ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 91 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1801 - 1820 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1801 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | ตผ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ในการตรวจสอบการดำเนินงานควรระบุให้ชัดเจนว่า เรื่องใดเป็นเรื่องไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบ เรื่องใดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการซึ่งดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนหรือเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลอาจต้องรับภาระในการขาดทุนอยู่แล้ว และควรระบุให้ชัดเจนว่า เป็นการตรวจสอบทางบัญชีด้วย รวมทั้งให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการทุจริตของหน่วยรับตรวจ การให้ความรู้เพิ่มเติมและประชาสัมพันธ์ในเรื่องกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางราชการ วิธีการจัดทำงบประมาณ การบัญชี การเงิน การพัสดุ และอื่น ๆ แก่หน่วยงานราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) การวางแผนและการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้จำนวนหน่วยรับตรวจที่ตรวจเสร็จและออกรายงานมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งการกำหนดมาตรการให้ทุก อปท. ต้องบันทึกข้อมูลเข้าระบบการบริหารการคลังของ อปท. ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Electronic Local Administration Accounting System : e - LAAS) ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำผลการตรวจสอบไปปฏิบัติหรือดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนที่เกี่ยวกับราชการส่วนท้องถิ่นให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามข้อ ๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1802 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนไมตรีจิตรกับถนนคลองเก้า พ.ศ. .... | มท | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนไมตรีจิตรกับถนนคลองเก้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนไมตรีจิตรกับถนนคลองเก้า ในท้องที่แขวงสามวาตะวันออก และแขวงคลองสิบ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1803 | การดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศด้านการสนับสนุนการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในโลกที่มีผลกระทบต่อประเทศ | กต | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายการต่างประเทศด้านการสนับสนุนการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในโลกที่มีผลต่อประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. การให้บริการและการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ ๑.๑ โครงการให้บริการและปรับปรุงงานด้านกงสุล เป็นโครงการที่เน้นให้บริการประชาชนในการทำหนังสือเดินทาง และการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการไปทำงาน หรือเดินทางไปต่างประเทศ ๑.๒ โครงการอาเซียนสัญจร เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องอาเซียนให้กับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมุ่งส่งเสริมการก้าวไปสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ โครงการบัวแก้วสัญจร เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศได้พบปะและรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งรับทราบปัญหาประชาชน และหาแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการในภูมิภาค ๒. โครงการสัมมนา ฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติงานให้กับนักศึกษาและประชาชน ได้แก่ ๒.๑ โครงการรับนักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้มาฝึกอบรมและปฏิบัติงาน ณ กระทรวงการต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาไทยมุสลิมได้รับความรู้และสร้างเสริมประสบการณ์การฝึกปฏิบัติงานในหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ ๒.๒ โครงการการจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้และทักษะด้านการต่างประเทศและการอบรมภาษาอังกฤษที่ใช้ในการปฏิบัติราชการให้กับข้าราชการในส่วนภูมิภาค ๓. โครงการเกี่ยวกับสื่อมวลชนและการกระจายเสียง ได้แก่ การให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ด้านการต่างประเทศผ่านสื่อวิทยุ การจัดการสัมมนานักจัดรายการวิทยุมุสลิม และสื่อมุสลิมในระดับภูมิภาค เพื่อชี้แจงบทบาทและการดำเนินการด้านการต่างประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างเครือข่ายการติดต่อระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับสื่อมวลชนและผู้นำชุมชนมุสลิม และการสัมมนานักจัดรายการวิทยุชายแดนและวิทยุสราญรมย์สัญจร เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างสถานีวิทยุสราญรมย์กับนักจัดรายการวิทยุท้องถิ่น ๔. การจัดสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเรื่องเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (รวมทุกด้าน) โดยการพบหารือและจัดบรรยายสรุปให้กับกลุ่มเคลื่อนไหวภาคประชาชน ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ๕. การนำคณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพบหารือกับหน่วยงาน องค์กรภาคประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๖. การจัดสัมมนาทางวิชาการและเผยแพร่ความรู้ด้านการต่างประเทศของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการต่างประเทศในหัวข้อที่จะเป็นประโยชน์ต่อแวดวงต่าง ๆ ให้แก่หน่วยงานภายนอกและสาธารณชน อาทิ การลงทุนในลาว - โอกาสใหม่และประสบการณ์ตรงสู่ความสำเร็จ เศรษฐกิจสร้างสรรค์แบบเกาหลีใต้ การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนในเรื่องพลังงานนิวเคลียร์โดยอาศัยตัวอย่างของญี่ปุ่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1804 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวงหรือวงเงินของหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายผูกพันตามสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ ๑.