ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 34 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 661 - 680 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
661 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) | พณ | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่รัฐบาลสามารถรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้ ตามมาตรา ๒๘ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังเหลือเพียงพอต่อการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์ ๒. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก กรณีค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าวเปลือก วงเงิน ๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร วงเงิน ๕๖๒.๕๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน ๕๑๐ ล้านบาท เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย ๖.๕ ล้านตันข้าวเปลือก วงเงิน ๒,๕๗๒.๕ ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ๒.๒ เห็นชอบการอนุมัติจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี ๒๕๖๔ และปีถัด ๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๓๗๐.๗๒ ล้านบาท จำแนกเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ ๑.๔ ต่อปี) บวก ๑ เท่ากับ ๒.๔๐ ต่อปี ซี่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ทำความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลังได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๖ เดือน รวมวงเงิน ๓๔๐.๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน ๑,๐๓๐.๗๒ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการบริหารจัดการการผลิต การระบาย และการค้าข้าว ให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ รวมถึงจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการเก็บกักข้าว ให้มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะได้รับจากการดำเนินโครงการ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สำหรับใช้ประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ ก่อนดำเนินโครงการ อาทิ เรื่องค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในกรณีที่ไม่มียุ้งฉางของตนเอง การเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันตลอดระยะเวลาโครงการฯ และวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร เพื่อให้โครงการ เกิดผลในทางปฏิบัติและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนของที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
662 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 | พณ | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่รัฐบาลสามารถรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้ ตามมาตรา ๒๘ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังเหลือเพียงพอต่อการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์ ๒. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๒๓,๓๓๒,๓๓๒.๘๐ บาท ๒.๒ อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงิน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๓ รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ประกอบด้วยการบริหารจัดการการนำเข้า การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การดูแลความสมดุลการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต็อกผลผลิต ๒.๔ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ทั้งการตรวจสอบการรับสิทธิ การสำรวจพื้นที่และผลผลิตที่เข้าร่วมโครงการที่จะต้องมีความรัดกุมและตรวจสอบได้ก่อนจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความน่าเชื่อถือ เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือคุ้มค่างบประมาณ และอยู่ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้ปริมาณการลักลอบนำเข้าส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
663 | แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | กษ | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดี เกษตรกรมีรายได้มั่นคง” ซึ่งในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ไปสู่การปฏิบัติได้มีการกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินการเป็น ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะ ๑-๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) (๒) ระยะ ๖-๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) และ (๓) ระยะ ๑๑-๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๗๐-๒๕๗๙) ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับกรอบระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้มีการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามเป้าหมาย ควรให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรูปรายการมาตรฐานและประมาณราคา รายการปรับปรุงผิวสนามกีฬา รวมทั้งแนวปฏิบัติการจัดจ้างในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ กรณีมีผู้ว่าจ้างเพียงรายเดียว เพื่อเป็นแบบมาตรฐานกลาง และการยางแห่งประเทศไทยควรศึกษาแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติในประเทศเพิ่มเติม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างอุปสงค์ (Demand) ของยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพารา และส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นหรือการเลี้ยงสัตว์ผสมผสานกับการปลูกยางพาราเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อย่างสูงสุด ๔. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดหายางพาราหรือผลิตภัณฑ์จากยางพาราไปใช้ในการดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มมากขึ้น ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่การเกษตร รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกยางพาราที่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่หวงห้ามประเภทอื่น ๆ ให้ครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตรงกัน และให้นำข้อมูลดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ในความรับผิดชอบเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดแนวทางและมาตรการดังกล่าวให้คำนึงถึงผลกระทบและความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
