้าทั้งที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความ ไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การกำหนดกลยุทธ์และแนวทางพัฒนาการศึกษาในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนสอด คล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อกำกับการ ดำเนินงานตามแผนดังกล่าวให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถประเมินผลได้อย่างเป็นรูป ธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1993 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหาการรุกป่า" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหา การบุกรุกป่า" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 กำหนดให้ปัญหาทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องนำไปสู่ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและกระบวนการในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ดิน นโยบายปฏิรูป ระบบราชการมาพิจารณาในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติใหม่ 1.2 นำยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ตามแนวทาง "การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ในการอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสันติ และเกื้อกูล ด้วยการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสงวน อนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ใช้ ประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น" ซึ่งกำหนดไว้ใน แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ และดำเนินการ ทันทีในพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน 1.3 บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมด ร่วมกับชุมชนในการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกป่า และการรักษาพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ทั้งประเทศ โดยการทบทวนมาตรการ และแนวทางการป้องกันรักษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.4 ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินในเขตป่าทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งใน ระหว่างการตรวจสอบจะต้องมีมาตรการยับยั้งไม่ให้ผู้อ้างสิทธิกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และให้เพิก ถอนสิทธิทันทีหากพบว่าที่ดินนั้นได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย 1.5 แก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราช บัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ สวนป่า พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทำให้เกิดการ บูรณาการระหว่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ 2 มาตรการระยะกลางและระยะยาว 2.1 จัดตั้งหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ในการจัดระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้แผนที่ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าไม้ และทำหน้าที่ประสานกับคณะกรรมการด้านทรัพยากรทุกชุด และเข้าร่วมกับ ชุมชนในการทำวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัด การป่าไม้ของประเทศ 2.2 สำรวจและจัดทำข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่มีอยู่จริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั้งวางแผนการใช้ ที่ดินทั้งประเทศ และแบ่งเขตการใช้ (Zoning) ที่ชัดเจน 2.3 กำหนดแนวทางและวางมาตรการในการดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยว ข้องกับการนำนโยบายป่าไม้แห่งชาติไปปฏิบัติโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
|
||||||||||||||||||||||||
| 1994 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐ กิจบนฐานชีวภาพ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดกระบวนการแปลงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 10 ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ 4 ด้าน ได้แก่ 1.1 ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกภูมินิเวศของประเทศ 1.2 ด้านการสนับสนุนให้มีกองทุนการวิจัยและสนับสนุนให้มีนักวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานและนักวิจัย เทคโนโลยีชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ระดับท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาและวิจัยสำหรับการพัฒนาผลิต ภัณฑ์ด้านเกษตรกรรมอาหาร ยา และพลังงาน 1.3 ด้านการสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจขนาดย่อม รวมทั้งบริษัทในต่างประเทศสามารถ พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง 1.4 ด้านการติดตามสถานการณ์การอนุรักษ์พัฒนา รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีว ภาพของโลก 2. จัดทำโครงการนำร่องสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ 2.1 การฟื้นฟูความหลากหลายของพันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน รวมถึงพันธุกรรมท้องถิ่นอื่น ๆ โดยเครือ ข่ายองค์กรชุมชนท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ 2.2 การส่งเสริมระบบการเกษตรที่อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่ง ยืน เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ฯลฯ 2.3 การสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่เกษตรกรในรูปแบบ "โรงเรียนชาวนา" "โรงเรียนการแพทย์พื้น