๒.๓ เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุนของแต่ละกระทรวงให้อยู่ในระดับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ในภาพรวม จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ ๑.๒.๔ การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพันงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามแนวทางข้อ ๑.๒ เสนอนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณภายในวันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/๑๑๐๗๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ หน้า ๑ จากเดิม “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ...” เป็น “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ...” ๒.๒ หน้า ๑๐ จากเดิม “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...” เป็น “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...”
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1805 | การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2554 | มท | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยมีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (admit) ให้ลดลงร้อยละ ๕ และให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๕ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ มาตรการด้านการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน การกู้ชีพ กู้ภัย ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง ดังนี้ ๒.๑ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๒๔ มีนาคม - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดเตรียมความพร้อมและดำเนินงานในภารกิจต่าง ๆ การจัดทำแผนงานดำเนินงาน เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณ ตลอดจนการประสานความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการณรงค์ประชาสัมพันธ์และตั้งจุดตรวจตักเตือนประจำชุมชน หมู่บ้าน และให้มีการจัดตั้งจุดตรวจเพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายจราจร ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ๒.๒ ช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔ ให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในระดับจังหวัด อำเภอ และการดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๓. แผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น ๔ แผนงาน ดังนี้ ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วม บนเส้นทางสายหลัก (เส้นทางหลวงแผ่นดิน) และสายรอง (เส้นทางหลวงชนบท และเส้นทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1806 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อ (ร่าง) กรอบแนวคิดและทิศทางของแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำประเด็นยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ภายใต้ (ร่าง) กรอบแนวคิดฯ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ๒. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านมลทัศน์เสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดทำแผนปฏิบัติการในการจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๓. เห็นชอบการทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าเพิ่มเติม และกลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. ตรวจสอบการกำหนดประเภทและขนาดโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำนว ๓๔ ประเภท ก่อนนำความเห็นของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน เกี่ยวกับการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณรอบรัฐสภาแห่งใหม่ และให้กรุงเทพมหานครประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการออกประกาศกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นในการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณโดยรอบรัฐสภาแห่งใหม่เป็นการเร่งด่วน รวมทั้งให้ สผ. ประสานกรุงเทพมหานครและกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นและมติของคณะกรรมการฯ ๕. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ .. (พ.ศ. ๒๕๕๓) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. จัดทำร่างประกาศฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๖. เห็นชอบต่อมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนเรื่องน้ำมัน Euro 4 ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการนำมาใช้ในพื้นที่มาบตาพุดก่อนกำหนดที่บังคับใช้ตามกฎหมาย (วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕) และให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานและพลังงานจังหวัดระยอง และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบทุก ๖ เดือน รวมทั้งให้ สผ. แจ้งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สผ. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป ๗. เห็นชอบรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยรี จังหวัดอุตรดิตถ์ และให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรมชลประทานรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๘. เห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอน บ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ของกรมทางหลวง ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน โดยให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามมาตรการฯ เพิ่มเติมใน ๓ มาตรการ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทางให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง กำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้างและให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการด้วย ๙. เห็นชอบรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. แจ้งจังหวัดกระบี่และจังหวัดพังงาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาว และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูน จำกัด คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๑ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๙ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ทั้งนี้ ให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทฯ โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1807 | รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน 84 แห่ง | วท | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ๘๔ แห่ง สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้
๑. โครงสร้างของการบริหารจัดการน้ำชุมชน บริหารจัดการน้ำโดยชุมชนเป็นเจ้าของในการพัฒนาโครงสร้างน้ำ รวมทั้งวางแผนบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองและประสานการทำงานร่วมกับ สสนก. และเครือข่ายความร่วมมือและวิชาการ ๒. โครงสร้างและหน้าที่ แบ่งการรับผิดชอบเป็น ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ ๒.๑ สสนก. ทำหน้าที่บริหารโครงการและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ๒.๒ เครือข่ายความร่วมมือและเครือข่ายความรู้และวิชาการ ทำหน้าที่ประสานงานและปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน ๒.๓ ชุมชน ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการน้ำชุมชน/หมู่บ้าน ทำหน้าที่ดำเนินงานโครงการ ๓. การดำเนินงานมี ๔ ระยะ ได้แก่ ๓.๑ ระยะที่ ๑ รวบรวมข้อเท็จจริงและสรุปสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข ๓.๒ ระยะที่ ๒ เขียนแผนงานและจัดทำโครงการ ๓.๓ ระยะที่ ๓ ติดตาม ประเมิน ทบทวน ขยายผล ๔. ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ ๘๔ แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ ๓๗ แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๕ แห่ง ภาคกลาง ๑๑ แห่ง และภาคใต้ ๑๑ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1808 | ยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา | ศธ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ/แนวคิด ยุทธศาสตร์และกลไกการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐานและการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ตามกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑) ที่ให้นำเครื่องมือทางการเงินมาเป็นกลไกในการปรับประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษา และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ตามกรอบหลักการแนวคิดยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อดำเนินงานตามกรอบหลักการ/แนวคิด และยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการ คปร. เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณให้กับกองทุนเงินให้เปล่าสำหรับผู้เรียนด้อยโอกาส/ยากจน และค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์การเงินการคลังเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานและเพื่อการอุดมศึกษา อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการควรประเมินผลกระทบจากการปฏิรูปการจัดการศึกษาต่องบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา และดำเนินการปฏิรูปโดยใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษาที่มีอยู่เดิมก่อน ส่วนการถ่ายโอนกิจการด้านการจัดการศึกษาควรพิจารณาถึงความพร้อมในการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และกำหนดแนวทางดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอนและสอดคล้องกับทุกฝ่าย เนื่องจากผู้เรียนยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกสถานศึกษาได้ด้วยตนเอง รวมทั้งควรดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรด้านการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล โดยมีการระดมทรัพยากรและทุน มีการจัดสรร การติดตาม ประเมินผลและการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกลไกเชิงระบบการติดตามและประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลและความคุ้มค่าในด้านการดำเนินงาน (Performance Audit) ด้านการบริหารจัดการ (Management Audit) และด้านการเงิน (Financial Audit) เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษาส่งผลถึงผู้เรียนให้ได้รับบริการการศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ายุทธศาสตร์แต่ละด้านที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เป็นเพียงกรอบในการดำเนินการ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียด ดังนั้น ในขั้นการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1809 | การรวบรวมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานเฉลิมพระเกียรติฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2554 (เพิ่มเติม) | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ/กิจกรรมในความรับผิดชอบของส่วนราชการที่เกี่ยวกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ (เพิ่มเติม) จำนวน ๘๓ โครงการ/กิจกรรม จาก ๖ หน่วยงาน ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษามหาราชันย์ และโครงการกรุงไทยต้นกล้าสีขาว ๒. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวน ๖ โครงการ/กิจกรรม อาทิ จัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์เชิงรุก สัปดาห์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๕ ธันวามหาราช โครงการเทศกาลโคมไฟ สีสันเมืองใต้ และโครงการสวัสดีเมืองไทย กิจกรรมไหว้พระขอพร ๙ อารามหลวง ไหว้พระประจำรัชกาล และไหว้พระธาตุประจำวันเกิด ๓. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๕ โครงการ/กิจกรรม อาทิ กิจกรรมนิทรรศการพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ โครงการ “สัปดาห์เศรษฐกิจพอเพียง พระคุณพ่อสูงสุดมหาศาล” และ “ในหลวงกับการปฏิรูปที่ดิน” ๔. กระทรวงแรงงาน จำนวน ๙ โครงการ/กิจกรรม อาทิ โครงการแรงงานไทยร่วมใจปลูกต้นไม้ถวายพ่อ (ชส.) โครงการแรงงานอาสาพัฒนาท้องถิ่นถวายพ่อของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (สตป.) ๕. กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๖ โครงการ/กิจกรรม อาทิ โครงการอาสาสมัครป้องกันสถาบัน (อสป.) เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ โครงการ ๘๔ ศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระดับอำเภอต้นแบบ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๖. กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๑๕ โครงการ/กิจกรรม อาทิ โครงการจัดงานนิทรรศการบีโอไอแฟร์ ๒๐๑๑ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ โครงการ “ร้อยดวงใจ อุตสาหกรรมไทยทำดีเพื่อพ่อ” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ และโครงการรักในหลวง ... ห่วงความปลอดภัย ระยะที่ ๒ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1810 | สรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy Forum : TICEF) | พณ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy : TICEF) ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงเทพฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปผลการจัดงานได้ ดังนี้
๑. การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายวิชาชีพทั้งภาครัฐ และเอกชนจากในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนระดับสูงจากองค์กรระหว่างประเทศ รวมประมาณ ๑,๕๐๐ คน จากกว่า ๕๐ ประเทศ เช่น อาเซียน อินเดีย จีน ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้น สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย งานเทศกาลออกแบบนานาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ การประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ และงานเทศกาลกระจายภาพและเสียงกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รวมทั้งการจัดนิทรรศการแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ (Creative King) นิทรรศการจำลองประเทศไทยเสมือนจริง (Thailand Planet) นิทรรศการการ์ตูนแอนิเมชั่นเชลดอน (Shelldon) นิทรรศการอัญมณี และผลิตภัณฑ์จากศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ นิทรรศการของ WIPO UNDP และนิทรรศการของนายแกรม ทอมส์ ผู้สร้างอุปกรณ์ประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นอวตาร เป็นต้น ๒. ในส่วนของการจัดประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานชาติ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งประกอบด้วยการเสวนาห้องใหญ่ (Plenary Session) และการเสวนากลุ่มย่อยใน ๔ หัวข้อ คือ (๑) เมืองและสังคมสร้างสรรค์ (๒) แบรนด์และการออกแบบที่สร้างสรรค์ (๓) เนื้อหาและสื่อสร้างสรรค์ และ (๔) ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาประเทศไทยไปสู่เมืองสร้างสรรค์ จำเป็นที่รัฐและประชาชนจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างถูกต้อง นำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจร่วมกัน รัฐควรให้การสนับสนุนด้านนโยบาย และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ระบบการศึกษา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมบุคลากร การจัดแสดงผลงาน การสนับสนุนการตลาด การจัดช่องทางให้นักสร้างสรรค์ได้พบกับผู้บริโภค การสนับสนุนด้านการเงิน การพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎระเบียบด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะสมและทันสมัย เป็นต้น ๒.๒ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สังคม สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นพื้นฐานสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ แต่การพัฒนาผลงานความคิดสร้างสรรค์ให้มีความโดดเด่นดึงดูดใจผู้บริโภค จำเป็นที่จะต้องอาศัยการศึกษาวิจัย การทำการตลาด และการพึ่งพาเทคโนโลยีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา มาเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์งาน ๒.๓ การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยในการสร้างสรรค์งาน จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดช่องว่างรายได้ของประเทศได้ โดยมีการจัดการองค์ความรู้ของท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ มีฐานข้อมูลเพื่อสะดวกในการต่อยอด และให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน ๒.๔ การสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ควรจะต้องช่วยสร้างงาน และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และที่สำคัญควรจะต้องเรียนรู้ที่จะคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวิวัฒนาการต่าง ๆ ของโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1811 | นโยบายแห่งชาติด้านยาและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ | สธ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเสนอ ๑.