ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 96 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1901 - 1920 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1901 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา | สสป | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และรับทราบตามที่ กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. เขตแดนและการเจรจา 1.1 ควรทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ทางทะเลของไหล่ทวีป ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือไม่ หากทบทวนแล้วพบว่าไม่ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ควรพิจารณาให้มีการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 1.2 กรณีที่จะใช้บันทึกความเข้าใจตามข้อ 1.1 เป็นกรอบในการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ของไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา สำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล (Joint Development Area) ระหว่างไทยกับ กัมพูชา ควรจัดทำกรอบในการเจรจาเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวและเสนอขอความเห็นชอบต่อ รัฐสภาก่อน 1.3 ในการเจรจาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรยึดถือหลักการสากลตามอนุสัญญาสห ประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 1.4 ในการเจรจาเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรนำเรื่องชุมชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานในหลายพื้นที่มาเป็นประเด็นในการเจรจาด้วย 1.5 ในการเจรจาหลักเขตแดนทางบกทั้ง 73 หลัก ระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องกำหนดแนวทางในการ เจรจาในภาพรวม ไม่ควรเจรจาตกลงในลักษณะทีละหลักเขต 2. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน 2.1 การเปิดจุดผ่านแดนใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีการวิเคราะห์ ถึงประโยชน์ที่จะได้รับก่อนอนุญาตที่จะเปิดดำเนินการ ตัวอย่างเช่น กรณีจุดผ่านแดน ช่องตาเฒ่าบริเวณใกล้เขาพระ วิหาร ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียในด้านธุรกิจทางท่องเที่ยวและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทหาร 2.2 ควรกำชับการใช้ระเบียบการผ่านแดนในจุดต่าง ๆ บริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาให้มีการปฏิบัติ ตามระเบียบอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิผล 2.3 ควรมีมาตรการปราบปรามและป้องกันกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นในบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาโดย การส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนอื่นในท้องถิ่นให้มีการตรวจสอบ 2.4 ควรส่งเสริมและสนับสนุนการค้าบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาทั้งในส่วนของมาตรการทางด้าน ภาษีและคลังสินค้า และส่วนที่เกี่ยวข้องกับระเบียบทางการค้าให้มีความคล่องตัว 2.5 ควรใช้ประเด็นทางการค้าชายแดนเพื่อประโยชน์ในการต่อรองในกรณีที่มีปัญหาชายแดนหรือใน การแก้ปัญหาชายแดน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1902 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เสนอรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย และกรุงโตเกียว ประเทศ ญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ 12-18 พฤษภาคม 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. การเดินทางไปราชการ ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อร่วมงาน Amazing Thailand Road Show Australia 2010 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กล่าวเปิดงานและให้ข้อมูลเรื่องสถาน การณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในตลาดออสเตร เลียว่าประเทศไทยยังคงมีความปลอดภัยและมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ในส่วนของกิจกรรมภายในงาน ได้มีการนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยไปยังบริษัทนำเที่ยวทั้งที่ เป็น Wholesaler และ Retailer รวมทั้งสื่อมวลชนท้องถิ่นที่เข้าร่วมงาน ภายใต้แนวคิด Amazing Thailand Amazing Value จำนวน 7 ประเภท ได้แก่ Thainess, Treasures, Beaches, Nature, Health & Wellness, Trends และ Festivities เพื่อเสนอภาพลักษณ์ประเทศไทยเรื่องความคุ้มค่าในการเดินทาง และการนำเสนอขายสินค้าทางการ ท่องเที่ยวของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย (Table Top Sales) จำนวน 53 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรม 43 แห่ง สายการบิน 3 แห่ง บริษัทนำเที่ยว 6 แห่ง และ Entertainment 1 แห่ง 2. การเดินทางไปราชการ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมงาน Thai Festival 2010 โดย ททท. สำนักงานโตเกียว ได้เข้าร่วมออกคูหาประเทศไทย โดยออกแบบคูหา Theme ภาคกลาง มีกิจกรรมการแสดง เช่น การสาธิตทำหัวโขน การสาธิตและสอนการสานปลาตะเพียน การติดสติกเกอร์ลายศิลปะไทย การแสดงนาฎศิลป์ ไทย รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารแนะนำแหล่งท่องเที่ยวประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬาได้ให้สัมภาษณ์สถานีข่าวโทรทัศน์ช่อง NHK WORLD เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ ไทยในปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1903 | โครงการถวายพระพรออนไลน์ 12 สิงหาคม และ 5 ธันวาคม 2553 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ 1.1 การจัดโครงการถวายพระพรออนไลน์ 12 สิงหาคม และ 5 ธันวาคม 2553 ของกระทรวงเทคโนโล ยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ 1.2 ให้ส่วนราชการระดับกระทรวงและหน่วยงานในสังกัด จังหวัด องค์กรของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กร ส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ใช้เว็บไซต์ถวายพระพรออนไลน์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสารลงบนหน้าแรกของเว็บไซต์ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการถวายพระ พรออนไลน์ 2. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าควรเปิดโอกาส ให้คนไทยในต่างประเทศได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1904 | ขออนุมัติดำเนินโครงการศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนเพื่อพ่อหลวง | ทก | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ 1.1 อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินโครงการศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เพื่อพ่อหลวง จำนวน 1,000 แห่งทั่วประเทศ วงเงิน 578,000,000 บาท ภายในปีงบประมาณประจำปี 2554 โดย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป 1.2 เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ ใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ศูนย์ ICT ชุมชนทั่วประเทศที่อยู่ในบริเวณซึ่งไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคมเข้าถึง และต้องใช้ โครงข่ายดาวเทียมซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ประชาชน 2. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1905 | ขออนุมัติแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติปี 2553 - 2555 | นร | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติปี 2553-2555 มีสาระสำคัญเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบการ แพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในด้านการป้องกันการเจ็บป่วยฉุกเฉินให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด การแพทย์ฉุกเฉินในโรง พยาบาลและการแพทย์ฉุกเฉินในโรงพยาบาลทั้งในภาวะปกติและภัยพิบัติ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และคณะกรรมการการ แพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือ ปฏิบัติตามแผนหลักฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปี ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินเสนอ 2. โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. 2553 และปี พ.ศ. 2554 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของ สพฉ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้รับการจัดสรรและเสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ให้ สพฉ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความ เห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้ สพฉ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กลไกการจัดการในระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐานของตนเองจากเกณฑ์มาตรฐานกลางในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินให้เหมาะสมกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ของการดำเนินงานเป็นสำคัญ รวมทั้งควรส่งเสริมการมี ส่วนร่วมของชุมชนโดยเน้นการจัดกลุ่มอาสาสมัครภายในชุมชน การส่งเสริมความรู้ การเตรียมความพร้อมและการซ้อม แผนปฏิบัติในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับชุมชนเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องการแพทย์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพในแต่ละพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1906 | แนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิการชุมชน | พม | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิ การชุมชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 อปท. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรุงเทพมหา นคร เมืองพัทยา สามารถจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานและสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนซึ่งเป็นภารกิจ ของ อปท. ในการสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนที่มีเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกกลุ่ม 1.2 การสมทบงบประมาณ โดย อปท. แก่กองทุนฯ เป็นการยึดหลักความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา โดย ประชาชนออม 1 ส่วน อปท. สมทบงบประมาณ 1 ส่วน และรัฐบาล 1 ส่วน โดย อปท. พิจารณาสมทบงบประมาณได้ ตามฐานะการคลังของแต่ละ อปท. 1.3 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สามารถให้การสนับสนุนงบประมาณให้กับเทศบาล อบต. เพื่อ การสมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิการชุมชนได้ โดยปฏิบัติตามระเบียบ หนังสือสั่งการ ตามประกาศคณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ที่เกี่ยวข้อง 2. ทั้งนี้ การสนับสนุนหรือการสมทบงบประมาณให้แก่กองทุนฯ ให้เป็นไปตามความสมัครใจของ อปท. แต่ ละแห่ง และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงมหาดไทยรับความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็น ควรจัดระบบความสัมพันธ์ของการจัดสวัสดิการทางสังคมต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงและเกื้อกูลกันทั้งระบบสวัสดิการในระดับ ชาติ ระดับท้องถิ่น