ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 97 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1921 - 1940 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1921 | รายงานประจำปี 2552 กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | สสส. | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอราย
งานประจำปี 2552 ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสาระสำคัญของรายงานฯ มีดังนี้ 1. ผลการดำเนินงานแบ่งตามเป้าประสงค์ 6 ประการ ได้แก่ 1.1 การลดปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุจราจร และ การขาดการออกกำลังกาย โดยสนับสนุนหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและภาคีเครือข่าย 1.2 พัฒนากลไกที่จำเป็นสำหรับการลดปัจจัยเสี่ยงนอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ ประเด็น เกี่ยวกับอาหาร เพศ จิตใจ สารเสพติด รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่มักเกิดกับกลุ่มประชากรที่มีลักษณะเฉพาะในระดับ ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 1.3 พัฒนากระบวนการต้นแบบและกลไกขยายผลสำหรับการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมในองค์กรพื้น ที่ เด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อมุ่งพัฒนาสังคมและสุขภาวะในระยะยาว 1.4 เพิ่มนวัตกรรมและโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาวะ 1.5 สร้างค่านิยมการสร้างเสริมสุขภาวะให้เกิดขึ้นในสังคมไทย 1.6 เพิ่มขีดความสามารถของระบบสุขภาพและระบบ บริการสร้างสุขภาวะในรูปแบบของชุดความ รู้ สมรรถนะบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น 2. ผลการดำเนินงานตามข้อแนะนำจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา อาทิ มีบทบาทในการดูแลปัญหาสุขภาพที่สำคัญ นำเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพจิตไปผสมผสานหรือบูรณาการ กับการสร้างเสริมสุขภาพทางกาย ส่งเสริมให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งจนสามารถดำเนินการป้องกันและพึ่งพาตน เองได้ พัฒนาการประเมินผลสำเร็จด้านการส่งเสริมหรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อลดการบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรภาคี เป็นต้น 3. ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประเมินผลเห็นว่า สสส. ควรให้ความสำคัญในประเด็นดังต่อไปนี้ 3.1 ให้ความสัมพันธ์กับพันธกิจที่สามารถสร้างผลลัพธ์และผลกระทบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงพฤติ กรรมของประชาชน สภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม รวมทั้งแสดงสุขภาวะที่ดีขึ้นของประชาชนได้อย่าง เพียงพอที่จะทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมเข้าใจและยอมรับ 3.2 กำหนดเป้าหมายในระดับผลลัพธ์และผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาวะของประชาชนให้ชัด เจน สำหรับช่วงเวลา 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี และจัดให้มีแผนยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมรองรับ 3.3 เร่งบูรณาการในพื้นที่โดยส่งเสริมให้หน่วยงานในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นและชุมชนมีนโยบายและสามารถดำเนินการสร้างเสริมสุขภาวะให้แก่ประชาชนในพื้นที่ของตนเองได้ และ มีมาตรการที่จะสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเกิดการแข่งขันระหว่างพื้นที่ เพื่อเร่งให้เกิดการขยาย ตัวด้านการเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้เข้าไปเป็นบทบาทที่สำคัญขององค์กรในพื้นที่ 3.4 เพิ่มการสนับสนุนการทำโครงการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1922 | ขอความร่วมมือในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การลดใช้ถุงพลาสติก (วันที่ 22 เมษายน - 5 มิถุนายน 2553) | ทส | 27/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอความร่วมมือ
จากประชาชน และหน่วยงานทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด ในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการลดปริมาณขยะ ภายใต้แนวความคิด ลดถุงพลาสติก ลดโลกร้อน และการใช้ถุงผ้า หรือตระกร้า เพื่อลดปริมาณขยะจากถุงพลาสติก ลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1923 | กรอบแผนบูรณาการงบประมาณการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2559 | ทส | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 กรอบแผนบูรณาการงบประมาณการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่จังหวัดชาย ฝั่งทะเล 23 จังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2559 รวมระยะเวลา 6 ปี วงเงิน 19,580.8 ล้านบาท จำนวน 933 โครงการ จำแนกเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 วงเงิน 4,436.9 ล้านบาท จำนวน 202 โครงการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2559 วงเงิน 15,143.9 ล้านบาท จำนวน 731 โครงการ โดยเป็นโครงการที่มีความสำคัญต้องดำเนิน การเร่งด่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงิน 2,490.5 ล้านบาท จำนวน 31 โครงการ 1.2 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นหน่วย งานรับผิดชอบประสานการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ 1.3 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการ ให้เป็นไปตามกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่อยู่ในกรอบแผนบูรณาการงบ ประมาณฯ หน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญเพื่อดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ส่วน