ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 94 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1861 - 1880 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1861 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 8/2553) | นร | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ อาทิ รายงานสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัย ผลการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัย “ฟื้นไทยด้วยใจ ไทยทั้งชาติ” จังหวัดสระบุรี และลพบุรี แผนปฏิบัติการฟื้นฟูผู้ประสบภัยหลังน้ำลดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะเร่งด่วน และโครงการบูรณาการการเรียนการสอนทักษะอาชีพและเสริมสร้างจิตอาสาร่วมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านกิจกรรมอาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชนและศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เป็นต้น และได้มีมติดังนี้
๑. ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดแนวทางเพื่อป้องกันความเสียหายจากการทุจริตกับมาตรการที่รัฐบาลจัดไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีโจทย์ว่า จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐในรูปแบบต่าง ๆ มีช่องทางหรือรูปแบบในการทุจริตอย่างไรบ้าง ควรจะมีแนวทางป้องกันอย่างไร หากมีเหตุร้องเรียนจะมอบหมายให้หน่วยงานใดรับผิดชอบเป็นการเฉพาะหรือไม่ โดยให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป เพื่อทุกส่วนราชการถือปฏิบัติ ๒. ให้คณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่จะมีการพิจารณาแต่งตั้งขึ้น แบ่งพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการประสานข้อมูลระหว่างอำเภอ/จังหวัด กับผู้บริจาค เพื่อที่จะได้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์ลงไปในพื้นที่โดยตรง ๓. ให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย จำนวน ๓ คณะ ประกอบด้วย คณะที่ ๑ นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ นายปราโมช รัฐวินิจ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง และคณะที่ ๓ พลตำรวจโท อุดม ชัยมงคลรัตน์ ผู้บัญชาการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ ยกเว้นจังหวัดสงขลา และ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ได้รับไปดำเนินการ ๔. เห็นชอบให้หน่วยงานต่าง ๆ รับความเห็นของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๔.๑ ให้ธนาคารออมสินเร่งระดมเจ้าหน้าที่เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๔.๒ ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ ๔.๓ ให้กรมประชาสัมพันธ์สั่งการให้สำนักประชาสัมพันธ์เขตพื้นที่และประชาสัมพันธ์จังหวัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากสื่อท้องถิ่นช่วยประชาสัมพันธ์กำหนดการจ่ายเงินให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเป้าหมายดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุงเพื่อแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัยให้สอดคล้องกับข้อมูลจำนวนผู้ประสบภัยที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สำรวจจริง รวมทั้งข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบรรจุและขนส่ง แล้วจึงเสนอให้ คชอ. พิจารณาอีกครั้ง ๖. รับทราบข้อเสนอของกองทัพบกเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปประกอบพิจารณาในการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานอื่น ๆ เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้ออุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเติม ขอให้เสนอเรื่องให้ คชอ. พิจารณาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตต่อไป ๗. การกำหนดนโยบายและแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยหนาว คชอ. พิจารณาเห็นว่า ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวมีประเด็นหลักอยู่ที่การบูรณาการการแจกจ่ายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานคล่องตัว จึงควรจะเป็นการประชุมหารือกลุ่มเล็กเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจรวมถึงภาคเอกชนด้วย และจะได้นัดหมายการประชุมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1862 | โครงการโรงเรียนดีประจำตำบล | ศธ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการโรงเรียนดีประจำ
ตำบล ดังนี้ ๑. วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อพัฒนาโรงเรียนในชนบทระดับตำบลให้เป็น “โรงเรียนคุณภาพ” มี ความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านวิชาการ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาสุขภาพอนามัย การเรียนรู้ อาชีพ และกิจกรรมบริการชุมชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนัก เรียนในท้องถิ่นชนบท และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ หรือการมีส่วนร่วมจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปสู่ความเข้มแข็งของโรงเรียนและรองรับการกระจายอำนาจ ๒. เป้าหมายการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ละ ๑ โรงเรียน (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) รวม ๑๘๒ โรงเรียน และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาคมร่วมคัดเลือก โรงเรียน ๑ โรงเรียน ๑ ตำบล รวมประมาณ ๗,๐๐๐ ตำบล (โดยจะคัดเลือก ๑,๐๐๐ ตำบล เป้าหมายของการพัฒนา ปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และพัฒนาโรงเรียนที่เหลือในปีต่อ ๆ ไป ๓. ภารกิจสำคัญของการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล อาทิ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และจัด การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของนักเรียนด้านวิชาการ พื้นฐานอาชีพ ดนตรี กีฬา ศิลปะ และเทคโนโลยี การปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์และพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับภูมิทัศน์และสิ่งแวด ล้อมให้สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย การจัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาอย่างเข้มแข็ง การบริหารจัด การศึกษาแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในชุมชนและในท้องถิ่น รวมทั้งพัฒนาครูและบุคลากรตามแผนพัฒนาราย บุคคล (D-Plan) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 1863 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการระบายน้ำท่วมขังบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา การแก้ไขปัญหาขยะและปัญหาน้ำเน่าเสีย และข้อเสนอวาระแห่งชาติ การฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยและการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ โดยการแก้ไขปัญหาขยะและปัญหาน้ำเน่าเสีย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ประสานกระทรวงกลาโหมเพื่อจัดส่งกำลังพลเข้าไปช่วยเร่งดำเนินการจัดเก็บขยะในพื้นที่ประสบภัยหลังน้ำลดให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ที่ให้มีกลไกการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัยทั้งในส่วนกลางและในจังหวัดต่าง ๆ ประกอบด้วยภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคราชการ และภาคเอกชน เพื่อบูรณาการการดำเนินการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างมีเอกภาพและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ การดำเนินการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายในแต่ละจังหวัดของส่วนราชการต่าง ๆ มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละเขตพื้นที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานกับศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในแต่ละจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อดำเนินการต่อไป ๓. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัย ๓.๑ เห็นชอบในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัยทั้งในส่วนที่เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการสงเคราะห์และที่ไม่ได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางเหมือนกัน ตามอัตราที่เหมาะสมแก่ต้นทุนการเพาะปลูกต่อไร่ ทั้งนี้ ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวสวนยางดังกล่าวเพิ่มเติม มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือและรวบรวมข้อมูลของเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบภัย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไป สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่เพาะปลูกในพื้นที่ลาดเชิงเขาซึ่งอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม ถูกต้อง ตามระเบียบหลักเกณฑ์และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ ให้ คชอ. ประสานกับสภาอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือชาวสวนยางที่ต้นยางได้รับผลกระทบเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัยที่เกิดขึ้น เช่น การขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนเข้ามารับซื้อต้นยางที่โค่นล้มเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อื่น ๆ ต่อไป เป็นต้น ๔. อนุมัติในหลักการให้จ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในภาคใต้เพิ่มเติมครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งสำรวจและรวบรวมข้อมูลความเสียหายของผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยในภาคใต้โดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความ ช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่บุตรหลานของผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยให้สามารถศึกษาต่อไปได้โดยไม่ต้องยุติการศึกษากลางคัน ๖. อนุมัติขยายกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กรอบวงเงิน ๒๓๘.๘๓๒ ล้านบาท) ที่เหลืออยู่จำนวน ๑๓๒.๖๓๘ ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาคใต้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยซื้อเรือท้องแบนอลูมิเนียม ๓๐ ลำ เรือท้องแบนไฟเบอร์กลาส ๑๘๓ ลำ เรือพาย ๔,๑๖๐ ลำ เครื่องยนต์เรือหางสั้น ๑๓๐ เครื่อง เครื่องยนต์เรือหางยาว ๒๐ เครื่อง เครื่องสูบน้ำ ๕๗ เครื่อง สุขาเคลื่อนที่ ๔๐๐ หลัง โดยขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และดำเนินการต่อไปได้ โดยหากมีกรอบวงเงินเหลืออยู่อีกให้พิจารณาตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ดังกล่าวให้นำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคใต้เป็นลำดับแรก ๗. การให้ความช่วยเหลือด้านประมงและปศุสัตว์ ๗.๑ เห็นชอบในหลักการให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการตามโครงการเพิ่มความมั่นคงด้านเสบียงสัตว์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยผลิตหญ้าแห้งเพิ่มเติมจากเป้าหมายในการผลิตเดิม(จำนวน ๔,๔๐๐ ตัน) อีกจำนวน ๑,๐๐๐ ตัน โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ รวมทั้งสิ้น ๕,๐๑๑,๔๐๐ บาท ตามมติของ คชอ. ๗.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนกรณีเรือและเครื่องมืออุปกรณ์การจับปลาที่ได้รับความเสียหาย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๗.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้เป็นเจ้าของเครื่องมือจับปลาแบบโพงพางและไซนั่งในพื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลา เพื่อจูงใจให้สามารถแก้ไขปัญหาการทำประมงและจัดระเบียบการใช้พื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลาได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเครื่องมือจับปลาดังกล่าวมีส่วนทำให้สัตว์น้ำสูญพันธุ์และทำลายระบบนิเวศของทะเลสาบเป็นจำนวนมาก