664 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9 | ทส | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๔ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๙ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๙ ซึ่งได้มีการประชุมในระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยที่ประชุมได้มีมติข้อตัดสินใจต่าง ๆ ในประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามอนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ โดยการบรรจุรายชื่อของเสียอันตราย และสารเคมีเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลผูกพันต่อไทยในฐานะภาคีสมาชิกที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับผลการประชุม เช่น การแก้ไขบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย เพื่อกำหนดเป็นวัตถุอันตรายชนิดต่าง ๆ ต่อไป ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติข้อตัดสินใจที่สำคัญในการประชุมรัฐภาคีของ ๓ อนุสัญญาดังกล่าว ดังนี้ ๑.๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการ (๑) ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ภายใต้อนุสัญญาบาเซลฯ เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรายการของเสียอันตราย ภายใต้ขอบเขตการปฏิบัติงานตามกฎหมายภายในประเทศ กล่าวคือ พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับการแก้ไขภาคผนวก ๒ ภาคผนวก ๘ และภาคผนวก ๙ ของอนุสัญญาบาเซลฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขยะพลาสติก (๒) ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐ (Designate National Authority : DNA) ด้านสารเคมีอุตสาหกรรม ภายใต้อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ ดำเนินการแจ้งท่าทีตอบรับนำเข้า (import response) สำหรับสาร hexabromocyclododecane ที่ได้รับการบรรจุเพิ่มเติมในภาคผนวกที่ ๓ ของอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๑๐ ของอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และ (๓) ควบคุมสาร PFOA, its salts and PFOA-related compounds ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๓ ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ๑.๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ดำเนินการ (๑) ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐ ด้านสารเคมีป้องกันจำกัดศัตรูพืชและสัตว์ ภายใต้อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ ดำเนินการแจ้งท่าทีตอบรับนำเข้าสำหรับสาร phorate เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๑๐ ของอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และ (๒) ยกระดับการควบคุมสาร dicofol เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ ๔ ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๓ ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดประชุมชี้แจงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจที่จะต้องดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
665 | การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน | นร01 | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน (สคจ.) ซึ่งได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณถนนลูกหลวง (ข้างกระทรวงศึกษาธิการ) ตั้งแต่วันที่ ๖-๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ จำนวนประมาณ ๔๐๐ คน ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องได้พบปะเจรจากับ สคจ. และได้ประขุมหารือร่วมกันหลายครั้ง โดยได้ข้อสรุปผลการเจรจาแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ซึ่ง สคจ. พอใจและยุติการชุมนุมเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ในการนี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำสรุปกรณีปัญหาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ สคจ. รวม ๓๕ เรื่อง แบ่งเป็น ๕ กรณี ได้แก่ (๑) กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ฝายและอ่างเก็บน้ำ (๒) กรณีปัญหาราคาสินค้าเกษตร (กรณีมะพร้าวราคาตกต่ำของเครือข่ายชาวสวนมะพร้าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) (๓) กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐด้านอุตสาหกรรมและคมนาคม (๔) กรณีปัญหาที่อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินของรัฐ รวมทั้งการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้างที่ดิน และ (๕) กรณีปัญหาแรงงาน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม) เร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรณีที่ราชพัสดุหนองน้ำขุ่น อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กรณีสมัชชาคนจนขอให้ถอนการหวงห้ามที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินในที่ราชพัสดุเขตประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอปากน้ำโพ อำเภอพยุหะคีรี อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ใช้ในราชการกระทรวงมหาดไทย กรณีข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการเกษตร ให้รัฐบาลหยุดการนำเข้าและห้ามใช้สารเคมีอันตรายในพื้นที่เกษตร และกรณีข้อเสนอเชิงนโยบายของ สคจ. ให้รัฐบาลยกเลิกหนี้สินที่ไม่เป็นธรรมให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิก สคจ. ซึ่งเกิดจากแนวทางการพัฒนาที่ดินผิดพลาดของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย (กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม) รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
666 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ และคณะ รวม 3 ราย) | พณ | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
667 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2562 | กษ | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และเห็นชอบ (๑) การเปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบความตกลงการค้า WTO ๓ ปี (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕) ไม่จำกัดปริมาณ อัตราภาษีร้อยละ ๐ และกรอบความตกลงการค้าอื่น ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน และการบริหารการนำเข้าคราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕) (๒) การเปิดตลาดสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว และมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว ภายใต้กรอบความตกลง WTO กรอบความตกลงการค้าอื่น คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕) และการบริหารนำเข้าปีต่อปี (๓) หลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาสินค้ามะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้งและน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว ตามความตกลงการเกษตรภายใต้ WTO สำหรับปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ และ (๔) การเพิ่มองค์ประกอบภาคเอกชนในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช คือ “ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (ด้านมะพร้าว)” เป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช (เพิ่มเติม) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ เช่น กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขัน จับกุมผู้กระทำผิด และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น มะพร้าว น้ำมันปาล์ม อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
668 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... | พณ | 26/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ หน้าที่และอำนาจของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
669 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... | พณ | 26/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ หน้าที่และอำนาจของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