และระดับชุมชน พร้อมทั้งจัดให้มีกลไกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดการดำเนินงาน ระหว่างชุมชนเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรร่วมกันพิจารณาบูรณาการการ ดำเนินงานของกองทุนฯ และกองทุนฯ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมเกื้อหนุนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ให้ อบจ. สามารถสมทบงบประมาณแทน อปท. อื่นในจังหวัด ให้กระทำได้ในกรณีที่ อปท. อื่นไม่สามารถให้การสมทบได้ เนื่อง จากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1907 | การขออนุมัติกำหนดให้วันที่ 18 มีนาคม ของทุกปีเป็น "วันท้องถิ่นไทย" | มท | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกำหนดให้วันที่ 18 มีนาคม ของทุกปีเป็น "วันท้องถิ่นไทย" เพื่อเป็นการน้อม
รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อการปกครองท้องถิ่นไทยและ เพื่อให้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปกครองท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1908 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านฯ พ.ศ. 2522 โดยกำหนดคำนิยาม ให้มีความชัดเจนขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง โครงสร้างหมู่บ้าน องค์ประกอบของคณะกรรมการกลาง อำนาจหน้าที่ การจัดสรรรายได้ การจัดทำงบประมาณ และการควบคุม ตาม ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และ กระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการกลางบริหารหมู่บ้านให้สอดคล้องกับแนวทางดำเนินงานในกรอบ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งให้คณะทำงานด้านการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านอาสา พัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) เพิ่มเติมหน้าที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความมั่นคงของคนและชุมชนใน หมู่บ้าน อพป. และกำหนดบทบาท ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีระบบและกลไกการบริหารงานที่ประสานสัมพันธ์กันและไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการ กลางของแต่ละหมู่บ้านต้องมีการประชุมและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลาโดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งในการประชุม และการเตรียมความพร้อมของชุมชนอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง และปรับเพิ่มงบประมาณในพื้นที่เสี่ยง ไปประกอบการ พิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะกรรมการกลาง (ร่างมาตรา 13) ให้กระทรวงมหาดไทยไปพิจารณา กำหนดหลักเกณฑ์ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1909 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนำคณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กต | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการนำคณะเอกอัครราชทูตกลุ่ม
ประเทศลาตินอเมริกา แอฟริกา และยุโรปเดินทางไปเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2553 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำคณะฯ เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อรับทราบ สถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่โดยรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานของภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ ดังนี้ 1. เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อรับทราบสถานการณ์ความ ไม่สงบในพื้นที่ ดูงานกิจกรรมของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี รวมถึงโครง การญาลันนันบารู ซึ่งเป็นโครงการอบรมเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่เสพหรือมีแนวโน้มที่จะข้องเกี่ยวกับยาเสพติด โดยการ ใช้หลักศาสนาเข้าโน้มนำจิตใจ 2. เยี่ยมชมโครงการสภาสันติสุขตำบลปิยะมุมัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ นำ 4 เสาหลักเพื่อร่วมมือกันสร้างสันติสุขและแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างชุมชนไทยมุสลิมและชุมชนไทยพุทธ ในพื้นที่ 3. เข้าพบปะคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ณ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี เพื่อแลก เปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งบทบาทของผู้นำ ศาสนาในชุมชนท้องถิ่น 4. เข้ารับฟังบรรยายสรุปจากนักวิชาการ และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ณ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งมีหัวข้อการบรรยาย อาทิ เรื่อง การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสถาบัน การสอนศาสนาตามวิถีดั้งเดิม (ปอเนาะและตาดีกา) เรื่อง สถิติและแนวโน้มการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ และทัศนคติของประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน พ.ศ. 2548 เป็นต้น ตลอดจนรับฟังการบรรยายสรุปการทำงานและมุมมองของภาคประชาสังคม 5. เข้าพบปะหารือกับดาโต๊ะยุติธรรมประจำสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเสริม สร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สสต.) ณ ศาลากลาง จังหวัดยะลา เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการ ใช้กฎหมายอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน แนวทางพัฒนาการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทย บท บาทการดำเนินงานที่สำคัญของสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. เยี่ยมชมศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเรื่องแนวปฏิบัติในการเชิญผู้ต้องสงสัยมาซักถามที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายสิทธิ มนุษยชนสากลอย่างเคร่งรัด และรับทราบกิจกรรมของศูนย์ฯ ในด้านการสอนเกษตรชีวภาพตามแนวทางเศรษฐ กิจพอเพียง การเชิญผู้นำศาสนาท้องถิ่นมาสอนศาสนา และการจัดกิจกรรมสันทนาการ เช่น การเล่นกีฬา การ ประกอบอาหารฮาลาลร่วมกัน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1910 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวงาน Arabian Travel Market (ATM) 2010 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 7 พฤษภาคม 2553 | กก | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐ
อิสลามอิหร่าน และการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวงาน Arabian Travel Market (ATM) 2010 ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและคณะ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ดังนี้ 1. การเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ระหว่างวันที่ 30 เมษายน-3 พฤษภาคม 2553 ณ กรุงเต หะรานและเมืองอิสฟาฮาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เดินทางพบปะผู้ประกอบการท่องเที่ยวท้องถิ่นเพื่อชี้แจงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยโดยมุ่งเน้นให้ เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและประเทศไทย โดยผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวของอิหร่านได้ เสนอว่าหากนักท่องเที่ยวชาวอิหร่านได้รับความสะดวกในเรื่องการขอ Visa on Arrival น่าจะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับ ความสะดวกและเลือกที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Mahan Air ได้เริ่มทดลองจัด Charter Flight บินตรงจาก Tehran-Phuket ในช่วงเทศกาล Nurooz หรือเทศกาลปีใหม่ของสาธารณรัฐอิหร่านเมื่อเดือนมีนา คม 2553 ที่ผ่านมาด้วยเครื่อง Boeing 747 ขนาด 450 ที่นั่ง จำนวน 3 เที่ยวบิน ปรากฏว่าได้ผลดี มีนักท่องเที่ยว เดินทางตรงเข้าภูเก็ตถึง 1,300 คน จึงมีแผนการที่จะจัดบินตรงเข้าภูเก็ตต่อไปอีก รวมทั้ง Iran Air ก็มีแผนที่จะเพิ่ม เที่ยวบินเข้ากรุงเทพฯ เป็น 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ในเร็ว ๆ นี้ 2. การเข้าร่วมงาน Arabian Travel Market (ATM) 2010 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤษภาคม 2553 ณ เมืองดู ไบ โดย ททท. ได้สำรองพื้นที่ในการจัดงานขนาด 440 ตารางเมตร ตั้งอยู่ใน Hall 7 Stand หมายเลข AS 310 และ AS 340 ก่อสร้างเป็นศาลานิทรรศการประเทศไทย เพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและเจรจา ธุรกิจของผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากประเทศไทยเข้าร่วมงาน 94 หน่วยงาน ประกอบ ด้วยโรงแรม 69 หน่วยงาน บริษัทนำเที่ยว 20 หน่วยงาน และอื่น ๆ 5 หน่วยงาน (Phuket Fantasea, Safari World, Siam Niramit, โรงพยาบาลเซนต์คาร์ลอส และโรงพยาบาลเวชธานี) ในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬาได้เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศไทยและนำคณะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย พบปะเจรจากับผู้ซื้อ (Buyer) จากตะวันออกกลางในตลาดที่สำคัญ อาทิ อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน เป็นต้น รวมถึงผู้ซื้อจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ภาพรวมของการเข้าร่วมงาน ATM 2010 ประเทศไทยยังคงเป็น แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในตลาดตะวันออกกลาง สำหรับสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในตลาดตะวัน ออกกลางยังคงเป็น ชายทะเล โรงแรมระดับ 5 ดาว ช็อปปิ้ง และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1911 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 08/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ บริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ไปพิจารณาว่า จะสมควรรวมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการ พิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิก สภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงาน ด้านนิติบัญญัติ และร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้หรือไม่ เพียงใด เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมีหลักการบางเรื่องทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว เช่น การ เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นและการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และ บางเรื่องเป็นสาระใหม่ที่ไม่มีกำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ เช่น การรายงานการดำเนินงานต่อประชา ชนในการจัดทำงบประมาณ การใช้จ่าย และผลการดำเนินงานในรอบปี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่าในการรายงานการ ดำเนินงานที่เกี่ยวกับงบประมาณควรกำหนดขอบเขตของรายรับที่จะรายงานให้ชัดเจน เนื่องจากรายรับขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประกอบด้วยรายได้จาก 3 แหล่ง คือ รายได้ที่ อปท. จัดเก็บเอง รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ และแบ่งให้ และเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ส่วนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามร่างพระราชบัญญัติฯ อาจ มีค่าใช้จ่าย จึงควรกำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. ไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1912 | แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล | วธ | 02/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการ "แนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล" ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป โดยแนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล มีดังนี้ 1.1 มาตรการฟื้นฟูระยะสั้น ดำเนินการภายใน 6-12 เดือน สรุปได้ดังนี้ 1.1.1 การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ด้วยการจัดทำโฉนดชุมชน เพื่อเป็นเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษสำหรับกลุ่มชาวเล โดยให้มีการพิสูจน์สิทธิในที่อยู่อาศัยของชุมชนผ่านภาพถ่ายทางอากาศ และด้วยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ใช้เอกสารสิทธิแต่เพียงอย่างเดียว 1.1.2 การให้ชาวเลสามารถประกอบอาชีพประมง หาทรัพยากรตามเกาะต่างๆ ได้ และเสนอผ่อนปรนพิเศษในการประกอบอาชีพประมงที่ใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมของกลุ่มชาวเล การเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่อุทยานและเขตอนุรักษ์อื่นๆ และกันพื้นที่จอด ซ่อมเรือ เส้นทางเข้า-ออกเรือ และการควบคุมเขตการทำประมงอวนลากและอวนรุนให้เป็นไปตามข้อตกลงอย่างแท้จริง 1.1.3 การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข เพื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพหาปลา/ดำน้ำ และการมีปัญหาด้านสุขภาพ 1.1.4 การช่วยแก้ปัญหาสัญชาติในกลุ่มชาวเลที่ไม่มีบัตรประชาชน 1.1.5 การช่วยส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กและสนับสนุนทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับจัดตั้งการศึกษาพิเศษ/หลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน 1.1.6 การแก้ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์และให้มองชาวเลอย่างมีศักดิ์ศรี มีความเป็นมนุษย์ 1.1.7 การให้การส่งเสริมด้านภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวเล สนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น ส่งเสริมให้มีโรงเรียนสอนภาษาวัฒนธรรมในชุมชน ส่งเสริมให้มีการสอนศิลปวัฒนธรรมชาวเลในหลักสูตรสามัญ ส่งเสริมชมรมท้องถิ่นในโรงเรียน เช่น ชมรมภาษา ชมรมร็องแง็ง ส่งเสริมการใช้สื่อที่หลากหลาย สื่อบุคคล สื่อพื้นบ้าน สื่อสมัยใหม่ ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชน เป็นต้น 1.1.8 ส่งเสริมชุมชนให้เกิดกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง 1.1.9 จัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการทำงานของเครือข่ายพี่น้องชาวเลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและให้มีงบประมาณส่งเสริม "วันนัดพบวัฒนธรรมชาวเล" เพื่อจัดกิจกรรมและการพบปะแลกเปลี่ยน 1.2 มาตรการฟื้นฟูระยะยาว ดำเนินการภายใน 1-3 ปี โดยพิจารณากำหนดพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษที่เอื้อต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะสังคมวัฒนธรรมจำเพาะ 2. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดหาที่ดินให้เป็นที่ชุมชนชาวเล การแก้ไขปัญหาสัญชาติในกลุ่มชาวเลที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน และการส่งเสริมชุมชนชาวเลให้เกิดกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า 2.1 การจัดทำโฉนดชุมชนสำหรับกลุ่มชาวเลอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารสิทธิโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เป็นเขตอุทยานและป่าชายเลน กระทรวงวัฒนธรรมควรพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนเหมาะสมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย 2.2 การแก้ไขปัญหาสัญชาติสำหรับกลุ่มชาวเลที่ไม่มีบัตรประชาชน ให้กระทรวงวัฒนธรรมเสนอสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อพิจารณาในสภาความมั่นคงแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1913 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 02/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553-2557 เพื่อเป็น กรอบในการดำเนินงานพัฒนาสุกรทั้งระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของแผนฯ เป็นการพัฒนา และควบคุมคุณภาพการผลิตสุกรตั้งแต่การจัดการฟาร์มที่ถูกสุขลักษณะ การเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรค ตรวจสอบ คุณภาพอาหารสัตว์ปัจจัยการผลิต และการปรับปรุงพัฒนาโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าชำแหละ รวมถึงการขนส่งซากสุกร ที่ถูกสุขอนามัย โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ปรับแก้ไขถ้อยคำในหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ กษ 0614/2560 ลง วันที่ 9 เมษายน 2553 หน้า 5 ข้อ 2.4 บรรทัดที่ 3 จากเดิม "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 16 โครงการ" เป็น "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 18 โครงการ" ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรที่ขึ้นทะเบียน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือเกษตรกรในระดับจังหวัด การกำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาที่ครอบคลุมการ สร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสุกรประเภทต่าง ๆ การประสานความ ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนแผนฯ ให้ บรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือจัด หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1914 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน พ.