ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1961 | การทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (ปี พ.ศ. 2553 - 2556) และการขอแก้ไขงบประมาณโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. 2553 ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 | นร | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณา
การ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ 5 /2552 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการ และเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ 1. เรื่อง การทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (ปี พ.ศ. 2553-2556) 1.1 เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 75 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด ที่ผ่านการ ทบทวนจากคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัด แบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ ทั้ง 5 คณะ และให้จังหวัดและ กลุ่มจังหวัดรับข้อสังเกตของ อ.ก.น.จ. ฯ ไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป 1.2 ให้ อ.ก.น.จ. ฯ ช่วยปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้สมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะการ กำหนดวิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธาสตร์ และเป้าประสงค์ ให้มีจุดเน้นที่ชัดเจนสามารถสะท้อนมิติการพัฒนาที่สำคัญ รวมทั้งปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดให้มีความสมบูรณ์ เพื่อประกอบการวางแผนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 1.3 เห็นชอบให้ ก.น.จ. จัดให้มีการประชุมเพื่อบูรณาการโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ระหว่างจังหวัด /กลุ่มจังหวัด (Area) กับกระทรวง ทบวง กรม (Function) 1.4 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดการประชุมเพื่อบูรณาการโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ระหว่าง จังหวัด/กลุ่มจังหวัด (Area) กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด/กลุ่มจังหวัดนั้น 1.5 เห็นชอบปฏิทินการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัด ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2554 ที่ปรับใหม่ให้สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 2. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและงบประมาณของโครงการ จำนวน 6 โครงการ ตามแผนปฏิบัติ ราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ยุทธศาสตร์การ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไหม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1962 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552 - 2554 | สธ | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552-2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้มีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี โดยมีมาตร การและแนวทางการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมรายสาขารวม 6 สาขา ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุข อนามัย และการสุขาภิบาล ด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการเตรียมการและวางแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะ กรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็น พ.ศ. 2553-2555 และปรับตัวชี้วัดที่ ระบุว่า "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำบริโภคเพื่อการบริโภค อุปโภค อย่างเพียงพอ" เป็น "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการบริโภค 5 ลิตร/คน/วัน และเพื่อการอุปโภค 45 ลิตร/คน/วัน" และให้ความสำคัญในการพัฒนาจิตสำนึกของประชาชนและชุมชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เข้าถึง ตระหนักถึงความสำคัญของการอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเข้าร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบคุณภาพด้าน สุขภาพ (HIA) อย่างเข้าใจทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ต้องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้วยกัน นอกจากนี้ เร่งรัดให้มีการประชา สัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติ หน้าที่และบทบาทของตนเองในการแก้ไขปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน การจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งเป็นปัญหาใกล้ชิดประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1963 | การจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และงบประมาณจัดตั้งมูลนิธิฯ และสถาบันฯ | นร | 24/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 1.1 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไก ของรัฐรับผิดชอบการจัดการความรู้และการส่งเสริมการพัฒนาตามแนวทางโครงการพระราชดำริ 1.2 ให้โอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณโครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวทางพระราช ดำริจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) องค์การมหาชน ให้แก่มูลนิธิปิดทองหลังพระ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนาปิดทองหลังพระ ฯ ให้โอนในจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ที่ สสปน. ณ วันที่จดทะเบียน จัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ ฯ ตามกฎหมาย ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการโอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีการพิจารณาปรับ เป้าหมายการดำเนินงาน และงบประมาณที่จะขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการปรับ เปลี่ยนรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการ โดยให้ภาคเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามี ส่วนร่วม รวมทั้งความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานจัดตั้งมูลนิธิ ไปพิจารณาดำเนิน การต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1964 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล | สสป | 24/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๑ ส่งเสริมสนับสนุนและผลักดันอย่างจริงจังต่อเนื่องให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่นที่เหมาะสมกับภูมิสังคมให้สามารถพึ่งพา สร้างความเข้มแข็งได้กับตนเองและชุมชนอย่างยั่งยืนทั้งพืชอาหารและพืชพลังงาน ๑.