|
|||||||||||||||||||||
| 1864 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัตถุอันตราย (จำนวน 10 คน 1. นายสุทธิเวช ต. แสงจันทร์ ฯลฯ) | อก | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัตถุอันตราย จำนวน ๑๐ คน
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายสุทธิเวช ต.แสงจันทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาขาวิชาเคมี ๒. นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสขาวิชาวิทยาศาสตร์ ๓. นายปรีชา ออประเสริฐ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ๔. นางนวลศรี ทยาพัชร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ ๕. นายสุริยะ อรุณรุ่ง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาขาวิชากฎหมาย ๖. นางศุภวรรณ ตันตยานนท์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนองค์การสาธารณ ประโยชน์ด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัย ๗. นางสาวสุมล ปวิตรานนท์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนองค์การสาธารณ ประโยชน์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ๘. นายปกรณ์ สุจเร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนองค์การสาธารณ ประโยชน์ด้านการเกษตรกรรมยั่งยืน ๙. นายสุมิดา บุรณศิริ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนองค์การสาธารณ ประโยชน์ด้านการจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น ๑๐. นางขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนองค์การสาธารณ ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
| 1865 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบ ประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัย วงเงิน ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท ของคณะกรรมการกลั่น กรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (คณะกรรมการฯ) ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาทรัพยากรน้ำและ การเกษตร สาขาสวัสดิภาพประชาชน จำนวน ๘ โครงการ วงเงินรวม ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรร วงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐ กิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานทบทวนรายละเอียดโครงการตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบหลักเกณฑ์การใช้เงินเหลือจ่ายวงเงิน ๒,๓๘๓.๘๒ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ แล้ว มาใช้สนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยโดยให้แจ้งยืนยัน ผลการทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมี มติ ๑.๕ อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อน มีการผูกพันสัญญาโครงการสำหรับโครงการมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดย กระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑.๖ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการให้แก่หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้น ฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามมาตรการเร่งรัดการ ดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็น ควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับ โครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และอาคารเรียน) ให้ขยายเวลาลงนาม ในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครง การได้ทัน เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ๑.๗ รับทราบและอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติ งานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วยังคงยืนยันความจำเป็นในการดำเนินโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนและปรับแผนการดำเนินงานของโครงการใด ๆ ที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาเพื่อใช้ในการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นการทดแทน โดยให้แจ้ง ข้อมูลการพิจารณาทบทวนฯ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วัน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
|
|||||||||||||||||||||