โครงการที่ไม่ปรากฎในกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการและเป็นโครงการที่สอด คล้องกับยุทธศาสตร์ และ/หรือแผนปฏิบัติการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถ พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ แผนบูรณาการงบประมาณฯ ควรปรับปรุงเป็นระยะตามความ เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นต้น รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาความเหมาะสมเชิงเทคนิคในส่วนโครงการ ที่ยังไม่มีแผนแม่บทรองรับก่อน และจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดผลกระทบต่อ เนื่องต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงทางสมุทรศาสตร์ในภาพรวมได้ในภายหลัง นอก จากนี้ ควรประเมินผลกระทบของระบบนิเวศทางทะเลต่อการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลให้มี ความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ตลอดจนเร่งติดตามประเมินประสิทธิภาพโครงสร้างป้อง กันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมา และในระยะยาวควรให้ความสำคัญกับแผนงานฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม และระบบนิเวศโดยเฉพาะการปลูกป่าชายเลน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งประสานไปยังจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่เกี่ยวข้องเพื่อ ให้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ เกี่ยวกับการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่จังหวัด หรือ อปท. จะดำเนินการ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบ เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการ ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1924 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด อำเภอและตำบล | กก | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้ก่อสร้างสนามกีฬาระดับจังหวัด 6 จังหวัด คือ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬาเสนอ และให้ก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดนราธิวาสเพิ่มเติมอีกหนึ่งจังหวัด โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับขนาด สถานที่ และงบ ประมาณในการก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ จัดทำแผนการถ่ายโอนสนามกีฬาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ให้ อปท. บริหารจัดการและ ใช้ประโยชน์ เพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแลบำรุงรักษา ไปดำเนินการ และให้จัดทำแผนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ร่วมกับสำนักงบประมาณต่อไป 2. สำหรับสนามกีฬาระดับอำเภอและระดับตำบลให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการดำเนิน งาน ตลอดจนงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1925 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ | ทส | 07/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับเรื่อง ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการฯ (Feasibility Study) ควบคู่ไปกับการดำเนิน โครงการสำรวจ ออกแบบ โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนงานลงทุนด้านน้ำของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว ข้อง และแผนงานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ด้วย และจัดทำประมาณการงบประมาณปี พ.ศ. 2553 ที่ เหลือจ่ายของกรมทรัพยากรน้ำที่สามารถนำไปใช้กับโครงการฯ ส่วนแผนงานที่ยังไม่ได้จัดสรรเงินให้ขอใช้งบประมาณ ปกติ ปี พ.ศ. 2554 ต่อไป สำหรับโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และโครงการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างด้านแหล่งน้ำภาย ใต้โครงการฯ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการฯ ศึกษาความพร้อมด้านต่าง ๆ และประสานกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ก่อนการดำเนินการเพื่อให้เกิด ความชัดเจนและยอมรับร่วมกัน รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มีการศึกษาความเหมาะสม ของโครงการฯ การวิเคราะห์ทางเลือกในเชิงเปรียบเทียบต้นทุน ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน และการศึกษาถึงผล กระทบสิ่งแวดล้อมแยกเป็นรายโครงการ และกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในแต่ละโครงการ/รายการให้เหมาะสมและ สอดคล้องตามสภาพปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำมาร่วมพิจารณาในเชิงบูรณา การเพื่อให้ได้ข้อสรุปในรายละเอียด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1926 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... | ศธ | 30/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา
การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะ กรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดคำนิยาม ผู้ปกครอง ครูหรือคณาจารย์ วิทยาลัย องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศิษย์เก่า ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการและกรรมการ 2. กำหนดให้มีคณะกรรมการวิทยาลัยและกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการ 3. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ 4. กำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาและการเลือกกรรมการ 5. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ วิธีการประชุม และองค์ประชุม 6. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการสรรหา เลือก และเสนอรายชื่อประธานกรรมการและ กรรมการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ 7. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือ การดำเนินการเลือกประธานกรรมการและกรรมการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1927 | ขอรับการสนับสนุนงบกลางสำหรับ โครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและการพัฒนาการของเด็ก | สธ | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและการพัฒนาของเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีสุขภาพอนามัย พัฒนาการ และการเจริญเติบโตเต็ม ตามศักยภาพของเด็ก เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้ดูแลเด็กให้มีความรู้ ทักษะการดูแลสุขภาพอนามัยอย่างรอบด้าน เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาเด็ก และเพื่อ พัฒนาให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นศูนย์การเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ระยะเวลาดำเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยรับข้อเสนอแนะของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรให้มี ทางเลือกวิธีการบริหารจัดการศูนย์ที่เหมาะสมกับสภาพทางภูมิศาสตร์และศักยภาพของพื้นที่และใช้ประโยชน์ให้ คุ้มค่า รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและคลังสมอง (ผู้เกษียณอายุที่มีความรู้และประสบการณ์) ในพื้นที่ ที่มีส่วนร่วมในการจัดการดูแลเด็กเพื่อให้มีการพัฒนาการรอบด้านเหมาะสมกับวัยหรือสูงกว่าเป้าหมาย นอกจาก นี้ ควรเตรียมการเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีแนวดำเนินงานได้จริง และอย่างต่อ เนื่อง การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างการยอมรับจากประชาชนและชุมชนโดยมีองค์กรอื่น ๆ เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน และการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก 2. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 94,508,000 บาท โดยรายละเอียด ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2555 ให้กรมอนามัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ตามความเหมาะสม กับความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1928 | การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 | มท | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการและ
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศ กาลสงกรานต์ ปี 2553 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วย 1. ช่วงเวลาในการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2553 รวม 7 วัน 2. เป้าหมายการดำเนินการ เพื่อลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (admit) ให้ลดลงร้อยละ 5 3. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (เน้นหนัก) ให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก 8 มาตรการ คือ (1) มาตรการ ด้านการบริหารจัดการ (2) มาตรการด้านการป้องปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย (3) มาตรการด้านสังคมและชุมชน (4) มาตรการด้านการตรวจสอบความปลอดภัยของถนนและรถยนต์ (5) มาตรการด้านการช่วยเหลือ กู้ชีพ กู้ภัย (6) มาตรการด้านการจราจรและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (7) มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างความตระหนัก และ (8) มาตรการด้านการรายงานผลและวิเคราะห์ข้อมูล 4. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น 2 ช่วง ดังนี้ 4.1 ระยะที่ 1 ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ 1-11 เมษายน 2553 ให้จังหวัดเตรียมความพร้อม และดำเนินงานในภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ จัดประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด วาง แนวทางในการดำเนินงาน ตลอดจนจัดทำแผนการดำเนินงานในภาพรวมของจังหวัดเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้าน การปฏิบัติและงบประมาณ วางแผนการจัดตั้งจุดตรวจและจุดบริการ เป็นต้น 4.2 ระยะที่ 2 ช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2553 ดำเนินการตามมาตรการ เน้นหนัก ตั้งจุดตรวจร่วมเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร โดยให้มีการเข้มงวดจับกุมดำเนินคดี ขั้นสูงสุดในคดีความผิด 3ม. 2ข. 1ร. เป็นต้น 5. แผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น 4 แผนงาน ดังนี้ 5.1 จัดตั้งศูนย์อำนวยการ/ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 ในส่วนกลาง ระดับจังหวัด และอำเภอ 5.2 ตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนถนนสายหลัก สายรอง และถนนในเขตชุมชน/หมู่บ้าน 5.3 ตั้งจุดสกัดประจำหมู่บ้าน ชุมชน 5.4 จัดตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1929 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ดังนี้ 1.1 จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย 1.1.1 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสระ แก้ว จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัด ตาก จังหวัดน่าน จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี - ขอปรับกิจกรรมและงบประมาณของโครงการเพื่อความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพต่อ การดำเนินงาน - ขอแก้ไขรายการซ้ำซ้อนกับรายการที่หน่วยงานอื่นได้รับจัดสรรแล้ว โดยโครงการจังหวัด และกลุ่มจังหวัดซึ่งมีรายการซ้ำซ้อน ให้นำโครงการลำดับที่ 2 ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่ม จังหวัดปี 2553 มาดำเนินการแทน - ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการบันทึกข้อมูลให้ถูกต้อง รวมทั้งปรับปรุงรายละเอียดงบ ประมาณรายจ่ายให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย - ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริง - ขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนใน วงเงินเดิม - ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินการให้ตรงกับข้อเท็จจริงตามทะเบียนภูมิศาสตร์ 1.1.2 จังหวัดนนทบุรี ขอปรับลดเป้าหมายการดำเนินการจากการขุดลอกคลอง อำเภอเมือง 15 สาย เป็น 10 สาย และขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการขุดคลองอำเภอบางกรวย จาก 3 สาย เป็น 45 สาย 1.1.3 จังหวัดตราด (รายการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล) ขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการดำเนิน การภายใต้วงเงินเดิม และขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้อมูลให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย 1.1.4 จังหวัดสุราษฎร์ธานี (รายการส่งเสริมพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC เมืองคนดี) ขอเปลี่ยน แปลงรายละเอียดข้อมูลให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย 1.2 กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการครุภัณฑ์ เพื่อให้ตรงกับคุณ ลักษณะเฉพาะที่กองทัพบกกำหนด และให้ตรงกับความต้องการของหน่วยงานที่จะใช้งาน 1.3 กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่การดำเนินการ เนื่องจากรายการเดิม เป็นการก่อสร้างที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 1.4 กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการให้ เป็นไปตามสภาพปัญหาในพื้นที่ความมั่นคงปลอดภัยทางวิศวกรรมและความต้องการของท้องถิ่น 1.5 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอแก้ไขจำนวนอัตราที่จัด สรรให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง 2. รับทราบการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเกาะสีชัง 2 แห่ง พร้อมเรือขน ถ่ายนักท่องเที่ยว ของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ เป็น ไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1930 | ผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2553 | คค | 09/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เสนอผลการประชุม
คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 โดยที่ประชุมได้รับ ทราบบทบาท อำนาจหน้าที่ และกลไกการดำเนินงานของ คจร. สถานะการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวล ชนและรถไฟชานเมือง รวมทั้งพิจารณาการดำเนินงานแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยมีมติ ดังนี้ 1. เห็นชอบแผนแม่บทระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยกำหนดให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในระยะ 10 ปีแรก (เปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. 2556) ระยะทางรวม 154 กิโลเมตร ประกอบด้วย สายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 36 กม., สายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม (17.5 กม.) ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี (20 กม.), สายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 19.8 กม., สายสีเขียว ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7 กม. ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-ยศเส ระยะทาง 1 ก.ม., สายสีแดงเข้ม ช่วงหัวลำโพง-บางบอน ระยะทาง 18 กม., สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14 กม. และสาย Airport Link ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท ระยะทาง 21 กม. 2. เห็นชอบในหลักการการต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม จากช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะ ทาง 11.4 กิโลเมตร เป็นหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต รวมระยะทาง 18.4 กิโลเมตร และให้ยกเลิกศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) บริเวณด้านทิศใต้ของสนามบินดอนเมือง และให้มีศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณตำบลคูคตแทน 3. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาความเหมาะสมการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสี ส้ม และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นประธานอนุกรรมการ และ สนข. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ 4. เห็นชอบในหลักการให้รูปแบบการก่อสร้างโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-พญาไท- มักกะสัน และช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง รวมทั้งโครงการ Airport Link ส่วนต่อขยาย ช่วงพญาไท-บางซื่อ เป็นวิธีการก่อ สร้างใต้ดินด้วย 5. เห็นชอบในหลักการการกำหนดรูปแบบทางวิ่งเป็นทางยกระดับและกำหนดรูปแบบทางรถไฟข้ามแม่น้ำ เจ้าพระยาเป็นสะพานรถไฟ บริเวณท่าเรือสี่พระยา-คลองสาน สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงหัว ลำโพง-บางบอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย โดยดำเนินการรูป แบบเดียวกับโครงสร้างสะพานถนน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณสี่พระยา-คลองสาย โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติ หรือดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่กำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถ ไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน 6. ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552 ของโครงการศึกษาและออกแบบโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายวงแหวนรอบในตามแนวถนนรัชดาภิเษก จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการศึกษาทบทวนความเหมาะสม ออกแบบ รวมถึงจัดทำเอกสารประกวดราคา และ รายงานการวิเคราะห์โครงการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจ การของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เพื่อเตรียมความพร้อมของโครงการก่อน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 7. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางขนาดรอง ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานเอง ที่มีแนวสายทางนอกเหนือ และไม่ซ้ำซ้อนกับโครงข่ายจากที่กำหนดไว้ใน แผนแม่บทในระยะเวลา 10 ปีแรก (ปี พ.ศ. 2562) ให้สามารถดำเนินการได้ กรณีที่เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชน สายรองที่มีปริมาณผู้โดยสารในปีที่เริ่มเปิดดำเนินการต่ำกว่า 8,000 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการบูรณาการโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนระบบตั๋วร่วม โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม อันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1931 | ของบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 โครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล | มท | 09/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงิน
สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ จำนวน 93,519 คน เป็นเงิน 561,114,000 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1932 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 | นร | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 สรุปได้ดังนี้ 1. ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ (ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป) 7.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.1 ของประชากรทั้งหมด ประชากรอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุหญิงมี แนวโน้มอายุยืนกว่าผู้สูงอายุชาย 2. สถานการณ์ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 57.7 มีปัญหาการ มองเห็น ปัญหาการได้ยินสูงขึ้นแบบทวีคูณ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุง่าย กรณีพลัดตกหกล้มสูงถึงร้อยละ 40.4 มีผู้สูงอายุที่พิการ ร้อยละ 15.3 สำหรับโรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติของต่อมไร้ ท่อ และโรคเบาหวาน ตามลำดับ 3. การดูแลและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุร้อยละ 90 ยังคงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสมาชิกของ ตนเอง รวมทั้งยังมีการดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ 4. การทำงาน รายได้ และการออมของผู้สูงอายุ การทำงานของประชากร พ.ศ. 2551 พบผู้สูงอายุที่ทำ งานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.3 ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม แต่การทำงานนอกภาคเกษตรกรรม ก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุร้อยละ 62.0 ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง และมีสัดส่วนการเป็นลูกจ้างเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 13.3 ผู้สูงอายุมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลง นอกจากนี้ แรงงานผู้สูงอายุนอกระบบ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 91.4 แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่ยากจนลดลงเหลือ 1.19 ล้านคน ส่วนสถานการณ์การออม พบ ว่าสัดส่วนการออมส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจากเดิมแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการออมเพื่อวัยสูงอายุมีทั้งแบบบังคับ และแบบ สมัครใจ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น 5. การเข้าถึงข้อมูลการศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้สูงอายุฟังวิทยุลดลง แต่นิยมชมโทรทัศน์เพิ่มขึ้นต่อ เนื่อง โดยรายการที่นิยมส่วนใหญ่ คือ ข่าว รองลงมา คือ บันเทิง ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุศึกษาต่อในสถาบันอุดม ศึกษา จำนวน 2,950 คน เพิ่มขึ้นจากเดิม เข้ารับการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐาน 13,501 คน และเข้าศึกษาตาม อัธยาศัยในหลักสูตรอาชีพระยะสั้น 148,941 คน โดยสนใจการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคม/ชุมชน 6. ศักยภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีผู้สูงอายุที่มีศักยภาพในด้านต่าง ๆ คือ ด้านการบริหาร มีผู้ สูงอายุที่ทำงานการเมือง คณะกรรมการระดับชาติ ระดับภูมิภาค ระดับท้องถิ่น ด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม ด้าน การอนุรักษ์และถ่ายทอดภูมิปัญญา 7. สถานการณ์เด่นผู้สูงอายุไทย ปี พ.ศ. 2551 ได้แก่ การสรรหาผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2551 การสร้างระบบการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) และสถานการณ์ผู้ สูงอายุในรอบปี พ.ศ. 2551 เป็นต้น 8. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 8.1 ให้ความสำคัญกับการจัดระบบและช่วยเหลือการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ พร้อมทั้งดูแลและจัดสิ่ง แวดล้อมในครอบครัว และสถานที่สาธารณะให้เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุ การจัดทำมาตรฐานการดูแลของสถานบริการ และผู้ดูแลเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสม 8.2 มีการผลิตสื่อทั้งประเภทเนื้อหาและรูปแบบที่ผู้สูงอายุนิยมและเพิ่มช่องทางด้านสื่อโทรทัศน์ โดย เฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้ดู และการสอดแทรกสาระที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ อาทิ ด้านสุขภาพ เป็นต้น 8.3 เร่งจัดตั้งระบบบำนาญชราภาพที่มาจากการออมส่วนบุคคล ร่วมกับการจัดสวัสดิการจากรัฐ เพื่อ เป็นหลักประกันสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต 8.4 ผลักดันให้แผนผู้สูงอายุแห่งชาตินำไปสู่การแปลงแผน เพื่อการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ การมีส่วนร่วมของทุกหน่วยงานโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีบทบาทเป็นเจ้าภาพในการนำแผนไปสู่ การปฏิบัติ โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพและรายได้ของผู้สูงอายุ และส่งเสริมกระบวนการภาคประชาสังคม โดยมี หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นผู้สนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1933 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมใน
การจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ คือ 1. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขประกอบเกณฑ์การประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น 2. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะจัดการการอาชีวศึกษายื่นคำขอต่อสำนัก งานล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยวันก่อนวันเริ่มต้นปีการศึกษาที่จะเปิดทำการสอน 3. กำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการเพื่อทำการประเมินเพื่อทำหน้าที่ประเมินความพร้อมในการจัด การการอาชีวศึกษาและแจ้งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1934 | ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 | มท | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่ง ชาติ (กปอ.) เสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกับอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีวัฒนธรรมความปลอดภัยในวิถีชีวิตเพื่อลดความ สูญเสียทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการ ป้องกันอุบัติภัย ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวังและเตือนภัย ยุทธศาสตร์การสร้างการ มีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ยุทธศาสตร์การบังคับและปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ และยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการ 1.2 ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้ประสานงานในการจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับแผน หลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 2. ให้ กปอ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยให้ภาคประชาชน เอกชน องค์การสาธารณกุศล และสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงอุบัติภัยต่าง ๆ และให้สังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแนวทางการป้องกัน รวมทั้งรัฐบาลและองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ และให้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ ของแต่ละจังหวัดเพื่อรณรงค์ป้องกันอุบัติภัยอย่างต่อเนื่อง มีการประกวดและมอบรางวัลแก่จังหวัดที่เกิดอุบัติภัยน้อย ที่สุด เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันมิให้เกิดอุบัติภัยในจังหวัด ส่วนยุทธศาสตร์การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคี ต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของ อปท. นั้น ต้องพิจารณาถึงศักยภาพและสถานะทางการคลังของ ท้องถิ่นเป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1935 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ | กษ | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 1.1 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ 1.2 มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ในบันทึกความเข้าใจ ฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัด ต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอีก 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยว กับสารัตถะของบันทึกความเข้าใจ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องซึ่งปรากฏอยู่ในบันทึกความเข้าใจ ฯ ข้อที่ 4(3) เรื่อง การ จัดการและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตรยังขาดรายละเอียดในการดำเนินงาน จึงเห็น ควรเพิ่มประเด็นสำคัญ ได้แก่ ส่งเสริมการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ป่าหรือชนิดพันธุ์พื้นเมือง การอนุรักษ์ผู้ผสมเกสร (Pollinators) อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตร ตลอดจนเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดที่นำไปสู่การเกษตร แบบยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1936 | การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพอื่น | มท | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ ประกอบอาชีพงานก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 และวัน 2 ธันวา คม 2551 กรณีผิดสัญญาที่ได้นำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน 641 โครงการ จำนวนเงิน 123,324,148 บาท ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจ่ายคืนให้แก่ผู้รับจ้างต่อไป 1.2 การเบิกจ่ายเงินงบกลาง ฯ ให้เบิกจ่ายได้เมื่อกรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบการขอคืนเงินค่าปรับและ ได้อนุมัติให้ถอนคืนเงินค่าปรับได้ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และให้รับความ เห็นของกระทรวงการคลัง ที่ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ หากกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่นเบิกจ่ายเงินรายการดังกล่าวไม่แล้วเสร็จกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้กันเงินงบประมาณที่คงเหลือไว้เบิกเหลื่อม ปี ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1937 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในคณะกรรมการการอาชีวศึกษาแทนตำแหน่งที่ว่าง (นายอำนาจ เต็มสงสัย) | ศธ | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอำนาจ เต็มสงสัย เป็นกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แทนนายสายัณห์ มีแสง ที่ถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดย ให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 กุมภาพันธ์ 2553) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1938 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | มท | 09/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขบทบัญญัติบางประการในพระราชบัญญัติว่าด้วยการ ลงคะแนนเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เพื่อให้การใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลง คะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ที่สำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงาน ด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1939 | ร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. .... | นร | 09/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เสนอ และตรวจพิจารณาแล้ว และส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดให้มีมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรสัตว์น้ำ และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมให้ประชาชนหรือชุมชนประมงท้องถิ่นเข้ามามีสวน ร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างสมดุลเพื่อให้สามารถนำทรัพยากร สัตว์น้ำที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน 2. กำหนดมาตรการในการส่งเสริมให้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงหรือจากการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม 3. กำหนดมาตรการควบคุมและจัดระเบียบการใช้เรือประมงไทยในการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1940 | การนำเสนอวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ปี 2553 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 02/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 เพื่อขับเคลื่อนประเด็นจังหวัดน่าอยู่สำหรับ เด็กและเยาวชน และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์เสนอ ดังนี้ 1.1 รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยจะเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก และเยาวชนให้เกิดผลอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม โดยมีตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน 7 ด้าน ได้แก่ ด้านความปลอด ภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านสุขภาพอนามัย ด้านครอบครัวอบอุ่น ด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านการมีส่วนร่วม ด้าน การคุ้มครองสิทธิเด็ก และด้านความปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยง 1.2 จัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อเด็กและเยาวชน ตามตัวชี้วัดจังหวัดน่าอยู่ และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับ เด็กและเยาวชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาบรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้อง ถิ่น รวมทั้งจัดสรรงบประมาณดำเนินการ และรายงานผลความก้าวหน้าเป็นระยะทุกปี 1.3 รัฐบาลโดยกระทรวงด้านสังคม ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการการจัดกิจกรรมและดำเนินการในประเด็นจังหวัดน่าอยู่และกิจกรรมสร้างสรรค์ สำหรับเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายให้การสนับสนุนข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ คำ ปรึกษาแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ ทรัพยากร รวมทั้งพื้นที่ และให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งเกิดจากการมีส่วน ร่วมของเด็กและเยาวชน 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ 2.1 ให้มีการส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่กิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็น กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน 2.2 เร่งสร้างประชาคมเด็กและเยาวชนให้มีการรวมตัวพร้อมทั้งจัดเวทีการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจ การแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนากลุ่มเด็กและเยาวชน ด้วยกันเอง 2.3 จัดให้มีกิจกรรมที่เด็กและเยาวชนสนใจ 2.4 เสนอการใช้กิจกรรมกีฬา นันทนาการ เพื่อการบำบัดรักษาหรือเยียวยาเด็กและเยาวชนที่มีปัญหา ในด้านต่าง ๆ และหรือเด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการ และทุพพลภาพ 2.5 ให้ความเสมอภาคแก่เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการและทุพพลภาพในการรับบริการกิจกรรม กีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างทั่วถึง 2.6 จัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ด้านกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เหมาะสมกับเด็กและเยาว ชนอย่างยั่งยืน 2.7 การพัฒนาเด็กและเยาวชน ควรจัดเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะความปลอดภัยจากการเข้า ร่วมกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