๒ ตรากฎหมายและกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองพื้นที่การเกษตรทั้งในส่วนที่ปลูกพืชอาหารและพืชพลังงาน รวมถึงมาตรการป้องกันพื้นที่และอาชีพของเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย และเร่งรัดการเปิดโอกาสให้ครอบครองสิทธิตลอดจนการถือสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ๑.๓ สนับสนุนและให้ความเป็นธรรมพร้อมอำนวยสะดวกและรวดเร็วในการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ให้กับผู้คิดค้นและค้นพบตามถิ่นกำเนิด พร้อมมีมาตรการป้องกันมิให้ต่างชาติมาจดสิทธิบัตรและฉวยโอกาสเอาประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศไทย ๑.๔ กำหนดมาตรการที่สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชอาหารและรักษาพื้นที่ปลูก รวมถึงสามารถช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร ๑.๕ เร่งรัดในการดำเนินนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เพื่อสนับสนุนให้ผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากภาคการเกษตรของไทยกระจายไปสู่ตลาดทุกระดับทั่วโลก ๑.๖ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนในภาคการเกษตรกับประเทศที่มีนโยบายเปิดรับการลงทุนด้านการเกษตร ๒. ความมั่นคงด้านพลังงาน ๒.๑ ดำเนินนโยบายอย่างจริงจังในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนในระดับชุมชนตามความเหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ ๒.๒ คงไว้ซึ่งนโยบายการพัฒนาพลังงานเพื่อการพึ่งตนเอง และนำแผนแม่บทการพึ่งตนเองด้านพลังงานมาใช้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้ กำหนดอัตราส่วนของพลังงานแต่ละชนิดเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน กำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนแน่นอนในการลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน จัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนและผลักดันโครงการพลังงานทดแทนแต่ละชนิด และมีวิธีการคิดผลตอบแทนและมาตรการสนับสนุน ๒.๓ เพิ่มพื้นที่ปลูกพืชพลังงานและเร่งรัดการพัฒนาการเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ของพืชพลังงานที่อยู่ในเป้าหมายพลังงานทดแทน ๒ ระดับ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมด้านศักยภาพของพื้นที่ต่อการให้ผลผลิตของพืชนั้น ๆ โดยไม่ทับซ้อนหรือแย่งพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพืชอาหาร และกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นพื้นที่โรงงานในการรวบรวมผลผลิต ๒.๔ ผลักดันนโยบายพลังงานชุมชนให้เดินหน้าควบคู่กันไปกับนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยเน้นการรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรทุกครัวเรือนต้องมีพืชพลังงานชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ทุกครัวเรือนเกษตรกร การสร้างระบบรวบรวมผลผลิต สร้างโรงงานผลิตพลังงานชุมชน และการบริหารจัดการด้านตลาดที่เหมาะสมกับผลผลิตในพื้นที่ ๒.๕ กำหนดมาตรการลดใช้พลังงานเพื่อลดความต้องการพลังงานและพลังงานที่ผลิตได้ รวมถึงดำเนินมาตรการแรงจูงใจให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้วัตถุดิบที่ใช้เพื่อการผลิตที่ประหยัดพลังงาน การเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน สร้างกลไกที่เปิดช่องทางให้มีการพัฒนาเครื่องจักร เครื่องยนต์ เตรียมพร้อมในการเข้าสู่การใช้พลังงานกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่ในเป้าหมายได้โดยเต็มประสิทธิภาพ ๒.๖ แก้ไขเพิ่มเติมข้อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เอื้อต่อการผูกขาด และอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน รวมถึงองค์กรธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามแผนงานโครงการที่เป็นประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ๓. นโยบายความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล ๓.๑ สนับสนุนการวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงทั้งพืชอาหารและพืชพลังงาน พัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน รวมถึงการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ๓.๒ สนับสนุนการศึกษาการเรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อรองรับการประดิษฐ์คิดค้นพัฒนาด้านอาหารและพลังงานในการพัฒนาประเทศ การสร้างวัฒนธรรมท้องถิ่น การมีนวัตกรรมเป็นของเราเอง ลดการพึ่งพิงต่างชาติ ๓.๓ มีนโยบาย แผนปฏิบัติการ และคณะกรรมการเพื่อความสมดุลและความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน กำหนดมาตรการจัดการผลผลิตอย่างสมดุลระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงาน รวมทั้งกระจายผลประโยชน์ไปยังกลุ่มต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ๓.๔ ส่งเสริมและสนับสนุนผลักดันให้ระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Energy System) ให้สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจังเหมาะสมกับสภาพภูมิสังคมเพื่อลดการกระจายความเสี่ยง สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ๓.๕ เร่งรัดการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำ การสร้างระบบการชลประทานให้กระจายครอบคลุมพื้นที่ผลิตพืชอาหารและพืชพลังงาน โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเห็นคุณค่าของน้ำ รวมทั้งเพื่อป้องกันภัยจากน้ำ ๓.๖ พัฒนาระบบขนส่งโดยลงทุนครอบคลุมทุกภาคของประเทศทั้งระบบขนส่งมวลชน ขนส่งและกระจายสินค้าด้วยระบบรางและทางน้ำ ๓.๗ ปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาประเทศ จากความพยายามจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมมาเป็นประเทศเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบต่อเนื่องสู่เกษตรอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริการ เพื่อทำให้นโยบายพัฒนาและดำเนินความมั่นคงทางอาหารและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๘ เปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านพลังงานของประเทศต่อสาธารณะ ๓.