ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1841 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๒ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการเหมืองแร่ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วไว้ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๒ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1842 | ขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กระทรวงมหาดไทย) | มท | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ซ่อมแซม บูรณะศาลากลางจังหวัด และจัดซื้อครุภัณฑ์ รวม ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น มุกดาหาร และจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง จำนวน ๘๓๗,๖๔๗,๔๐๒ บาท ๒. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๒๑,๕๑๐,๐๐๒ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้ ๒.๑ ค่าก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัด (รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๔ จังหวัด ได้แก่ อาคารศาลากลางจังหวัด จังหวัดอุบลราชธานี วงเงินค่าก่อสร้าง ๒๘๔,๕๗๘,๕๐๐ บาท อาคารศาลาจังหวัด จังหวัดอุดรธานี วงเงินค่าก่อสร้าง ๑๔๗,๔๓๙,๑๐๐ บาท อาคารศาลากลางจังหวัด จังหวัดขอนแก่น วงเงินค่าก่อสร้างรวม ๑๔๗,๓๓๐,๐๐๐ บาท และอาคารศาลากลางจังหวัด จังหวัดมุกดาหาร วงเงินค่าก่อสร้างรวม ๑๔๕,๕๑๙,๘๐๐ บาท รวมวงเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๗๒๔,๘๖๗,๔๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๐๘,๗๓๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๖๑๖,๑๓๗,๔๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒.๒ ค่าครุภัณฑ์ (ปีเดียว) และงบดำเนินงานของส่วนราชการ จำนวน ๑๑ หน่วยงาน ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒๑,๔๓๔,๐๐๐ บาท กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จำนวน ๕๕๙,๑๐๐ บาท กองทัพบก กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๔๘,๓๑๖ บาท สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕๓๔,๐๐๐ บาท กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จำนวน ๓,๔๑๐,๓๐๐ บาท สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๕๗๑,๗๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๑๓๕,๕๐๐ บาท สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๑๑๗,๙๓๐ บาท กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒๒,๒๙๘,๙๐๐ บาท กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๕,๘๖๖,๒๕๖ บาท และกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑,๔๖๑,๐๐๐ บาท ๒.๓ ค่าซ่อมแซมสิ่งก่อสร้าง (ปีเดียว) ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๕๖,๒๔๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๙๗๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการค่าปรับปรุงสิ่งก่อสร้างของทางราชการ ซึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว ๓. สำหรับค่าครุภัณฑ์ประกอบอาคารศาลากลางจังหวัดที่ก่อสร้างใหม่ วงเงินรวม ๙๑,๙๒๒,๒๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่จะก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดแล้วเสร็จต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของรายการที่กล่าวข้างต้น และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1843 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นอย่างน้อยต้องมีผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งคน ผู้แทนสมาชิกสภาเทศบาลหนึ่งคน และผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนึ่งคนหรือสองคนแล้วแต่กรณี ๑.๒ กำหนดวิธีการสรรหากรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่น การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกและบัญชีรายชื่อสำรอง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการก่อนครบวาระ ๑.๓ กำหนดบทเฉพาะกาล ให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะครบวาระ และกรณียังไม่มีบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการสรรหาภายใน ๖๐ วัน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาเมืองพัทยา เป็นกรรมการในคณะกรรมการธรรมาธิบาลจังหวัดชลบุรี และแก้ไขถ้อยคำในร่างระเบียบฯ จากคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด “และคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล” และเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะพิเศษ และปรับปรุงข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกับที่ปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวด้วย รวมทั้งเพิ่มเติมข้อความว่า “ไม่เป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ” ไว้ในระเบียบฯ ข้อ ๘ (๑๐) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1844 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1845 | ขออนุมัติให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนามใน Letter of Agreement (LOA) และดำเนินการโครงการ UNEP-GEF Conservation and Sustainable Use of Cultivated and Wild Tropical Fruit Diversity: Promoting Sustainable Livelihoods,Food Security and Ecosystem Services (GLF-2328-2712-4A24) | กษ | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมว่า ร่าง Letter Of Agreement (LOA) ไม่ก่อให้เกิดโอกาสในการถ่ายทอดพันธุ์พืชไปจากประเทศไทย จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน ๒. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการโครงการ UNEP-GEF Conservation and Sustainable Use of Cultivated and Wild Tropical Fruit Diversity : Promoting Sustainable Livelihoods, Food Security and Ecosystem Services (GLF-2328-2712-4A24) ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ (ประเทศไทยดำเนินโครงการร่วมกับอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๗) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมไม้ผลและการใช้ประโยชน์ของความหลากหลายของเชื้อพันธุกรรมไม้ผลในการเพิ่มรายได้แก่ชุมชนท้องถิ่น และเพื่อช่วยส่งเสริมการป้องกันและลดสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเพื่อเพิ่มสมรรถนะและพัฒนาบุคลากรของกรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ เห็นชอบให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรลงนามใน LOA สำหรับโครงการฯ ๒.๓ อนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไข LOA ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลพินิจของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1846 | แนวทางการบริหารการคลังในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2554 | กค | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการคาดการณ์การจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิจำนวน ๑,๗๗๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๓ สูงกว่าที่จัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ไม่รวมรายได้พิเศษ (๑,๖๔๗,๓๒๕ ล้านบาท) จำนวน ๑๒๒,๖๗๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๔ โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะสูงกว่าประมาณการ ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้า ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มเติม (งบกลางปี) เพื่อชดใช้เงินคงคลังที่ได้มีการใช้ไปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท จัดสรรเพิ่มเติมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท และจัดสรรเป็นงบประมาณช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ จำนวนประมาณ ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งหมดไม่เกิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รับไปพิจารณารายละเอียดของงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1847 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 1/2554) | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เสนอผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนครัวเรือนที่ ปภ. ระงับ และส่งให้จังหวัดตรวจสอบใหม่ จำนวน ๓๙,๗๕๘ ครัวเรือน ให้เสร็จเรียบร้อย หากถูกต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ให้ ปภ. ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามขั้นตอนแก่ผู้ประสบภัยโดยเร็วต่อไป สำหรับกรณีที่จังหวัดขอเพิ่มเติมจำนวนครัวเรือน ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้ ปภ. ตรวจสอบจำนวนครัวเรือนและรายชื่อที่ถูกต้องชัดเจน แล้วเสนอ คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการให้ ปภ. จัดซื้อเครื่องสูบน้ำขนาด ๑๒ นิ้ว โดยให้ ปภ. หารือตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และเลขานุการ คชอ. เพื่อปรับลดจำนวนเครื่องสูบน้ำที่จะจัดซื้อเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัยในช่วงระยะเวลานี้ และเสนอให้ประธาน คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. คชอ. ได้พิจารณาเห็นว่า ขณะนี้เงินงบกลางประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เหลืออยู่เพียงประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หากนำเงินงบกลางไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยตามที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอมาทั้งหมดประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท จะไม่มีเงินเพียงพอไว้ใช้จ่ายสำหรับความจำเป็นในกรณีอื่น ๆ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะมีพื้นที่ประสบภัยแล้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่ขอใช้เงินงบกลาง จะต้องเป็นโครงการที่ไม่สามารถใช้เงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ ได้และต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนและพร้อมที่จะดำเนินการได้ในทันทีและแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน โครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายจากอุทกภัยพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ เพื่อนำเสนอให้ คชอ. พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการฯ รับข้อเสนอแนะของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาท ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และปัตตานี โดยควรแยกเป็นรายพื้นที่ ถ้าพื้นที่ใดข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมและผู้ประสบภัยยังไม่ได้รับความช่วยเหลือให้ดำเนินการตามขั้นตอนไปได้ก่อน แต่ในพื้นที่ใดหากมีข้อสงสัยว่าประสบภัยจริงหรือไม่ หรือมียอดจำนวนครัวเรือนผิดปกติให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นรายพื้นที่ สำหรับกรณีวาตภัยและน้ำป่าไหลหลากซึ่งไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมได้ อาจต้องใช้วิธีการลงพื้นที่ตรวจสอบแทน รวมทั้งตรวจสอบรายชื่อผู้ลงนามรับรองให้รอบคอบ เนื่องจากในบางพื้นที่ท้องถิ่นไม่ลงนามรับรองจำนวนครัวเรือนที่ประสบอุทกภัย ไปดำเนินการต่อไป ๕. คชอ. มีมติเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบภัย ดังนี้ ๕.๑ กรณีการขอใช้เงินงบกลางเพิ่มเติมในส่วนของความเสียหายภายหลังดำเนินการสำรวจจริงรวมทั้งประมาณการความเสียหายในภาคใต้ เนื่องจากเป็นการให้ความช่วยเหลือตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ และ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จึงเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปทำความตกลงวงเงินกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการขอขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเกษตรกร เห็นควรรอให้สิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติก่อน และเมื่อสิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติแล้ว หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า ควรจะต้องมีการช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติม จึงให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ๕.