670 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ การจดทะเบียน การออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การออกใบแทน หนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การยกเลิกทรัพย์อิงสิทธิ และการเพิกถอนหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ การออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การจดทะเบียนนิติกรรม หรือการดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 26/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ การจดทะเบียน การออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การออกใบแทนหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การยกเลิกทรัพย์อิงสิทธิ และการเพิกถอนหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับผู้ขอในการยื่นคำขอจดทะเบียนก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ ออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิจดทะเบียน ออกใบแทนหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ เพิกถอนหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ หรือยกเลิกทรัพย์อิงสิทธิ ทั้งยังเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาดำเนินการตามคำขอของผู้ขอในกรณีดังกล่าว ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ การออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การจดทะเบียนนิติกรรม หรือการดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ การออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ การจดทะเบียนนิติกรรม หรือการดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนเกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิ และชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินการ ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
671 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ต้องการให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างที่เกิดจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ปาล์มน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน และเพื่อไม่ให้เป็นภาระสะสมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า กรอบวงเงิน ๒,๐๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท แทนการปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐ หรือการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังค่าไฟผันแปร (Ft) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามผลการดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เพิ่มเติมในส่วนที่อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยส่วนต่างดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ กรอบวงเงิน ๕๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้กับ กฟผ. แล้ว จำนวน ๘๘,๐๘๙,๙๕๓.๔๕ บาท โดยแก้ไขเป็นให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามภารกิจของหน่วยงานและสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมงบประมาณ ศักยภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการของ กฟผ. ด้วย เพื่อมิให้เป็นภาระต่อภาพรวมของงบประมาณภาครัฐ โดยการดำเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด ไม่ซ้ำซ้อน โดยพิจารณาความเป็นธรรมในสังคม และความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐต่อประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันพิจารณาและกำหนดปริมาณการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ในประเทศและปริมาณการส่งออก รวมทั้งควรสนับสนุนให้เกิดการใช้ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นนอกจากการนำไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซล โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่ามากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศในระยะต่อไป ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการค่าใช้จ่าย แหล่งเงิน และประโยชนที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ) วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒) และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ [เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (แก้ไขเพิ่มเติม)] มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้ประเมินผลการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าของภาระงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องสูญเสียกับประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มจะได้รับเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศเป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
672 | การทำคำประกาศ (Declarations) จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วม (Common Regulations) ภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) | พณ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการทำคำประกาศ (Declarations) จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วม (Common Regulations) ภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ ไม่มีบทบัญญัติที่รองรับการปฏิบัติตามระเบียบร่วมที่แก้ไขใหม่ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงได้มีหนังสือจัดทำคำประกาศที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปยังผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อสงวนสิทธิมิให้ประเทศไทยต้องผูกพันตามพันธกรณีที่เกิดขึ้นใหม่จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วมดังกล่าว และเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกได้จัดทำประกาศ (Information notice) ที่ ๓๖/๒๐๑๙ เพื่อยืนยันและแจ้งภาคีพิธีสารมาดริดว่า ประเทศไทยจัดทำประกาศตาม Rule 27bis (6) และ Rule 27ter (2)(b) แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
673 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย (เมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ และเมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑู) ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๖๒ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้น และเพื่อขยายโอกาสและลู่ทางการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ไม้ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง และสินค้าอื่น ๆ ของไทยสู่ตลาดอินเดียให้เพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในอนาคต โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาศักยภาพของไม้ยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดียและกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ และงานสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดีย และกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองเจนไน รวมทั้งเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างเอกชนไทยและอินเดีย และพบปะหารือกับสมาคมการค้าและนักธุรกิจอินเดียรายสำคัญ ทั้งนี้ ยอดรวมการซื้อขายจากกิจกรรมลงนาม MOU การเจรจาทวิภาคี และการจับคู่เจรจาธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ มีมูลค่ารวม ๔,๔๕๐ ล้านบาท และ ณ เมืองเจนไน มีมูลค่า ๗,๖๒๓.๕ ล้านบาท สรุปมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๗๓.๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