๙ จัดให้มีพื้นที่เป็นโครงการนำร่องในการจัดการพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1965 | การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินการและหลักเกณฑ์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 24/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 1.1 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินโครงการและแนวทางการปรับปรุงเพิ่มเติมโครงการใหม่ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 (คณะกรรมการ ฯ) 1.2 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ โครงการศูนย์ 3 วัยสาน สายใยรักแห่งครอบครัว ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 1.3 รับทราบแนวทางการดำเนินงานกรณีหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผน ปฏิบัติการ ฯ ไม่สามารถดำเนินการเองได้ต้องมอบหมายให้หน่วยงานอื่นดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน 1.4 รับทราบหลักเกณฑ์ข้อกำหนดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ และหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ 2. กรณีของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว) และกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ (กรมชลประทาน) ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ แต่ไม่ สามารถดำเนินการเองได้ และมีความประสงค์จะมอบหมายให้หน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยรวด เร็ว ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน่วยงานที่จะเข้ามาดำเนินโครงการเท่านั้น จึงให้ดำเนิน การต่อไปได้ 3. ให้คณะกรรมการ ฯ ถือเป็นหลักการว่าหากมีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ในลักษณะดังกล่าว ตามข้อ 2. ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้เช่นเดียวกัน แล้วให้นำผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1966 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. .... | มท | 17/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. .... โดย
มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณา ดังนี้ 1. กรณีเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายในเรื่องนี้ ก็ให้ดำเนินการยกเลิกพระราชบัญญัติควบ คุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 2. กรณีเห็นว่ามีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนี้ ก็ให้ดำเนินการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่า ธรรมเนียมใบอนุญาตฉบับละไม่เกิน 100 บาท นั้น ควรมีการกำหนดเป็นอัตราที่แน่นอนเพื่อป้องกันพนักงาน เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจที่อาจไม่เท่ากันในแต่ละท้องถิ่น ไปพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1967 | การรายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายเงิน | นร | 17/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1.รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเงินค่าใช่จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่ บ้าน (อสม.) โดยในส่วนของเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเบิกจ่ายครบถ้วนทุกจังหวัดแล้ว สำหรับเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเบิกจ่ายแล้ว เหลือเพียงจังหวัดกาฬสินธุ์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ระนอง นราธิวาส และ กรุงเทพมหานคร ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย ส่วนเงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของ อสม. ได้จัดสรรเงินในระบบ GFMIS แล้ว รอองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่งข้อมูลรายละเอียดผู้ได้รับสิทธิไปที่จังหวัด 2. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์) รายงานว่า การ จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เริ่มจ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายนโดยจ่ายรวมกับเดือนตุลาคมเป็น 2 เดือน ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบกำหนดให้ อปท. ทุกแห่งจ่ายเป็นรายเดือนทุกเดือน ภายในวัน ที่ 10 ของเดือน และให้จ่ายเท่ากันทุกแห่งคือ เดือนละ 500 บาท ขณะนี้ อปท. ทุกแห่งได้จ่ายเงินตามระเบียบแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข จะ ร่วมกันดำเนินการขึ้นทะเบียนคนพิการรอบใหม่เพื่อให้ความช่วยเหลือตามกฎหมายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1968 | แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 | มท | 17/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ 1.1 แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ว่าด้วยหลักการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วนที่ 2 ว่าด้วยกระบวนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วนที่ 3 ว่าด้วยกระบวนการป้องกันและบรรเทาภัยด้านความมั่นคง 1.2 มอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ถือปฏิบัติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนดังกล่าว 1.3 มอบหมายให้สำนักงบประมาณ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตั้งแต่ระยะก่อนเกิด ภัย ขณะเกิดภัย และการฟื้นฟูบูรณะภายหลังภัยสิ้นสุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อผู้ประสบ ภัยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติสุขได้โดยเร็ว 1.4 มอบหมายให้หน่วยงานระดับกระทรวงจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์และให้บรรจุโครง การที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี รวมทั้งกำหนดให้เรื่องดัง กล่าวเป็นตัวชี้วัดร่วม (Joint KPI) ระหว่างหน่วยงาน 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีคลังข้อมูลด้านสาธารณภัยเป็น แผนงานเร่งด่วนเพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางด้านสาธารณภัยของประเทศ และจัดทำคู่มือมาตรฐานปฏิบัติงานหรือแนว