๑ ร่างนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ. .... และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. .... (แผน ๕ ปี) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ได้มาตรฐาน โดยการประกันคุณภาพ ความปลอดภัยและประสิทธิผลของยา การสร้างเสริมระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การส่งเสริมการเข้าถึงยาจำเป็นให้เป็นไปอย่างเสมอภาค ยั่งยืน ทันการณ์ การสร้างกลไกการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ และอุตสาหกรรมยามีการพัฒนาจนประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยในส่วนของแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ด้านที่ ๑ การเข้าถึงยา ยุทธศาสตร์ด้านที่ ๒ การใช้อย่างอย่างสมเหตุผล ยุทธศาสตร์ด้านที่ ๓ การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยา ชีววัตถุ และสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง และยุทธศาสตร์ด้านที่ ๔ การพัฒนาระบบการควบคุมยาเพื่อประกันคุณภาพ ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายฯ และแผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าว พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นยุทธศาสตร์ด้านที่ ๒ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล ในยุทธศาสตร์ย่อยเกี่ยวกับการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพควรกำหนดประเด็นการปฏิรูปการศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้ชัดเจนหรืออาจกำหนดไว้ในรายละเอียดของแผนปฏิบัติการและกิจกรรม สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาควรเน้นที่กลุ่มแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก และประเด็นยุทธศาสตร์ด้านที่ ๓ การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยา ชีววัตถุ และสมุนไพร เพื่อการพึ่งพาตนเองควรมีการส่งเสริมและพัฒนาตำรับยาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในชุมชนและท้องถิ่น นอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แต่ละด้านไปสู่การปฏิบัติควรให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงยา การใช้ยาอย่างสมเหตุผล และการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยา รวมทั้งควรศึกษามาตรการและแนวทางการควบคุมราคายาประเภทต่าง ๆ ตลอดจนผลกระทบของแต่ละมาตรการอย่างละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดแผนงาน เป้าหมาย ตัวชี้วัด และกลไกติดตามประเมินผล โดยการมีส่วนร่วมของหน่วยงานของรัฐที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ย่อย ๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1812 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศไทย กระทรวงมหาดไทย | นร | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลแห่งละ ๒ ล้านบาท จำนวน ๙๙ แห่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๘ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน ๑.๒ อนุมัติหลักการในการใช้สถานที่โรงเรียนขนาดเล็กมาดำเนินการเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในระดับตำบล โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเสนอขอตั้งค่าใช้จ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลที่ยังไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในครั้งนี้ จำนวน ๓๐๘ แห่ง ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละแห่ง โดยอาจขอความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจากภาคเอกชนในพื้นที่หรือประสานกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อใช้สถานที่โรงเรียนขนาดเล็กที่ไปหลอมรวมเป็นโรงเรียนดีประจำตำบลมาดำเนินการเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในระดับตำบลในสังกัดของ อปท. ต่อไป และหากไม่ได้รับการสนับสนุนในการดำเนินการดังกล่าว ก็ให้เสนอขอตั้งค่าใช้จ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ กรณีโรงเรียนดีประจำตำบลแห่งใดที่มีความพร้อมและได้รับการสนับสนุนจาก อปท. ก็ให้พิจารณาจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1813 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ที่มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะ (เรื่อง ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ) | สช | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ โดยมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ มี ดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐบาล คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) นำแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยที่จะลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความเป็นธรรม นำไปสู่สังคมสุขภาวะ ในประเด็นการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การจัดการทรัพยากร สังคมและสุขภาวะ ประชาธิปไตยและการเมือง การศึกษา และสื่อทุกประเภทในทุกระดับ ๑.๒ ให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๘๗ (๑) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น โดยให้มีการปฏิรูปกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และมีการดำเนินงานที่เร่งด่วน ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้มีภาคีเครือข่ายประชาชน และองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำให้เกิดกระบวนการนโยบายสาธารณะที่เป็นธรรม ตระหนักถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน ๑.๒.๒ ให้มีการกำหนดกรอบและกติการ่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะและการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการปฏิรูป ๑.๒.๓ พัฒนากลไกเพื่อการปฏิรูประบบการวิจัยแห่งชาติและระบบการสร้างปัญญาสาธารณะ ๑.๒.๔ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาสมรรถนะของสังคมและระดับการมีส่วนร่วมในการติดตามให้ความเห็นอย่างจริงจังในกลไกพหุภาคีและเครื่องมือที่มีอยู่ในการจัดการความขัดแย้งที่เกิดจากนโยบายของรัฐ ๑.๒.