| 1866 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมและลำดับความเร่งด่วนทั้งในส่วนของงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสรุปดังนี้ ๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าและแนวทางการดำเนินการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับโครงการเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท) ให้ขยายเวลาลงนามในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒.๓ อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดน่าน แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สกลนคร มุกดาหาร พังงา ตาก ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ) กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๒.๔ ในส่วนของการดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท และโครงการเดิมที่กระทรวงการคลังกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดส่งคำขอการจัดสรรเงินพร้อมเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นั้น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ราชการต่าง ๆ ตามนัยหลักการที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้แจ้งยืนยันผลการพิจารณาทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๓ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้สำนักงบประมาณเร่งพิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ โครงการใดที่หน่วยงานเจ้าของโครงการยังคงยืนยันขอจัดสรรเงินตามโครงการเดิมให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด |
|||||||||||||||||||||
| 1867 | รายงานผลการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่ 1 | พณ | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่
๑ และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องประกอบด้วย ๓ กิจกรรมหลัก ได้แก่ งานแสดงสินค้า Lima Dasar Expo การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการประชุม Lima Dasar Summit โดยการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย การประชุมของภาคเอกชน การประชุมภาครัฐ และการหารือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนกับ รัฐมนตรีฯ สรุปผลการประชุมฯ ได้ดังนี้ ๑. การประชุมฯ ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง นับเป็นแนวทางการดำเนินความร่วมมือทวิภาคีกับประเทศ ที่มีพรมแดนติดต่อกับไทยในรูปแบบใหม่ที่เน้นกลไกภาคเอกชน และในระดับท้องถิ่นเป็นแกนหลักในการดำเนิน การเพื่อให้ส่งผลที่เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์โดยตรงกับท้องถิ่น ซึ่งสามารถที่จะใช้เป็นรูปแบบในการดำเนิน การกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชาอีกด้วย ๒. ฝ่ายมาเลเซียชื่นชมและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดริเริ่มของไทยสำหรับโครงการ Lima Dasar โดย ให้ความร่วมมือในการส่งผู้แทนจาก ๕ รัฐ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมการประชุม และกิจกรรมงานแสดงสินค้า รวมทั้งการจับคู่ธุรกิจ ๓. การเชื่อมโยงกับประเทศที่สาม โดยการประชุมฯ ครั้งนี้ ไทยได้เชิญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรง งานของกัมพูชาเข้าร่วมงานในพิธีเปิดและการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเป็น ประเทศที่มีประชากรเชื้อสายมุสลิมอาศัยอยู่ถึง ๖๐๐,๐๐๐ คน โดยเป็นทั้งตลาดและแหล่งลงทุนที่มีศักยภาพ สำหรับไทยและมาเลเซียสำหรับสินค้าฮาลาล ๔. การดำเนินงานขั้นต่อไป ภาคเอกชนจะเริ่มนำสิ่งที่ได้จากการหารือไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยการประชุม คณะทำงานรายสาขาเพื่อวางแผนปฏิบัติการร่วมกัน โดยมีภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุน
|
|||||||||||||||||||||
| 1868 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่ ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ที่จังหวัดชัยนาท | อก | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ตามคำขอที่ ๒/๒๕๔๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปดำเนินการ รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ที่ว่า ถ้าไม่มีเหตุผลความจำเป็นพิเศษก็ไม่ควรให้มีการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1869 | การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนไทย - พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยการก่อสร้างสะพานมิตร ภาพไทย-พม่า แห่งที่สอง จุดก่อสร้างที่บริเวณบ้านวังตะเคียน ฝั่งไทย และบ้านเยปู ฝั่งพม่า ระยะทางประมาณ ๒๒ กิโลเมตร อยู่ในฝั่งไทย ๑๖ กิโลเมตร และอยู่ในฝั่งพม่า ๖ กิโลเมตร ความยาวสะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย ๔๐๐ เมตร และการดำเนินโครงการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ระหว่างตำบลแม่ปะ -ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่จำนวน ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน อยู่ติดริมแม่น้ำเมย ทั้งนี้ เพื่อ เป็นการส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมชายแดนและเพื่อเป็นการรองรับการเชื่อมโยง ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ในอนาคต ตามความเห็นชอบของ คณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เป็นไปอย่างบูรณาการ และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนัก งบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควร กำหนดเป้าหมาย แนวทางการพัฒนาพื้นที่และรูปแบบการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ชัดเจนเป็นรูป ธรรม การกำหนดกิจรรมให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจเมียวดีในฝั่งพม่า การกำหนดมาตรการในการอำนวย ความสะดวกและบริหารจัดการแรงงานพม่า และให้ความสำคัญกับการกำหนดแผนแม่บทการใช้ที่ดินและแผน พัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพและมีการบังคับใช้อย่างจริงจังบนพื้นฐานแนวคิด