ทางการปฏิบัติ (Standard Operating Procedure) ในแต่ละประเภทภัยและระดับความรุนแรง รวมทั้งจัดทำแผน เผชิญเหตุรองรับ (Contingency Plan) เพื่อให้หน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบได้ยึดถือปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณให้พิจารณาดำเนินการตาม ความเหมาะสมและจำเป็นโดยคำนึงถึงข้อจำกัดทางการเงินการคลังของประเทศ โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และหรือพื้นที่ที่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้รับข้อเสนอเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ให้มีการประสานงานกับองค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรมตามแผน ฯ รวมทั้งข้อเสนอเพิ่มเติม ของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำรายละ เอียดการใช้จ่ายงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1969 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ | ทส | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 4 พฤษภา คม 2552 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความ สำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ที่เห็นควรศึกษาและพัฒนาปรับปรุงกฎหมายด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบโดยบูรณาการเรื่องที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เช่น ทรัพยากรป่าไม้ การจัด การพื้นที่ชุ่มน้ำ การจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำ และการควบคุมมลพิษ เป็นต้น การสร้างความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ จากการขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต การติดตามประเมินผลการดำเนินการ ตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางการปรับปรุงเพิ่มเติม ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งมีมาตรการด้านการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำที่ถูกบุกรุกทำลายทั้งระบบเพื่อให้เกิดการ ใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนโดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานระดับท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ และการ กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ นอกจากนี้ ควรศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวด ล้อมกับความมั่นคงของรัฐ และความไม่มั่นคงของประชาชน ความขัดแย้งจากการแย่งชิงและการใช้สอยทรัพยากรสิ่ง แวดล้อมต่าง ๆ ในพื้นที่ในสภาวะของการมีทรัพยากรจำกัด ขาดแคลน และมีสภาพเสื่อมโทรมลง รวมถึงการรณรงค์ ให้ความรู้ ทำความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึกของประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ในการฟื้นฟู เฝ้าระวัง มีการประเมินความรู้สึกและความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการดำเนินการตามมติดังกล่าว ไปพิจารณา หากสมควรปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำประการใดให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1970 | ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ
ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 (เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555) ในส่วนของการกำหนดให้เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้รับการ อนุมัติการจัดสรรวงเงินอุดหนุนตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นแล้ว ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้ อปท. จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินผ่านกรมส่งเสริมการปก ครองส่วนท้องถิ่น โดยให้แก้ไขเป็น "เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินอุดหนุนตาม หลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ให้องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ต่อไป"
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1971 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | ตผ | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่น ดิน สรุปได้ดังนี้ 1.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 มีหน่วยรับตรวจในความรับผิดชอบตรวจสอบจำนวน 71,787 หน่วย และมีหน่วยรับตรวจที่ตรวจเสร็จและออกรายงานจำนวน 6,265 หน่วย โดยลักษณะงานตรวจสอบ ได้แก่ การตรวจ สอบเงินทั่วไป การตรวจสอบงบการเงิน การตรวจสอบเงินอุดหนุน การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ การตรวจสอบ การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบสืบสวน และการตรวจสอบการดำเนินงาน 1.2 ตรวจสอบเงินงบประมาณแผ่นดิน มูลค่างานตามสัญญาซื้อจ้าง จำนวน 58,927.40 ล้านบาท ตรวจสอบเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินรัฐวิสาหกิจ กองทุนและเงินทุน หน่วยงานอิสระ/องค์กรมหาชน และ หน่วยงานอื่น ๆ มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 8,127,928.43 ล้านบาท (ไม่รวบงบสอบทาน) ประมาณการมูลค่า ความเสียหาย/ค่าเสียโอกาส เป็นตัวเงินรวมทั้งสิ้น 68,192.90 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณที่เรียกเก็บ คืนหรือรายได้ที่จัดเก็บเพิ่ม จำนวน 4,106.33 ล้านบาท และประมาณการมูลค่าความเสียหายที่รัฐสูญเสียงบโดย ไม่ประหยัดหรือสูญเสียรายได้ จำนวน 64,086.57 ล้านบาท 2. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำผลการตรวจสอบไปปฏิบัติ หรือดำเนินการ ปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนที่เกี่ยวกับราชการส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและ ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลอย่างใกล้ ชิดและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1972 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. การผลิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1.1 สร้างระบบเชื่อมโยงตลาดและพัฒนาตลาดกลางขององค์กรเกษตรกรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขัน และลดช่องว่างการตลาด รวมทั้งสร้างตลาดให้เกิดในชุมชน 1.2 ส่งเสริมให้มีการผลิตแบบเกษตรผสมผสานมากขึ้น ลดการผลิตเชิงเดี่ยว และใช้สารอินทรีย์ที่ผลิต เองในชุมชน 1.3 ส่งเสริมให้มีการศึกษา วิจัย และค้นคว้า รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรด้วย ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1.4 พัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถของบุคลากรในภาคการเกษตรให้สามารถปรับตัวรองรับ ผลกระทบที่จะเกิดจากปัจจัยภายนอก 2. การเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร 2.1 จัดให้มีมาตรการอำนวยความสะดวกให้เกิดการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างแรงจูงใจให้ผู้ บริโภค เน้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อลดปัญหาสินค้าล้น ตลาดและขาดตลาดบางช่วง 2.3 ส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาขีดความสามารถในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร สามารถปรับตัวและ กำหนดทิศทางเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ 3. การจัดการตลาด 3.1 จัดตั้งตลาดกลางเพื่อรวบรวม ประมูล และกระจายผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละจังหวัด 3.2 จัดการระบบโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนการผลิตรวมและสนับสนุนระบบการขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้ ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.3 ให้ตัวแทนสถาบันเกษตรกรมีบทบาทและส่วนร่วมในการเจรจาการค้าในทุกระดับ 4. มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ 4.1 พัฒนาฐานข้อมูลและมีการวิเคราะห์ที่เป็นระบบให้ทันสถานการณ์ เพื่อกำหนดนโยบายและการ ตัดสินใจของเกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง 4.2 กำหนดมาตรการในการสร้างเสถียรภาพทางด้านรายได้ของเกษตรกร เพื่อทดแทนมาตรการใน การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยตรง 4.3 สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรภายในประเทศทัดเทียมมาตรฐานส่งออก 4.4 ดำเนินการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทั่วถึง ถูกต้อง และเป็นธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวาง นโยบายและวางแผนด้านการเกษตร 4.5 ปรับปรุงเงื่อนไขกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแก้ไขผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี 4.6 กำหนดมาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากผู้นำ เข้าและผู้กระจายสินค้าในประเทศในรูปแบบภาษีท้องถิ่นและมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1973 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ
สภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. รูปแบบการผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ควรมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2 ประเภท ดังนี้ 1.1 จัดฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นโดยใช้ระยะเวลาศึกษาระหว่าง 3 เดือน ถึง 1 ปี เป้าหมายของหลักสูตรเน้นฝึกทักษะพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพการให้บริการนักท่องเที่ยวทันทีที่จบการศึกษา 1.2 จัดการศึกษาหลักสูตรตามระดับการศึกษา โดยเป้าหมายหลักสูตรเน้นฝึกทักษะการปฏิบัติงานในลักษณะฐานสมรรถนะมากกว่าลักษณะรายวิชาควบคู่ไปกับหลักสูตรการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และการเป็นผู้บริหารระดับกลางทำหน้าที่ให้คำแนะนำพนักงานที่ให้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง 2. ทิศทางการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2.1 พัฒนาทรัพยากรบุคคลไปพร้อมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเน้นบทบาทด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และกิจกรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ท้องถิ่น ความรับผิดชอบของมัคคุเทศก์ และจรรยาบรรณ รวมทั้งการดำเนินการด้านการตลาดและสื่อโฆษณา และมาตรการด้านความปลอดภัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจและไว้วางใจ 2.2 พัฒนามาตรฐานอาชีพด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมโดยฝึกทักษะและพัฒนาความสามารถของทรัพยากรบุคคลตามฐานสมรรถนะ 2.3 วางแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวและพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่เป็นแนวโน้มของตลาดท่องเที่ยวมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ กลุ่มท่องเที่ยวเป็นครอบครัว เป็นต้น 3. กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคล 3.1 กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคลควบคู่ไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเน้นการบูรณาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้เข้ามามีบทบาทร่วมกัน โดยเป็นเครือข่ายร่วมที่มีความคล่องตัวทั้งด้านการกำหนดนโยบาย/ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการจัดการงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาพการท่องเที่ยว 3.2 กลยุทธ์การจัดทำมาตรฐานอาชีพทรัพยากรบุคคลด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยมีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะที่เน้นให้สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ สมาคมวิชาชีพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานอาชีพ และจัดตั้งศูนย์เฉพาะทางด้านการท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่าง ๆ 3.3 กลยุทธ์การสร้างความร่วมมือการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทและการมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ ส่งเสริมบทบาทของกลุ่มจังหวัดให้มีส่วนสนับสนุนสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม สนับสนุนให้สถานประกอบการเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบาย การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ร่วมมือทำวิจัยและรับนักศึกษาเข้าไปฝึกปฏิบัติงาน รวมถึงให้ทุนการศึกษา การพัฒนาผู้สอนให้สามารถถ่ายทอดความรู้ สร้างค่านิยมในอาชีพ และจริยธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1974 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่ง
ชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ รางอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2544 ระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2546 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ ประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2548 2. กำหนดนิยามคำว่า "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่ เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์การของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ 3. กำหนดให้มีคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า "กปช." โดยมีกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิไม่เกินหกคน มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบ และเสนอแนะให้คำปรึกษาและประสานงานการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ของรัฐ รวมทั้งให้คำแนะนำในการประสานงานการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน 4. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. กำหนดให้กรมประชาสัมพันธ์ เป็นฝ่ายเลขานุการของ กปช. ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์นโยบาย และแผนการประชาสัมพันธ์ของชาติ ประสานงาน ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดทำแผน การประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1975 | รายงานการหยุดเดินรถของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอสถานการณ์การหยุดเดินรถ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การ ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสาร และการแก้ไขปัญหาระยะยาว สรุปได้ดังนี้ จากกรณีที่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศ ไทย (รฟท.) ในพื้นที่เส้นทางภาคใต้ได้ยื่นขอลาป่วยพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 19 ตุลาคม 2552 และต่อ มาได้อ้างว่าหัวรถจักรอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถให้บริการได้ทำให้มีการหยุดเดินรถไฟในเส้นทางภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขบวนท้องถิ่น และจากการหยุดเดินรถทำให้เกิดความเสียหายแก่ รฟท. ประมาณ 20.16 ล้าน บาท นั้น กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัทเอกชนร่วมบริการจัดรถโดยสารมาให้บริการขนถ่ายสัมภาระและรับผู้โดยสารที่ตกค้างเพื่อ ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง และให้กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทจัดส่งเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่เข้าดูแลและช่วยเหลือประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง จัดหาอาหาร ที่พักชั่วคราว ขนถ่าย สัมภาระ เพื่อเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลางทาง รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครองจัดกำลังเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ในส่วนของรถจักร จำนวน 4 คัน ที่ถูกยึดไว้ที่โรงรถ จักรหาดใหญ่ ซึ่งพนักงานอ้างว่ามีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่อาจนำมาใช้เดินรถได้ ขณะที่วิศวกรใหญ่ฝ่ายช่างกลยืนยันว่า รถจักรดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ นั้น ทางผู้บริหาร รฟท. ได้จัดหาพนักงานขับรถและช่างเครื่องจำนวน 4 ชุด จากส่วนกลางไปสำรองในพื้นที่เพื่อเดินรถทันที เมื่อกู้รถจักรคืนได้ เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาว ได้ แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ รฟท. จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการ ฯ ด้าน โครงสร้างพื้นฐาน คณะกรรมการ ฯ ด้านทรัพย์สิน คณะกรรมการ ฯ ด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ และคณะ กรรมการ ฯ ด้านบุคลากรและอัตรากำลัง 2. เห็นชอบให้ รฟท. ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 โดยอนุมัติ ให้ รฟท. รับพนักงาน รฟท. จำนวน 171 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งช่างเครื่องฝึกหัด จำนวน 121 อัตรา และ ตำแหน่งพนักงานเดินรถและโยธา จำนวน 50 อัตรา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1976 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย | สสป | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย และรับทราบตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาครูผู้สอน 1.1 กำหนดนโยบายดึงดูดผู้มีความสามารถเพื่อเป็นครูผู้สอน ซึ่งควรเป็นวาระแห่งชาติที่เน้นความ สำคัญของการศึกษาของชาติและความจำเป็นที่จะต้องมีครูผู้สอนที่มีความสามารถในระบบการศึกษา 1.2 ตั้งเป้าหมายผลิตครูที่มีความรู้เฉพาะด้านอย่างเร่งด่วนโดยรับผู้จบการศึกษาในแขนงต่าง ๆ ที่ ระบบโรงรียนไม่สามารถรองรับได้ เช่น วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม 1.3 ศึกษาวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการเรียน การสอน และกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่มี ประสิทธิผลสูงกว่าที่เป็นไปในปัจจุบัน รวมถึงการออกแบบเชิงจิตวิทยาการเรียนรู้ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ การใช้ภูมิปัญญาในชีวิตจริง การเปิดโอกาสให้นักเรียนใช้และแสดงความคิดเห็น การลดกระบวนการ เดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ 1.4 ส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษานอกเหนือจากสถาบันการศึกษา เอกชน โดยใช้หลักการของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน (Corporate Social Respon sibility : CSR) เป็นหลักการขับเคลื่อน 2. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์บนพื้นฐานเนื้อหาเชิงคุณภาพ คุณ ธรรม จริยธรรม ความรู้ และทักษะ 2.1 กำหนดให้มีนโยบายส่งเสริมเยาวชนให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (Humanization) เพื่อเป็น หลักการสำคัญในการเสริมเข้ากับความสามารถทางวิชาการ เพื่อนำไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม มีปัญญา และมีความสุข ตามหลักการทางการศึกษาที่ว่า "คุณธรรมนำความรู้" 2.2 ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้เยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม และความสร้างสรรค์ ปรับปรุง หรือมีมาตรการทดแทนในระบบการสอบซ่อมให้มีประสิทธิภาพ และเสริมระบบด้วยกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการเรียนรู้สะสมระหว่างภาคเรียน 2.3 ลงทุนและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงเรียนและห้องเรียน ที่เน้นความสามารถเฉพาะด้านของ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ 3. มาตรการด้านความเชื่อมโยงและการขับเคลื่อนเชิงระบบ 3.1 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยศึกษาภาพรวมความจำเป็นและกระบวนการในการส่งเสริม ให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) ของประเทศ 3.2 สร้างกลไกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนการศึกษา และการสร้างบุคลากรท้องถิ่น อย่างมีคุณภาพ โดยวางกรอบแนวทางการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ในระดับชุมชน ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับกว้างและในระดับลึก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1977 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. .... (การกระจายการถือครองที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน) | นร | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “โฉนดชุมชน” หมายความว่า สิทธิร่วมกันของชุมชนในการบริหารจัดการ การครอบครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ดินเพื่อสร้างความมั่นคงในการถือครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินของชุมชน และเป็นการรักษาพื้นที่เกษตรในการผลิตพืชอาหารเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร โดยการเลือกรูปแบบการผลิตที่สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและระบบภูมินิเวศ รวมทั้งการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุล ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการประสานงานและจัดโฉนดชุมชน” เรียกโดยย่อว่า “ปจช.” และกำหนดอำนาจหน้าที่ของ ปจช. เช่น เสนอนโยบาย แผนงานและงบประมาณในการดำเนินงานโฉนดชุมชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดเป็นมติคณะรัฐมนตรีในการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ๑.๓ กำหนดให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ประสานนโยบายการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินงานโฉนดชุมชนให้สำเร็จเป็นไปตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และติดตามประเมินผล และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแลใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ๑.๕ กำหนดให้ในกรณีที่มีการกระทำผิดเงื่อนไขที่ให้ไว้ของชุมชนที่ได้รับสิทธิให้หน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของ ปจช. มีอำนาจยกเลิกโฉนดชุมชนได้ ๑.๖ กำหนดให้มีพื้นที่นำร่องในการดำเนินงานโฉนดชุมชนจำนวนไม่น้อยกว่าสามสิบพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้พื้นที่ใดดำเนินการให้มีโฉนดชุมชนแล้ว ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสั่งการให้เป็นไปตามกฎหมาย อาจใช้ได้เฉพาะที่ดินของรัฐบางประเภท ส่วนที่ดินของรัฐที่มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เป็นการเฉพาะ จะต้องดำเนินการตามกฎหมายนั้น ๆ เสียก่อน และต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีจึงจะดำเนินการได้ รวมทั้งกรณีผู้บุกรุกเข้าถือครองที่ดินของรัฐก่อนวันที่ระเบียบฯ ใช้บังคับและอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย จะได้รับสิทธิตามระเบียบฯ ด้วยหรือไม่ ควรกำหนดให้ชัดเจน และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีที่ดินของรัฐพิจารณาให้ชุมชนซึ่งรวมตัวกันอยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนระเบียบฯ ใช้บังคับมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐร่วมกันภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด นั้น อาจจะไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ที่เห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและกำกับนโยบายบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน (กอ.ชตจ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๔๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เกี่ยวกับการรับรองสิทธิในที่ดินต้องเป็นการถือครองทำประโยชน์สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่เห็นชอบการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินในเขตป่าไม้ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ สำหรับที่ราชพัสดุส่วนผู้บุกรุกเข้าถือครองที่ดินของรัฐภายหลังวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ จะไม่ได้รับสิทธิใด ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลและจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการ ส่วนอัตรากำลังให้ปรับเกลี่ยจากบุคลากรภายในของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้เบิกจ่ายจากงบประมาณเพื่อการนี้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1978 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึงและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์
และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึง และการได้ รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รับ ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า ร่างข้อ 4 ควรเพิ่มพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2525 และฉบับเพิ่มเติม พ.