๒ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางเสียหายแต่ไม่เสียสภาพส่วน จำนวน ๑,๕๒๐,๕๘๓ ต้น ในอัตราต้นละ ๙๐ บาท วงเงินทั้งสิ้น ๑๓๖,๘๕๒,๔๗๐ บาท และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนหรือหวงห้ามอื่น ๆ จำนวน ๑๐,๒๒๔.๕๕ ไร่ ตามที่รายงานให้ คชอ. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๕.๔ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๕.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานนายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องของการประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านการเกษตรให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1848 | ร่างพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยสรุป ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ให้มีความหมายครอบคลุมเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวหรือมีเหตุผลความจำเป็นต้องมีบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ๒. กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งมิได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถมีบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ได้ ๓. กำหนดข้อยกเว้นให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีกฎหมายกำหนดให้ออกบัตรประจำตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ไม่ต้องมีบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1849 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ได้ตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดบทนิยาม “การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ” “หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย” “หน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพ” “ชุมชนท้องถิ่น” “หนังสืออนุญาต” และ “ข้อตกลง” ๒. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพซึ่งมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไว้โดยเฉพาะ จะอนุญาตให้มีการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพได้ เมื่อได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพตามแบบที่คณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) กำหนด ๓. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอ ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ ๔. กำหนดให้ในกรณีที่การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพใดมีแหล่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใด ให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอสอบถามความเห็นจาก อปท. นั้น และให้ อปท. นั้นมีหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาต ๕. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาต หรือนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วน แล้วแต่กรณี ๖. กำหนดให้ข้อตกลงต้องระบุถึงความตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐที่ได้ออกหนังสืออนุญาตกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย สิทธิและประโยชน์ตอบแทนในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไม่ว่าจะคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่ ที่หน่วยงานของรัฐ ผู้ได้รับอนุญาต และชุมชนท้องถิ่นพึงจะได้รับ ค่าภาษีอากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามกฎหมาย ๗. กำหนดเนื้อหาในข้อตกลงที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ และข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ ๘. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตต้องทำความตกลงกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับการรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงตามระยะเวลาที่จะตกลงกัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓ เดือนต่อหนึ่งครั้ง และการรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพเมื่อหนังสืออนุญาตสิ้นผล ๙. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบ ติดตาม และกำกับดูแล ให้ผู้ได้รับหนังสืออนุญาตปฏิบัติตามข้อตกลงโดยเคร่งครัด และรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงให้ กอช. ทราบตามระยะเวลาที่ กอช. กำหนด รวมทั้งรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพให้ กอช. ทราบ เมือหนังสืออนุญาตสิ้นผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1850 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 10/2553 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตรวจสอบความชัดเจนของข้อกฎหมายที่รองรับหรือให้อำนาจการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเสนอวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ โครงการที่ได้ดำเนินการและเบิกจ่ายแล้ว ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในด้านผลลัพธ์หรือผลสำเร็จของโครงการตามดัชนีชี้วัดที่กำหนดไว้ ๑.๒.๒ โครงการที่ยังไม่ได้ขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการควรพิจารณายกเลิกโครงการและนำเงินมาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน ๑.๒.๓ โครงการที่ขอขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการออกไปเกินกว่าปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรตรวจสอบว่าโครงการดังกล่าวได้มีการผูกพันสัญญาไว้แล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการผูกพันสัญญาควรพิจารณานำเงินมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน และหากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูงควรพิจารณาทางเลือกในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือจัดสรรงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต วงเงิน ๒,๖๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงชื่อโครงการที่หน่วยงานเสนอเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ อนุมัติไว้แล้ว ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๓.๑ จาก “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๘๖๓ รายการ” เป็น “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย” ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๔๒๗.๒๓ ล้านบาท ๓.๒ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๒๑๙.๙๕ ล้านบาท ๓.๓ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๑๔.๔๖ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1851 | แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒๐ หน่วยงาน ดังนี้
๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๕. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ๑๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ๑๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ๑๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมประชาสัมพันธ์ ๑๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑๕ แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ๑๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงแรงงาน ๑๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๑๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ๑๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1852 | เอกสารสำคัญที่จะมีการลงนามหรือรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 14 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวและอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้รับรองแผนยุทธศาสตร์ฯ ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๔ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้ผู้รับรองเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ ๑.๒ เห็นชอบข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน โดยให้นำเสนอข้อตกลงฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้ความเห็นชอบให้ลงนามและดำเนินการให้ข้อตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในข้อตกลงฯ ให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้ได้รับมอบหมายลงนามในข้อตกลงฯ พร้อมทั้งจัดทำสัตยาบันสารสำหรับข้อตกลงดังกล่าว และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความรู้ในเรื่องสิทธิหน้าที่ของผู้ใช้แรงงานตามกรอบกฎหมายท้องถิ่นของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวในสาขาการท่องเที่ยว สำหรับร่างข้อตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายบุคลกรด้านการท่องเที่ยวภายในอาเซียนด้วยการรับรองคุณสมบัติและสมรรถนะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ้างแรงงานไทยในภาคการท่องเที่ยว เห็นควรที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องมีแนวทางหรือมาตรการรองรับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานไทยในการแข่งขันในภาคบริการการท่องเที่ยวในอาเซียน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1853 | แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามรายละเอียดของแผนปฏิบัติการฯ ต่อไป โดยให้สามารถปรับปรุงรายละเอียดของแผนปฏิบัติการฯ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น แต่ต้องไม่เปลี่ยนหลักการ และให้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อความและหน่วยงานดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ การสร้างความเป็นธรรมในสังคม ให้ปรับปรุงเป้าหมายการดำเนินการ เป็น ดังนี้ ๒.๑.๑ ลดคดีความและเพิ่มความยุติธรรมในชุมชนกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเครือข่ายยุติธรรมชุมชน อาสาสมัครพิทักษ์ยุติธรรม และสถานียุติธรรม โดยสนับสนุนและขอความสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลให้มีการจัดตั้งสถานียุติธรรมในทุกตำบล ๒.๑.๒ “จัดตั้งสายด่วนเยียวยา” ให้ประชาชนใช้เป็นช่องทางในการร้องเรียนและขอรับความช่วยเหลือหรือเยียวยาทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑.๓ จัดทำคู่มือและผังภาพขั้นตอนการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ๒.๑.๔ กำกับดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและโอกาสในการใช้สิทธิทางกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ๒.๑.๕ พิจารณากฎหมายที่มีส่วนก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการตามข้อ ๒.๑ ให้ปรับปรุงแก้ไขเป็น ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ๒.๒ การใช้สื่อเพื่อสังคมทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่นเป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องและเป็นกลาง ให้ปรับปรุงเป้าหมายการดำเนินการ เป็น ดังนี้ ๒.๒.๑ ใช้สื่อท้องถิ่นในการนำเสนอ ผลิต และกระจายสื่อที่เกี่ยวกับการสร้างความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนเข้าใจสิทธิ ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมและเป็นช่องทางเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชน ๒.๒.๒ จัดให้มีรายการวิทยุ โทรทัศน์ และโครงการยุติธรรมเคลื่อนที่ที่จะอำนวยความยุติธรรมเพื่อประชาชน ๒.๒.๓ พัฒนาการจัดการความรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมผ่านช่องทางสื่อดิจิตอล/สังคมออนไลน์ ทั้งนี้ หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการตามข้อ ๒.๒ ให้ปรับปรุงแก้ไขเป็น ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ๓. รับทราบกรอบงบประมาณ วงเงิน ๙,๑๙๐.๓๐ ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ก่อนดำเนินการต่อไป ๔. อนุมัติกลไกและระเบียบวิธีการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ ๔.๑ ให้มีกลไกระดับชาติในการบูรณาการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยในลักษณะคณะกรรมการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานกลางเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ๔.๒ ให้มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ รวม ๔ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการสร้างอนาคตของชาติ ด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน ด้านยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม และด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งนี้ เพื่อกำกับและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการระดับชาติ ตามข้อ ๔.๑ ๔.๓ จัดตั้งสำนักงานประสานงานร่วมภาคเอกชนในการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี ๕. เห็นชอบการจัดทำระบบการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ๖. ในส่วนของการให้สวัสดิการสังคมแก่ผู้ประกอบอาชีพในเศรษฐกิจนอกระบบ (ประกันสังคม มาตรา ๔๐) (โครงการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ มาตรา ๔๐) ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ พ.ศ. .... ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ปรับปรุงแก้ไขหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของแรงงานให้เป็นไปตามหลักการในแผนปฏิบัติการฯ ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1854 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 | มท | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน เน้นหนักในมาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ในส่วนกลาง จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ระดับจังหวัด และอำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การตั้งจุดสกัดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชน ระดับพื้นที่ ๓. แผนการดำเนินการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนเส้นทางสายหลักและสายรอง ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1855 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1856 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1857 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | มท | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การเพิ่มค่าคอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะต้องมีการปรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลที่จะใช้ในการดำเนินการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือไม่ เพียงใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรอผลการพิจารณาตามข้อ ๑ ก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1858 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบล ขอให้พิจารณาเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนของบุคลากรกลุ่มอื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย เนื่องจากมีการยึดโยงกันเป็นระบบ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดและเปรียบเทียบค่าตอบแทนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และบุคลากรส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1859 | การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย และขอความเห็นชอบในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว เป็นเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓ ๑.๒ ให้ อจน. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ๑.๓ ให้ อจน. เข้าดำเนินการลงทุนตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓๐(๑) เพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจการต่อเนื่องที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย ๑.๔ การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน ให้ อจน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้ อจน. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ อจน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามเงื่อนไขของการบริหารจัดการ ๓. ให้ อจน. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียได้ในระยะยาวต่อไป รวมทั้งการเจรจาทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1860 | กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย | กษ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอาหารแห่งชาติ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้กรอบ ยุทธศาสตร์การจัดการอาหารของประเทศไทยนี้ เป็นแนวทางในการจัดทำคำของบประมาณประจำปีได้ทันตั้งแต่ปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบยุทธศาสตร์ การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยผนวกเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และให้หน่วย งานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการอาหารแห่ง ชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนัก งบประมาณ เกี่ยวกับการสนับสนุนการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งในการผลิต และการนำผลผลิตทางการเกษตร ไปแปรรูปและต่อยอดการสร้างรายได้ให้ชุมชน การเพิ่มแนวทางดำเนินงาน โดยยกระดับความสามารถของหน่วย งานที่ทำการจัดเก็บรวบรวมและอนุรักษ์ทรัพยากรเชื้อพันธุกรรมพืชและสัตว์ ทั้งที่ได้จากธรรมชาติและจากผลการ วิจัยใหม่ ๆ การเพิ่มกลยุทธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของภาชนะและวัสดุสัมผัสอาหาร การให้ความสำคัญกับการ วางแผนและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชา สังคมเพื่อให้มีอาหารที่ปลอดภัยเพียงพอต่อประชาชนทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ การจัดทำระบบฐานข้อมูล และบัญชีทรัพยากรด้านอาหารที่มีความทันสมัย สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยว ข้องรวมทั้งเร่งรัดให้มีคลังข้อมูลด้านสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดทำแผนปฏิบัติการ ที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและจัดทำตัวชี้วัดความสำเร็จทั้งในเชิง ภาพรวมของกรอบยุทธศาสตร์และผลการดำเนินงานของหน่วยงานหลักและหน่วยงานตามเป้าหมายและแนวทาง การดำเนินงานที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