Green-city/Eco-city เพื่อสร้าง ความสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นอกจากนี้ ควร จัดระบบการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเป็นทีมบูรณาการของประเทศไทย และให้ หน่วยงานในระดับท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการให้เร่งรัดคณะกรรมการพัฒนาที่ดินดำเนินการในเรื่องการใช้พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่ง ที่ ๒ และจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการใช้พื้นที่ รวมทั้งจำนวนพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่ป่าไม้ ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นเรื่องคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทยหารือในรายละเอียดในเรื่องนี้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1870 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2552 | นร | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอรายงานผลการปฏิบัติงานของ
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำ ปี ๒๕๕๒ สรุปได้ดังนี้ ๑. ให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปก ครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ๒. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองโดยจัดฝึกอบรม ข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเป็นวิทยากรออกเผยแพร่ความรู้ตามที่หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา สำหรับในปี ๒๕๕๒ ได้จัดวิทยากรไป บรรยายให้แก่กรมการพัฒนาชุมชน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการปกครอง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช สำนักงานจังหวัดฉะเชิงเทรา และสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งได้จัด เจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐและประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหา เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง นอกจากนี้ ได้จัดพิมพ์เอกสารเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎ หมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐและประชาชนที่สนใจ
|
|||||||||||||||||||||
| 1871 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตามคำขอที่ ๓/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นว่า พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี จัดเป็นป่าต้นน้ำในการดำเนินการจึงต้องระมัดระวังในเรื่องผลกระทบคุณภาพน้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่วนขั้นตอนในการอนุมัติประทานบัตร เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และเห็นควรวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบในการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1872 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2553 | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประชุมคณะกรรมการ
ผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ ประกอบ จิรกิติ) เป็นประธานการประชุม โดยสาระสำคัญของการประชุมมีดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการประสานงานระหว่าง กระทรวงต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานระหว่างหน่วยงานบรรลุวัตถุประสงค์และเกิดความรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญหา ความมั่นคงของรัฐ ๒. พลโท นาวิน ดำริกาญจน์ หัวหน้านายทหารประสานภารกิจทางทหารกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้บรรยายเรื่อง การจัดสร้างระบบบูรณาการฐานข้อมูลต่างกระทรวงแบบพกพา (CVICS) ๓. พลโท พิเชษฐ วิสัยจร แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๔ บรรยายเรื่อง สภาพปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ๔. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ บรรยายเรื่อง การ พัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๕. ข้อเสนอแนะของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ดังนี้ ๕.๑ ควรให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์รายการโทรทัศน์ของทหารและ ศอ.บต. ที่ดำเนินการชี้แจง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ในช่วงเวลาปกติ ๕.๒ การแก้ไขปัญหายาเสพติดควรแก้ที่ตัวบุคคล ซึ่งปัจจุบันผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามามีบท บาททางการเมืองในระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่ ๕.๓ นำวัฒนธรรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในท้องถิ่น ๕.๔ ปัญหาส่วนใหญ่มาจากเรื่องวัฒนธรรม ศาสนาที่แตกต่างกัน ยาเสพติดและสินค้าหนีภาษี การ ศึกษาในสถาบันเอกชน ๕.๕ เสนอให้มีการศึกษาดูงานในพื้นที่จริงเพื่อนำมาประเมินและดำเนินการประสานระหว่างกระทรวง เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประสบความสำเร็จ
|
|||||||||||||||||||||