ศ. 2544 ปรากฏอยู่ด้วยก่อนคำว่า หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ และร่าง ข้อ 10 และ 11 การขอรับใบอนุญาตเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอและแจ้งผลภาย ใน 90 วัน ต่อจากนั้นให้จัดทำข้อตกลงกับผู้ยื่นคำขอใบอนุญาต ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่งอนุญาต และ แจ้งให้ผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตส่งแผนงานโครงการ ฯ ฉบับสมบูรณ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเมื่อจัด ทำข้อตกลง ข้อความที่ให้ทำข้อตกลงภายใน 15 วัน ไม่ชัดเจน ควรระบุว่าให้ดำเนินการเตรียมทำข้อตกลง รวมทั้ง ความเห็นเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตอบแทนกรณีขอเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ (ส่วนที่ 3) ซึ่งกำหนดให้ผู้ยื่นคำขอใบ อนุญาตที่ได้รับคำสั่งอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐแล้วให้กำหนดสิทธิและประโยชน์ตอบแทนที่จะจ่ายให้กับชุมชน ท้องถิ่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ นั้น ควรมีความหมายรวมถึง การให้การศึกษา และความรู้เกี่ยวกับ ทรัพยากรชีวภาพ และผลกระทบต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพกับประชาชนในชุมชน ท้องถิ่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ไปพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา อีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1979 | ร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน | ยธ | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552-2556) โดยเป็นแผนระดับ ชาติ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ในการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งยังเป็นการสร้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชน และพัฒนาระบบงานด้านสิทธิมนุษยชนในภาพ รวมอย่างมีเอกภาพของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดัง กล่าวไปสู่การปฏิบัติด้วยการแปลงแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปสู่แผนบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ กระทรวง กรม แผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แผนพัฒนาองค์กรชุมชน แผนพัฒนาขององค์กรในระดับ ภูมิภาค แผนพัฒนาองค์กรสาธารณะ ตลอดจนแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำเป็นโครงการ/กิจกรรมเพื่อรองรับการ ดำเนินภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาสนับสนุนอัตรากำลังข้าราชการ จำนวน 20 คน เพื่อดำเนินการ ภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการจัดทำและพัฒนาแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การส่งเสริมให้มีการปฏิบัติ ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การสร้างกลไก มาตรการ กฎหมาย หรือเครื่องมือเพื่อรองรับการดำเนินงานและ การติดตามประเมินผลแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้แก่กระทรวงยุติธรรม โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป 3. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ป.ช. ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวด ล้อมทางกายภาพระบบขนส่งสาธารณะ และการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ตอบสนองต่อการให้บริการแก่ผู้ สูงอายุ และคนพิการในด้านต่าง ๆ รวมทั้งควรมีการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกจังหวัด และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือ เพื่อให้เกิดการประสานงานและการใช้ประโยชน์จากฐาน ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนการนำแผนไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ พิเศษ ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวและมีปัญหากระทบต่อความมั่นคง ควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการอย่างเหมาะ สม และเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้เกิดข้อจำกัดต่อการปฏิบัติของภาครัฐในการแก้ปัญหาภายใต้กรอบของกฎ หมาย และให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อภาคประชาชนโดยตรงควบคู่ไปกับการ ดำเนินการต่อองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1980 | ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 1.1 อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท โดยโครงการใดที่เข้าข่ายต้องดำเนิน การตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและ กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด โดยให้ดำเนินการบันทึกข้อมูลรายละเอียดโครงการ พื้นที่การดำเนินงาน แผน การดำเนินงาน และแผนการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในระบบ e-Budgeting SP และให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงิน 1.2 อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้และนำเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนด ฯ ต่อรัฐสภา เพื่อทราบ 1.3 เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พิจารณาดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้ดำเนิน การใช้จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่ องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติเพื่อให้ อปท. ปฏิบัติต่อไป 1.4 เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้จากพระราชกำหนด ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบมูลค่างาน กำกับ ติดตามการดำเนินการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และป้องกันการกระทำอันเป็น ทุจริต โดยให้หัวหน้าส่วนราชการรับผิดชอบโครงการที่ได้เสนอมาและได้รับจัดสรรเงินกู้เพื่อดำเนินการ และเพื่อ ประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชนให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียดของ โครงการ ณ ที่ตั้งโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย 2. ให้เพิ่มถ้อยคำในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0907/18476 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2552 หน้า 5 ข้อ 4) จากเดิม "...และเพื่อประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชน ให้หน่วยงานเจ้าของ โครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียดของโครงการ ณ ที่ตั้งของโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย" เป็น "...และ เพื่อประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชนให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียด ของโครงการ ตามแบบของสำนักนายกรัฐมนตรี ณ ที่ตั้งของโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย" ตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