บ้าน" และ "โรงเรียนป่าชุมชน" ฯลฯ เพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมเหล่านั้นให้สามารถดำเนินการได้อย่างเข้ม แข็งยิ่งขึ้นในฐานะศูนย์การเรียนรู้หรือเพื่อขยายผลกิจกรรมเหล่านั้นไปสู่พื้นที่อื่น ๆ 2.4 พัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย รวมทั้งการรักษาสุขภาพแบบแผนไทย โดยเรียนรู้จากประสบ การณ์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เริ่มต้นจากท้องถิ่น 2.5 การพัฒนาจัดทำระบบเครือข่ายฐานข้อมูลแห่งชาติในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถิ่น โดยรับนักศึกษาที่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ หรือจากสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่สามารถหางาน ได้เข้าร่วมโครงการจัดทำระบบข้อมูล โดยให้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา อปท. และองค์กรสาธารณประโยชน์ ในระดับท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
| 1995 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552 - 2562)" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมใน ระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552-2562)" และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การดำเนินการเพื่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ควรมีกลยุทธ์การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ กลยุทธ์เกษตรเพื่อพลิกฟื้นระบบนิเวศน์ในภูมิภาคต่าง ๆ กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม กลยุทธการให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และกลยุทธ์ การตลาดเกษตรที่มีประสิทธิผลผ่านองค์การเข้มแข็ง เป็นต้น 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การเป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภูมิภาคเพื่อคนทุกวัย ควรมีกลยุทธ์กรุงเทพมหา นครเมืองแห่งการท่องเที่ยว กลยุทธ์พัฒนากลุ่มจังหวัดให้เป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภาคและภูมิภาค กลยุทธ์การ พัฒนาชานเมืองเป็นบ้านใหม่เพื่อความสงบสุขสบายของวัยเกษียณ กลยุทธ์ศูนย์กลางสุขภาพ กลยุทธ์ชายทะเล แห่งเอเชีย กลยุทธ์ฟื้นฟูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกลยุทธ์สร้างความมั่นใจต่อชีวิตและความปลอดภัยของนักท่อง เที่ยว เป็นต้น 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควรมีกลยุทธ์การศึกษาครั้งเดียวได้ความรู้ความชำ นาญพร้อมกัน กลยุทธ์การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในระบบการศึกษาให้สังคมและชุมชนเข้มแข็ง กลยุทธ์ การฝึกอบรมในหน่วยงานภาคราชการและเอกชน และกลยุทธ์กำจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและ ส่งเสริมนักวิชาการ เป็นต้น 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรมีกลยุทธ์การจัดสรรงบ ประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนา กลยุทธ์มันสมองไหลเข้า กลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการลงทุนจากต่าง ประเทศ กลยุทธ์การเชื่อมต่อระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม และกลยุทธ์การ สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การค้าและการลงทุน ควรมีกลยุทธ์ด้านการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ต่อการค้า และการลงทุน กลยุทธ์เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการเงินในหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ กลยุทธ์ การลงทุนเชิงรุกในต่างประเทศ และกลยุทธ์การให้ทุนการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควรมีกลยุทธ์การดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และบูรณาการเชิงรุก 7. ยุทธศาสตร์ที่ 7 : การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาล และสมานฉันท์ ควรมีกลยุทธ์การแก้ไขและป้อง กันการทุจริตคอร์รัปชั่น กลยุทธ์การพัฒนาองค์ความรู้คู่คุณธรรม และกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. ยุทธศาสตร์ที่ 8 : การบริหารประเทศและการบริหารการจัดการงบประมาณแบบใหม่ ควรมีกล ยุทธ์การใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศ กลยุทธ์การบริหารเชิงบูรณาการและเบ็ดเสร็จ กล ยุทธ์การบริหารจัดการด้านงบประมาณแบบใหม่ให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การบังคับใช้กฎ หมาย
|
||||||||||||||||||||||||
| 1996 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ข้าวธัญญาหารแห่งชาติ" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ข้าวธัญญาหารแห่งชาติ" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. จัดหาพื้นที่นาให้กับชาวนาที่ไม่มีนา รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาที่ต้องขายแรงงานในที่นา ของตนเอง และส่งเสริมสนับสนุนผลักดันให้ชาวนาสามารถดูแลรักษาบำรุง ฟื้นฟูพื้นที่นาให้สมบูรณ์เหมาะสม ต่อการทำนา 2. จัดหาแหล่งน้ำ จัดเก็บ กระจายน้ำและการชลประทานอย่างเป็นธรรม และเพียงพอเหมาะสมต่อ การทำนา การป้องกันแก้ไขภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และน้ำเจือปนสารปนเปื้อน 3. ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว โดยคำนึง ถึงทรัพยากรในท้องถิ่น และความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาที่อยู่นอกเขตชล ประทานให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้าย อพยพยามหมดฤดูทำนา 4. จัดหาและเปิดโอกาสให้ชาวนาได้เข้าถึงแหล่งทุนที่หลากหลาย ในอัตราปลอดดอกเบี้ยจนกว่าจะ ขายผลผลิตหรือดอกเบี้ยต่ำผ่อนส่งระยะยาว รวมถึงมาตรการผ่อนผัน ผ่อนปรนในภาวะภัยพิบัติต่าง ๆ ที่มีผล ต่อการผลิตของชาวนา 5. นำเงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรมาเป็นกองทุนส่งเสริมสนับสนุนช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขปัญหา ชาวนาในกรณีสูญเสียและกำลังจะสูญเสียที่นา เพื่อให้สามารถดำรงรักษาพื้นที่นา และอาชีพการทำนา 6. กำหนดมาตรการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวนาในการขายข้าวเปลือก 7. กำหนดให้มีการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะการทำนาข้าว เพื่อลดความเสียงจาก การประกอบอาชีพ 8. สร้าง Brand name มาตรฐานข้าวไทย โดยการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในเอกลักษณ์ พิเศษของข้าวไทย และส่งเสริมการตลาดเชิงรุก 9. กำหนดมาตรการความร่วมมือระหว่างผู้ผลิต (ชาวนา) พ่อค้าคนกลาง และผู้ส่งออกข้าว เพื่อลด ปัญหาการแข่งขันตัดราคาขายกันเอง รวมถึงการสูญเสียโอกาสส่งออกข้าวของประเทศ 10. เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน องค์กรการเกษตร และสหกรณ์การเกษตรได้มีโอกาสส่งออกข้าวสาร มากขึ้น รวมถึงพัฒนาโครงสร้างตลาดและกลไกตลาดทุกระดับ 11. กำหนดเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนในด้านการผลิต ทุน ราคา และการตลาด รวมถึงการสนับ สนุนการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยทั้งในส่วนของพันธุ์ข้าว การแปรรูป การเพิ่มมูลค่าคุณค่าของข้าวแต่ละชนิด 12. ดำเนินนโยบายลดต้นทุนการผลิตโดยกำหนดให้การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพเป็นวาระแห่งชาติ และ บูรณาการความรับผิดชอบของกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 13. กำหนดยุทธศาสตร์ข้าวให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมถึงดำเนินนโยบายผลักดันองค์กรข้าวระหว่าง ประเทศให้เกิดความร่วมมือต่อกันเพื่อสามารถกำหนดเป้าหมายด้านปริมาณการผลิต ราคา รวมถึงตลาดที่เป็น ผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อความมั่นคงด้านอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง 14. ไม่อนุญาตหรือดำเนินการอย่างรอบคอบในการยินยอมให้บริษัทเอกชน โดยเฉพาะบรรษัทข้าม ชาติจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์ข้าวไทย 15. ไม่อนุญาตให้บรรษัทข้ามชาติ และหรือตัวแทนทุกรูปแบบ (Nominee) เข้ามาดำเนินการซื้อขาย แพร่ขยาย นำเข้าหรือส่งออกเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชอาหารทุกชนิดในลักษณะผูกขาด
|
||||||||||||||||||||||||
| 1997 | ขออนุมัติวงเงินค่าทดแทนที่ดิน โครงการก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนรัตนโกสินทร์สมโภชกับถนนนิมิตรใหม่ | มท | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการค่าทดแทนที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่าง
ถนนรัตนโกสินทร์สมโภชกับถนนนิมิตรใหม่ ซึ่งได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินและอาคาร วงเงิน 1,318,264,398.77 บาท โดยมีสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาลร้อยละ 50 และสัดส่วนเงินรายได้กรุงเทพมหานครร้อยละ 50 และเมื่อพระ ราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในการก่อสร้างดังกล่าวประกาศใช้แล้ว ให้กรุงเทพมหานครขอ ทำความตกลงในรายละเอียดและวงเงินงบประมาณกับสำนักงบประมาณอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบ ประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 1998 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เพิ่มเติม) | สสป | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เพิ่มเติม)" และ รับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผล การดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรกำหนดนิยามพื้นที่ในการแก้ปัญหาในชัดเจนว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา เพื่อจำกัดเขตความไม่สงบหรือ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากใช้คำว่า 5 จังหวัดภาคใต้จะส่งผลทาง ด้านจิตวิทยา การใช้กฎหมายพิเศษงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงกรณีจังหวัดสตูล 2. ควรทบทวนปรับปรุงการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ให้มีเท่าที่จำเป็น โดยให้ มีคณะกรรมการระดับชาติเพียงชุดเดียว เพื่อลดความซ้ำซ้อน สูญเปล่า และล่าช้าในการประสานราชการอันจะก่อ ให้เกิดเอกภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น 3. ต้องมีการบูรณาการแผนงานโครงการของหน่วยงานฝ่ายพลเรือนทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่ลง ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ระดับกระทรวง ทบวง กรม และราชการส่วนภูมิภาคให้สอด รับครบวงจร ไม่ซ้ำซ้อน และสร้างความสับสนให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 4. เร่งรัดให้มีการใช้ประโยชน์จากการเป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้น ที่ เช่น การเป็นเมืองปลอดภาษีอากรและการวางผังเมืองหลักสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 5. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบสาธารณูปโภคที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 6. ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยจัดหาหน่วยงานที่มีความชำนาญในกระบวนการผลิตและจำหน่าย ไปช่วยเหลือให้คำแนะนำผู้ประกอบการในครัวเรือน ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ในเรื่องการ ผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ การบรรจุภัณฑ์ เครื่องหมายรับรองคุณภาพ การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ 7. ปรับปรุงการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ตรงกับวิถีชีวิตของประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. จัดให้มีศูนย์หรือหน่วยงานกลางในการประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาสังคมให้เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงระหว่างรัฐกับประชาชนในมิติต่าง ๆ 9. เร่งพัฒนาหลักสูตรสายสามัญให้มีวิชาอิสลามศึกษาใกล้เคียงกับการเรียนการสอนในโรงเรียนเอก ชนสอนศาสนา 10. ปรับปรุงระบบการอุดหนุนการศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สถาบันการศึกษาปอ เนาะ และศูนย์การศึกษาประจำมัสยิด (ตาดีกา) และจัดระบบการติดตามการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิ ภาพ 11. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนในการใช้กฎหมาย 4 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติกฎอัยการ ศึก พ.ศ. 2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติการรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้เป็นแนวทางฉบับ เดียว เพื่อให้ฝ่ายความมั่นคงสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรี ภาพของประชาชนอันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเกินสมควร 12. ดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึง เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1999 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดทำผังเมืองของประเทศไทยในเชิงธรรมาภิบาล | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การจัดทำผังเมืองของประเทศไทยในเชิงธรรมาภิบาล" และรับทราบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ใช้บังคับกฎกระทรวงผังเมืองรวมฉบับเดิมที่หมด อายุไปพลางก่อน จนกว่าจะมีประกาศใช้ผังเมืองรวมฉบับใหม่ เพื่อป้องกันความเสียหายในการเกิดช่องว่างก่อน การประกาศใช้ผังเมืองฉบับต่อไป 2. ควรมีการชะลอ และมีการทบทวนร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... ฉบับกำลังแก้ไขใหม่ที่ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ยังขาดความสมบูรณ์ เช่น โครงสร้างของคณะกรรมการผังเมืองการ มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการจัดทำผังเมือง การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย เป็นต้น 3. ส่งเสริมบทบาทภาคประชาชนและภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในระดับนโยบาย และในปฏิบัติ การตั้งแต่กระบวนการวางผังเมืองในแต่ละขั้นตอน ขั้นแนวคิดในการวางผังเมือง การจัดทำ และดำเนินการให้ เป็นไปตามผังเมืองระดับต่าง ๆ และบริหารการปฏิบัติให้เป็นไปตามผังเมืองทุกขั้นตอน ตลอดจนการมีส่วนร่วม ในระดับที่สูงขึ้นจนถึงระดับการตัดสินใจ 4. จัดให้มีกฎหมายที่เหมาะสมกับการเพิ่มรายได้ของท้องถิ่น เช่น ภาษีทรัพย์สิน (Property Tax) การประเมินพิเศษ (Special Assessment) รวมทั้งแหล่งที่มาของรายได้อื่น ๆ สำหรับการดำเนินการให้เป็นไป ตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ และมีมาตรการด้านอื่น ๆ เช่น Development Right 5. แก้ไขปัญหาความคาบเกี่ยวและข้อขัดแย้งทางกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง 6. ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาและจัดทำผังเมือง โดยมองรากฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมของแต่ละพื้นที่เป็นหลักมากกว่าการนำเอาอุตสาหกรรมเป็นตัวนำโดยไม่มีฐานรองรับ โดยการจัดทำ ผังเมืองควรมองเรื่องความสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 มาประกอบด้วย 7. เร่งรัดพัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินและแผนที่แห่งชาติ ซึ่งหมายถึงข้อมูลแผนที่รูปแปลง ที่ดินและทะเบียนที่ดินประจำแปลงที่ดิน เพื่อใช้เป็นแผนที่ฐาน (Base Maps) ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัด ทำผังเมืองทุกระดับประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2000 | รายงานผลการจัดงานสมัชชาสวัสดิการชุมชน | พม | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลการจัดงาน
สมัชชาสวัสดิการชุมชน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ จังหวัดสงขลา สรุปได้ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการสนับสนุนสวัสดิการชุมชนและงบประมาณสมทบ กองทุนที่จัดตั้งแล้วเพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันในชีวิต เป็นการส่งเสริมการออก และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคน ในชุมชน และหากประชาชนสามารถสมทบได้ 1 บาท รัฐบาลจะสมทบ 1 บาท และจะโน้มน้าวให้องค์กรปกครอง ท้องถิ่นสมทบอีก 1 บาท ในเบื้องต้นจะจัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบในปี พ.ศ. 2552 ประมาณ 727 ล้านบาท เพื่อ กองทุนที่จัดตั้งแล้ว และจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศภายในปี พ.ศ. 2555 พร้อม กับการผลักดันเรื่องสวัสดิการชุมชนให้เป็นวาระแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