| 1873 | แนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบเหตุดินทรุดตัวและรอยแยก บ้านสันติคีรี หมู่ที่ 1 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย | ทส | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบเหตุดินทรุดตัวและรอยแยก บ้านสันติคีรี หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. พื้นที่ประสบเหตุ ๑.๑ มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณีประสานสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก เพื่อดำเนินการสำรวจและออกแบบโครงสร้างป้องกันดินทรุดตัวและรอยแยก โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน (ระยะเวลา ๒ เดือน) ๑.๒ มอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก และจังหวัดเชียงราย จัดทำระบบป้องกันดินทรุดตัวและรอยแยก โดยการเพิ่มเสถียรภาพของลาดดิน และป้องกันมิให้น้ำผิวดินและน้ำใต้ดินไหลเข้าสู่พื้นที่ประสบเหตุ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ๒. พื้นที่เฝ้าระวัง ๒.๑ มอบหมายให้จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก สนับสนุนให้เจ้าของที่ดิน กำหนดระดับความเสี่ยงของพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันเหตุดินทรุดตัวและรอยแยกผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และติดตามตรวจสอบพฤติกรรมการคืบตัวของลาดดินและพัฒนาการของรอยแยก ๒.๒ มอบหมายให้จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก สนับสนุนให้เจ้าของที่ดิน ผู้ครอบครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำระบบป้องกันเหตุดินทรุดตัวและรอยแยก ๓. พื้นที่ชุมชนดอยแม่สลอง ๓.๑ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดและประกาศเขตเสี่ยงภัยดินถล่ม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนดอยแม่สลองทั้งหมด ๓.๒ มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณีกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหมาะสม และมาตรการป้องกันเหตุดินทรุดตัวและรอยแยก พร้อมทั้งติดตามตรวจสอบพฤติกรรมการคืบตัวของลาดดินด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ ๓.๓ มอบหมายหน่วยงานที่กำกับดูแลพื้นที่สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควบคุมและดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
| 1874 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง สำหรับค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงิน
สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๕๔,๐๗๐,๐๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อจ่าย เป็นค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๑๔,๑๑๕ คน ในส่วนที่เพิ่มขึ้น ๑,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ระยะเวลา ๑๒ เดือน (๑ ตุลาคม ๒๕๕๒-๓๐ กันยายน ๒๕๕๓) โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่า ตอบแทนพิเศษรายเดือนที่เบิกจ่ายตามอัตราเดิม ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ให้เบิกจ่ายจากเงินรายได้ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
| 1875 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 และการประชุมหารือร่วมรัฐมนตรีและภาคเอกชนครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๒ และการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชน ครั้งที่ ๑ ภายใต้กรอบความร่วมมือ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ณ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๕- ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่าง ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative : MJ-CI) ประกอบ ด้วยการดำเนินงาน ๔ ด้านคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงตลาดนอกภูมิภาค การอำนวยความสะดวก การค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และภาคอุตสาห กรรม และการขยายศักยภาพอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมใหม่ของอนุภูมิภาค โดยที่ประชุมฯ จะนำเสนอ แผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อที่ประชุมระดับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ที่เวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปลาย เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ต่อไป รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอของภาคเอกชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ซึ่งได้บรรจุข้อเสนอ ส่วนใหญ่ไว้ในแผนปฏิบัติการ MJ-CI แล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) การพัฒนาเส้นทางรถไฟ การพัฒนาท่า เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนสองฝั่งมหาสมุทร คือ ฝั่งอันดามัน และทะเลจีนใต้ ๑.๒ อำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินรถข้ามพรมแดนระหว่างกัน อย่างสะดวก การตรวจปล่อย ณ จุดเดียว ลดจำนวนและความซับซ้อนของเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ความช่วยเหลือ SMEs เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงินโดยจัดตั้งกองทุ นพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Development Fund) และร่วมมือกับสถาบันทางการเงินของ ปุ่นโดยใช้แนวทางการปล่อยกู้ต่อ (Two-step loan) ๑.๔ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิตในภาคบริการและอุตสาหกรรมใหม่ โดย เฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ร วมทั้งการใช้เทคโนโลยีการจัดการน้ำในภาคอุตสาห กรรม ๑.๕ ร่วมมือในการพัฒนาเรื่องอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุน เช่น การปรับปรุงระบบการแลก เปลี่ยนเงินตราในอนุภูมิภาคและการใช้สกุลเงินท้องถิ่นสำหรับการค้าชายแดน การเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๒. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานส่วนราช การที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยว กับการจัดทำรายงานความก้าวหน้าและทบทวนแผนปฏิบัติการดังกล่าวเห็นควรให้มีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ในการประชุมคณะทำงาน ASEAN Economic Ministers-Ministry for International Trade and Industry Economic and Industrial Cooperation Committee’s Working Group on West-East Corridor Development (AMEICC WEC- WG) รวมทั้งในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1876 | การพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ | กค | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้มีการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ 1.2 ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐเพื่อกำกับดูแลการพัฒนาระบบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน มาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ รวมทั้งติดตามและรวบรวมผลการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเพื่อนำเสนอต่อคณะ รัฐมนตรี 1.3 ให้การประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเป็นเครื่องมือในการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินงบประมาณ โดยกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.4 ให้หน่วยงานภาครัฐที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐของคณะกรรม การติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ (ค.ต.ป.) ดำเนินการตามแนวทางที่ ค.ต.ป. กำหนด 1.5 ให้หน่วยตรวจสอบภายในของหน่วยงานรับผิดชอบติดตามและตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการ จัดซื้อโดยรัฐของแต่ละหน่วยงาน โดยมี ค.ต.ป. มีหน้าที่สอบทานการปฏิบัติงานของหน่วยตรวจสอบภายใน สำหรับ กรณีของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) มีหน้าที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ตาม ลำดับ โดยมี ค.ต.ป. พิจารณารวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรี 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การ ประเมินมาตรฐานระดับหน่วยงานเรื่องแนวปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างและผู้ประกอบการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและ อุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้างในเชิงลึก และควรมีการสร้างความพร้อมให้กับส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการ ติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ผลการจัดซื้อโดยรัฐได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และเมื่อส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการติดตามและ ประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐมีความพร้อมแล้ว ให้กำหนดเป็นประเด็นการสอบทานของ ค.ต.ป. และกำหนดเป็นตัวชี้ วัดตามคำรับรองการปฏิบัติราชการโดยมีกรมบัญชีกลางเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ต่อไป นอกจากนี้ การกำหนดกลุ่มเป้า หมายของการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ ค.ต.ป. ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความเสี่ยงเรื่อง การเงินสูงหรือมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูง โครงการที่มีผลกระทบต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมาก โครงการที่มีความ ถี่ในการจัดซื้อจัดจ้างที่สูงเกินความจำเป็นจนเป็นที่ผิดสังเกต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1877 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 8/2553 | นร | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผล
การประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2553 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และการประเมินผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สาขาการศึกษา และมีมติดังนี้ 1. กระทรวงการคลังควรพิจารณาความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินกู้ในส่วนวงเงินเหลือจ่ายอย่างรอบคอบ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวสู่สภาวะปกติแล้ว จึงควรใช้เงินเหลือจ่ายในการลงทุนโครงการที่มี ความจำเป็นเร่งด่วนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงเท่านั้น และอาจพิจารณาใช้งบประมาณแผ่นดินสำหรับ โครงการทั่วไปที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากนัก รวมทั้งควรกำหนดขอบเขตเวลาที่ส่วนราชการจะสามารถขอขยาย เวลาในการลงนามสัญญา หรือเสนอโครงการเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ มีกรอบ ระยะเวลาที่ชัดเจน 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในประเด็น ดังนี้ 2.1 พิจารณากำหนดแนวทางดำเนินโครงการและเตรียมจัดหาแหล่งเงินรองรับการดำเนินการภาย หลังจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สิ้นสุดลง เพื่อให้การดำเนินโครงการในการยกระดับมาตรฐานการ ศึกษามีความต่อเนื่องและยั่งยืน 2.2 พิจารณากำหนดแนวทางการสร้างความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาร่วมกับชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพมีส่วนร่วมในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในชุมชน ซึ่งจะทำให้การยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษามีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 1878 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติม) | กค | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการสาขาการลงทุนในระดับชุมชนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วง เงินรวม 302.9704 ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ให้แก่โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ วงเงิน 302.9704 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครง การใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 2. อนุมัติการดำเนินโครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางและไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติจัดสรร เงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ สำหรับโครงการซ่อมแซมเรือนแถวชั้นประทวน ของกอง ทัพบก กระทรวงกลาโหม วงเงิน 400 ล้านบาท โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทาง และไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครงการใด เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้น ตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ ให้การจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้วเสร็จในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หาก หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำ มารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ตามทาง เลือกที่ 1 การดำเนินโครงการโดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ ทั้งจำนวน เป็นลำดับ แรก และพิจารณาทางเลือกที่ 2 การดำเนินโครงการโดยใช้วงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2555 และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2557 หรือทางเลือกที่ 3 การดำเนินโครงการในรูปแบบ PPPs เป็นลำดับถัดมา 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยกระทรวง มหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดเชียงรายและ จังหวัดฉะเชิงเทรา) และกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) โดยให้หน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้ สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จ ภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบ ประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามใน สัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 6. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการขอโอนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ
|
|||||||||||||||||||||
| 1879 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของวุฒิสภา | สว | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้ทุกหน่วยงานของรัฐรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑ นโยบายและภาพรวมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมั่นของประเทศ ยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงของรัฐ ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลก ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ๑.๒ การบริหารจัดการงบประมาณ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ฯลฯ โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต้องให้ความสำคัญกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ โดยนำไปปรับปรุงพัฒนาให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว และในการนำเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไปต่อคณะกรรมาธิการฯ ทุกหน่วยงานต้องนำผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องของปีที่ผ่านมาเสนอต่อคณะกรรมาธิการฯ ในปีต่อไปด้วย ๑.๓ การจัดสรรงบประมาณรายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ รวม ๒๐ กระทรวง และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง หน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล หน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และให้ทุกหน่วยงานของรัฐรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๑ นโยบายและภาพรวมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดเก็บภาษี รัฐบาลควรปรับปรุงโครงสร้างสัมปทานหรือค่าภาคหลวงจากทรัพยากรธรรมชาติในอัตราที่เหมาะสม การจัดสรรงบประมาณของรัฐควรกำหนดยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นสู่ประชาชนระดับรากหญ้าเป็นหลัก โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดสรรงบประมาณและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมบูรณาการร่วมกับจังหวัดและท้องถิ่นและจัดทำแผนการอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นระบบ เป็นต้น ๒.๒ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ รวม ๒๐ กระทรวง ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง หน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล หน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และสภากาชาดไทย |
|||||||||||||||||||||
| 1880 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 ตามที่รอง นายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ 2. ให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรนำเป้าหมายเชิงคุณภาพมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ร่วมด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และเกิดประสิทธิผล อย่างแท้จริง รวมทั้งควรมีแนวทางเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการ ใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในท้องถิ่น ตามเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณา ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
.....