674 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ รวมทั้งสิ้น ๒๕ คน ประกอบด้วย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยฯ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทสมัยที่ ๓ จะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาคด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
675 | ร่างอนุบัญญัติออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนของกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวนของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นรวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็น รวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจเพื่อให้เกิดการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ รวมถึงเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและบริการภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
676 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยกเว้นให้รถแทรกเตอร์ใช้แล้วทางการเกษตรสำเร็จเต็มรูปคัน (ไม่รวมกรณีแยกชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์) เฉพาะพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑ สามารถนำเข้าได้โดยเสรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ยกเว้นการควบคุมการนำเข้ารถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ ตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑.๓๐.๐๐ ทุกชนิด เนื่องจากอาจมีผลกระทบกับภาคเกษตรกร ประกอบกับลักษณะทางกายภาพของรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ ตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๔๒๙.๑๑ และประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑.๓๐ มีความใกล้เคียงกัน ซึ่งของตามประเภทพิกัด ๘๔.๒๙ ไม่เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ แต่ของตามประเภทพิกัด ๘๗.๐๑ ได้กำหนดให้เป็นสินค้าที่ต้องควบคุมการนำเข้า ซี่งอาจส่งผลในการตรวจสอบและจำแนกชนิดสินค้าได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ปัจจุบันบรรดากฎซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างยังคงมีผลใช้บังคับอยู่โดยผลของบทเฉพาะกาลตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงสมควรให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการออกกฎที่เกี่ยวข้องตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการใช้บังคับกฎหมายแก่ประชาชนและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการมีบทเฉพาะกาลดังกล่าวด้วย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
677 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไชเพิ่มเติม เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย เนื่องจากพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ได้มีบทบัญญัติควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ใช้ได้สองทางไว้แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ควรดำเนินการเพื่อให้การออกประกาศกำหนดมาตรการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงมีผลใช้บังคับได้ตามระยะเวลาที่พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. ๒๕๖๒ กำหนดด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
678 | ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบีบบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๖๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๖๑ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ประกาศและบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
679 | กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก | ทส | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินงานเพื่อลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมบูรณาการการดำเนินงานในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการการลดให้ถุงพลาสติก และพิจารณากำหนดแนวทาง วิธีการปฏิบัติสำหรับมาตรการการงดให้ถุงพลาสติก การติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และภาครัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพื่อผลิตวัสดุทดแทนพลาสติก รวมทั้งการร่วมสร้างจิตสำนึกการลดการใช้ถุงพลาสติกและส่งเสริมพฤติกรรมในการแยกขยะควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในกรณีกิจการการจัดส่งอาหารและสินค้าที่สั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกควบคู่ไปกับกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาติกด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดให้มีมาตรการด้านภาษีเพื่อลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทางการผลิต หรือมาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำพลาสติกมารีไซเคิล (Recycle) ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดแนวทางการนำขยะพลาสติกมาใช้ในการก่อสร้างถนน โดยให้นำรูปแบบโครงการต้นแบบถนนพลาสติกรีไซเคิลตามหลักการ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ของภาคเอกชน มาต่อยอดและปรับใช้กับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคมให้เหมาะสมต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดแนวทางในการลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดปริมาณการนำเข้าพลาสติกจากต่างประเทศไปพร้อมกับการลดการใช้พลาสติกภายในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
680 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2562 | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อหารือ : แนวทางการดำเนินการเพื่อรองรับการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences : GSP) ที่ประชุมฯ มีมติมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ โดยทูตพาณิชย์ หารือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative : USTR) เพื่อขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาทบทวนเรื่องการยกเลิกการให้สิทธิ GSP แก่ไทย โดยขอให้เจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๓ ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา : โครงการรถไฟไทย-จีน (การกำหนดสกุลเงินที่ใช้ในสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) ที่ประชุมฯ มีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเจรจาต่อรองกับฝ่ายจีนเพื่อกำหนดให้ใช้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ใช้สัญญา ๒.๓ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกำหนดให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการชำระค่างานสัญญา ๒.๓ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเตรียมการของฝ่ายไทยในกรณีที่ไม่สามารถเจรจาให้ได้ข้อยุติได้ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....