ศ. .... | ศธ | 25/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ 1.1 ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะ กรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการ ของสถาบันอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 1.2 ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลัก เกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่ง นายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน 2. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพิ่มนิยามของส่วนราชการในร่างข้อ 2 ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีการประสานความร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรร่วมกันของสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่ จะรวมกันจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่ใช้เป็น องค์ประกอบสำคัญของหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการแบ่งส่วนราชการตามที่ได้กำหนดในพระราชบัญญัติการอาชีว ศึกษา พ.ศ. 2551 เพื่อให้การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษาเป็นมาตรฐานเดียวกันในลักษณะเดียวกับ หลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ใช้เป็นเกณฑ์สำหรับ แบ่งส่วนราชการสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญา และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแนว ทางประสานความร่วมมือเพื่อรับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานประกอบการเอกชน ไป พิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1915 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.ศ. .... | มท | 18/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิ พ.ศ. .... ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) พิจารณา แล้ว นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนา พื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนออาจกระทบบทบาทและการมี ส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนหลักการกระจายอำนาจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1916 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอที่ 3/ 2548 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤศจิกายน 2533 ตามที่กระทรวงอุตสาห กรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรระมัดระวังเรื่องคุณภาพ น้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรับความเห็นของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยว กับขั้นตอนการอนุญาตประทานบัตรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจ สอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณฯ ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาราย งานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบ อนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้น ที่ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการ พิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องต่อโครงการที่ขอประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำกับประชาชนในพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1917 | ข้อเสนอแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งพิจารณาแนวทางในการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการจัด การที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่สำคัญเร่ง ด่วนของรัฐบาล สมควรที่ส่วนราชการซึ่งมีที่ดินสามารถสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวได้ให้ความสำคัญและเร่ง รัดพิจารณาการขอใช้ที่ดินเมื่อ อปท. ร้องขอ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ที่เห็นว่า อาจนำเรื่องนี้รวมพิจารณากับประเด็นกฎหมายภาษีและที่ดิน โฉนดชุมชน การแก้ปัญหาที่ดินหวงห้าม โดยการมอบหน่วยงาน รัฐมนตรี หรือกระทรวงที่รับผิดชอบ จัดสัมมนาเชิงนโยบาย ด้านที่ดิน แล้วกำหนดวันนำเสนอต่อสาธารณะพร้อมกันต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1918 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2553 - 2555 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2553-2555 (แผน ระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 โดยสาระสำคัญของร่าง แผนฯ เพื่อคุ้มครองสมุนไพรและบริเวณถิ่นกำเนิดของสมุนไพร ที่มีระบบนิเวศตามธรรมชาติ หรือมีความหลากหลาย ทางชีวภาพ หรืออาจได้รับผลกระทบจากการกระทำของมุนษย์ในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ โดยมุ่งการสร้าง กระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กร ชุมชน และภาครัฐ ในการอนุรักษ์ สืบทอด และการบริหารจัดการสมุนไพรให้ เกิดความยั่งยืน และได้รับประโยชน์สูงสุด โดยกำหนดพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ 4 แห่ง ได้แก่ พื้น ที่ป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี เขตอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ป่า เขาสลัดได อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. สำหรับกรอบวงเงินในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 2,105,000 บาท และปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 3,030,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนา การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณ และได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป แต่เนื่อง จากแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ 4 แห่งดังกล่าวได้กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ มาตรการ ตัว ชี้วัดที่ใกล้เคียงกัน และมีกิจกรรมการดำเนินงานที่ส่งผลให้เกิดความสำเร็จแตกต่างกัน จึงเห็นควรให้กรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกทบทวนแผนฯ โดยพิจารณากำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ มาตรการ ตัวชี้วัด และ แนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีการนำองค์ความรู้เรื่องสมุนไพรและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียน และ/หรือหลักสูตรการเรียนการสอน และจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริม การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์และคุ้มครองสมุนไพรในเขตพื้นที่อนุรักษ์ นอกจากนี้ ควรประสานความร่วม มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขยายบทบาทการมีส่วนร่วมในการจัดการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และ ส่งเสริมการสร้างประชาคม สร้างเครือข่ายการอนุรักษ์ การจัดการทรัพยากรร่วมกับชุมชนให้มากขึ้น รวมทั้งให้ ความสำคัญกับการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรของท้องถิ่นชุมชน สร้างระบบการเรียนรู้ ถ่ายทอดยกระดับภูมิปัญญา ท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรร่วมกับความรู้สมัยใหม่ ตลอดจนร่วมกันกำหนดกติกา หลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรของชุมชนร่วมกันควบคู่กับการกำหนดมาตรการในการควบคุมกิจกรรมที่คุกคามทำลายระบบนิเวศน์ เพื่อให้เกิดการรักษาฐานทรัพยากรและความสมดุลของระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1919 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นค่าชดเชยที่สาธารณประโยชน์ "ดอนหลักดำ" | มท | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ในฐานะต้นสังกัดขององค์การบริหารส่วน ตำบลบ้านโนนโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่ได้มีการกันเงินไว้ตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการเบิกจ่าย เงินจากคลังเป็นลำดับแรก ก่อนโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณไปใช้เพื่อการอื่นหรือปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อเบิกจ่ายให้แก่ราษฎร จำนวน 3 ราย ที่ต้องออกจากที่สาธารณประโยชน์ "ดอนหลักดำ" จังหวัดขอนแก่น เนื่องจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโนนเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์ดัง กล่าวทับซ้อนกับราษฎร ในวงเงิน 731,250 บาท เป็นการเฉพาะราย 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่สาธารณประโยชน์ "ดอนหลักดำ" ต่อไปด้วย 3. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกรณีที่ราษฎรเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์ โดยไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้รับความเดือดร้อนที่ต้องออกจากพื้นที่ เนื่องจากส่วนราชการเข้าใช้ประโยชน์ หากทางราชการให้การชดเชยหรือเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อย้ายไปหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยใหม่จะทำ ให้การบุกรุกที่สาธารณประโยชน์มากขึ้น จึงควรกำหนดมาตรการการให้ความช่วยเหลือกรณีราษฎรเข้าครอบครองทำ ประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์ โดยอาศัยหลักการหรือกลไกในการแก้ไขปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการ ตามนโยบายของรัฐบาล ไปพิจารณา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1920 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี | กษ | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมถึงความร่วมมือในด้านพืช และสัตว์ รวมถึงการส่งเสริม การค้าสินค้าเกษตร และการอนุรักษ์และจัดการความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตร 1.2 มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอีก 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรเพิ่มเติมและแก้ไขถ้อยคำ ในส่วนของทรัพย์สินทางปัญญา ข้อ 7 บรรทัด 4 หลังคำว่า "...international agreements" เป็นดังนี้ ", and that the implementing programmes or projects under this MOU shall include provisions regarding the ownership of intellectual property rights, the sharing of benefit arising out of the use of intellectual property righs and the liability and responsibility of each Party which may arise out of such programmes or projects. และ ความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับสารัตถะของบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในข้อ ที่ 4(3) เรื่อง การจัดการและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตรยังขาดรายละเอียดในการ ดำเนินงาน จึงเห็นควรเพิ่มประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ส่งเสริมการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ป่าหรือชนิดพันธุ์พื้นเมือง การ อนุรักษ์ผู้ผสมเกสร (Pollinators) การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตร ตลอดจนเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่ดีที่ สุดที่นำไปสู่การเกษตรแบบยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