๕ จัดให้มีกลไกการจัดการความไม่เป็นธรรม ในระดับชาติ ระดับภูมิภาค หรือกลุ่มจังหวัด ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนเพื่อจัดทำรายละเอียดในแต่ละประเด็นตามแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง การนำมติไปสู่การปฏิบัติควรจัดลำดับความสำคัญและทำการศึกษาให้ชัดเจนก่อนกำหนดแนวทางและมาตรการที่จะดำเนินการ การกำหนดแนวทางการติดตามประเมินผลควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงและการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่มีการดำเนินงานสอดคล้องกัน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อมูลที่เป็นมติ รายงานการประชุมคณะกรรมการคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ผลการดำเนินงานที่มีผลกระทบต่อสาธารณชน และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเด็นการให้มีการจำกัดสิทธิการถือครองที่ดิน เน้นการส่งเสริมการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสมรรถนะของดินและภูมินิเวศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1814 | มติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เรื่อง แผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าลำพูน | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าเสนอ โดยมติคณะกรรมการฯ มี ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าลำพูน ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าลำพูน เป็นกรอบแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าลำพูน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป โดยแผนแม่บทและผังแม่บทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พื้นที่บริเวณเมืองเก่าลำพูนได้รับการคุ้มครอง ดูแลการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้สอย และดำรงคุณค่าความเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศ โดยกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีความสำคัญที่ต้องเร่งวางแผนการอนุรักษ์และพัฒนาเพื่อให้สามารถดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรม และป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ และส่งเสริมทัศนียภาพขององค์พระบรมธาตุให้เด่นชัด รวม ๒ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หลัก เนื้อที่รวม ๐.๑๓๕ ตารางกิโลเมตร (๘๔.๓๓ ไร่) และพื้นที่ต่อเนื่อง เนื้อที่รวม ๐.๕๑๓ ตารางกิโลเมตร (๓๒๐.๘๔ ไร่) และการกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงานและโครงการเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า จำนวน ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนากลไกและกระบวนการบริหารจัดการเมืองเก่าลำพูนแบบบูรณาการ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ฟื้นฟู ดูแลรักษา แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิทัศน์เมืองเก่าลำพูน และยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และเสริมสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของเมืองเก่า และรักษาเมืองเก่าให้เป็นแหล่งเรียนรู้อย่างยั่งยืน ๑.๓ เห็นชอบให้จังหวัดลำพูนจัดตั้งองค์การบริหารจัดการเมืองเก่าลำพูน ในรูปของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองลำพูน เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าลำพูน ๒. ให้จังหวัดลำพูนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๕(๑) ที่กำหนดไว้ว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งผืนดิน ผืนน้ำ วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ และกำหนดมาตรฐานการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลประทบจากหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินนั้นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย” และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มเติมกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการผลิตสินค้า โดยนำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1815 | การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย | ทส | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติยให้กระทรวงมหาดไทยรับเรื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ไปประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่ได้ดำเนินการหรืออยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองเป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติด้านอุทกภัยของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยให้เสนอขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1816 | เสนอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ | ทก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการ และกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโทรศัพท์พื้นฐานประจำบ้านพักของทางราชการและบ้านพักส่วนตัว โดยยกเลิก (๑) และแก้ไข (๒) จาก เดิม (๒) ค่าใช้บริการให้เบิกจ่ายได้เฉพาะค่าใช้โทรศัพท์ภายในท้องถิ่น (ไม่รวมโทรศัพท์ทางไกล) เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ ๑๐๐ ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระพร้อมกัน ส่วนที่เกิน ๑๐๐ ครั้ง หรือค่าใช้บริการเสริมพิเศษอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บ เช่น ค่าบริการสายเรียกซ้อน ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ค่าบริการโทรทางไกล เป็นต้น ผู้ใช้บริการต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เป็น (๒) ให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำบ้านพักสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและบริการอื่นที่จะมีในอนาคตได้ โดยกำหนดวงเงินการใช้โทรศัพท์แบบเหมา คือ ค่าเช่าเลขหมายและค่าใช้บริการใด ๆ ไม่เกินคนละ ๔๐๐ บาทต่อเดือน โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดชนิดของการใช้บริการ และให้ผู้ใช้บริการรับผิดชอบค่าบริการส่วนที่เกิน ๔๐๐ บาทเอง ๒. ให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ กำกับ ดูแล การอนุมัติติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้งานเท่านั้น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณกรณีดังกล่าวเป็นไปโดยเหมาะสม และหากมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นให้ใช้จ่ายภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรของแต่ละส่วนราชการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1817 | บริษัท สหศิลาเพิ่มพูล จำกัด ขอเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพระพุทธบาทและป่าพุแค เพื่อขอรับโอนประทานบัตรเหมืองแร่ประทานบัตรที่ 24828/13873 ท้องที่จังหวัดสระบุรี | ทส | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผ่อนผันและขยายระยะเวลาให้บริษัท สหศิลาเพิ่มพูล จำกัด เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เอ็ม เป็นการเฉพาะราย จนถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดอายุประทานบัตรของผู้ขอรายนี้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้บริษัท สหศิลาเพิ่มพูล จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ของบริษัทฯ ในคราวการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ อย่างเคร่งครัด และให้กำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมในเรื่องการมีส่วนร่วมและการยอมรับของประชาชนและท้องถิ่น รวมทั้งมีมาตรการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1818 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประเด็นข้อชี้แจงของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒ อนุมัติแนวทางการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๓ รับทราบการปรับปรุงแผนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิต การตลาด และการแปรรูปในสหกรณ์โคนม จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการปรับแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละเดือนภายใต้แผนการใช้จ่ายเงินเดิม ๑.๔ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๕๓,๘๙๔,๒๖๑ บาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสู่มาตรฐาน วงเงิน ๑,๘๔๕,๗๐๘ บาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการ วงเงิน ๓๐,๖๐๕,๔๕๔ บาท และโครงการปัจจัยสนับสนุนด้านการศึกษา วงเงิน ๒๑,๔๔๓,๐๙๙ บาท ๑.๕ อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวปัตตานี ๑.๖ อนุมัติการขอยกเลิกโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพันธุ์ดีในพื้นที่ว่างเปล่า จำนวน ๕,๐๐๐ ไร่ วงเงิน ๙,๔๗๓,๓๐๐ บาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน โดยจังหวัดนราธิวาส เนื่องจากสภาวะราคาพันธุ์ยางพาราในท้องถิ่นได้ขยับตัวสูงขึ้นมากทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ประกอบกับรัฐบาลได้มีการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายให้กับโครงการส่งเสริมการปลูกยางพารา ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง วงเงิน ๑๐๗.๓๒ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ผ่านการทำประชาคมเรียบร้อยแล้ว ๑.๗ อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วนยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ อนุมัติการขอปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๖๙ ตอนทางรอบเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๔๕๐ ล้าบบาท จากเดิมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยจัดสรรวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนวงเงินส่วนที่เหลือให้กรมทางหลวงขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามทางเลือกที่ ๑ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตระยะเวลาการลงนามสัญญาและการเบิกจ่ายเงินให้ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ บรรลุวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ควรพิจารณาความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ โดยอาจใช้แหล่งเงินลงทุนอื่นในการดำเนินโครงการ รวมทั้งเร่งพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้แก่โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่มีศักยภาพและเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1819 | การดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ | กต | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการโครงการ/กิจกรรมสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางของยุทธศาสตร์ เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการศึกษาและการอบรมทักษะพิเศษ การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพให้แก่นักศึกษา การมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐกับนักศึกษา การจัดกิจกรรมเปิดโลกทัศน์และดูงานให้แก่นักศึกษา การสนับสนุน การจัดตั้งชมรมหรือสมาคมนักศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กลุ่มนักศึกษาเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการจัดกิจกรรมสันทนาการการกีฬา หรือในโอกาสเทศกาลสำคัญของท้องถิ่น ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และนักศึกษาได้แสดงความประสงค์ขอให้มีการดำเนินโครงการ/กิจกรรมในปีต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสรรงบประมาณจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒๓ ทุน ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย อียิปต์ และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีนักศึกษา ๑ ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว และอีก ๑ ราย คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของครูและผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังได้แสวงหาความร่วมือจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาบุคลากรการศึกษา ได้แก่ โครงการของรัฐบาลออสเตรเลียร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการฝึกอบรมครูจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1820 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ตามคำขอที่ ๖/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
