ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | โครงการประกันรายได้และมาตรการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2562/63 | พณ | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๒/๖๓ ในวงเงิน ๙,๖๗๑,๕๘๒,๘๐๐ บาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๒/๖๓ ในวงเงินชดเชย ๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๒/๖๓ ในวงเงินชดเชย ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน ทั้งเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขพื้นที่เป้าหมาย การใช้เงิน วิธีการจ่ายเงิน โดยให้คำนึงถึงข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ๒. รับทราบมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ได้แก่ การบริหารจัดการการนำเข้าส่งออก การส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในประเทศเพิ่มขึ้น และการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามมาตรการดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายมันสำปะหลัง มาตรการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง ตามลำดับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินมาตรการเพิ่มช่องทางจำหน่ายและใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เช่น การแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังสามารถผลิตและจำหน่ายเอทานอลให้แก่อุตสาหกรรมอื่นได้นอกเหนือจากการใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือเป็นผู้รับจ้างผลิตให้แก่องค์การสุรา เป็นต้น รวมทั้งการแก้ไขปัญหาและผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังให้ครอบคลุมในทุกมิติ เช่น การควบคุมดูแลพื้นที่เพาะปลูกและป้องกันมิให้เกิดการบุกรุกที่ดินในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิเพื่อเพาะปลูกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น การทำสัญญาเช่าที่ดินของรัฐให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินของรัฐ เป็นต้น โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรณีการดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ที่ต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติโดยด่วนต่อไป ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
682 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2562 | นร11 | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา : นโยบาย แนวทาง และมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบมาตรการ MSME 2020 : Micro SME 2020 รวม ๑๓ มาตรการ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ โดยให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับประเด็นความเห็นของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ พร้อมทั้งหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอให้คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา : โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบให้นำผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ ตามที่กรุงเทพมหานครและกระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปได้ โดยให้กรุงเทพมหานครเร่งดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติมของที่ประชุมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ เรื่องเพื่อทราบ : มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ และสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุด (เดือนกันยายน ๒๕๖๒) ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทย และชี้แจงข้อมูลแก่ประชาชนให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
683 | รายงานผลการเดินทางเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 06/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางเยือนนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ กันยายน ๒๕๖๒ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบหารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน (นายหาน เจิ้ง) โดยไทยได้ให้ข้อมูลพัฒนาการของโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และเน้นย้ำการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่วนจีนได้เสนอการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ได้แก่ เทคโนโลยี 5G พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ปัญญาประดิษฐ์ และอุตสาหกรรม Hi-Tech และหวังว่าไทยในฐานะประธานอาเซียนจะช่วยผลักดันการเชื่อมโยงนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) กับแผนแม่บทว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity 2025 : MPAC) รวมถึงแผนพัฒนาความร่วมมือภายใต้กรอบแม่โขง-ล้านช้าง ๒. การพบหารือกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (นายลู่ ซิน เซ่อ) ทั้ง ๒ ฝ่ายได้ยกประเด็นขึ้นหารือใน ๔ เรื่องหลัก ได้แก่ (๑) การสนับสนุนโครงการมุ่งลงใต้ โดยพัฒนาโลจิสติกส์ การค้า และการลงทุน จากมณฑลเสฉวนสู่อาเซียน (๒) ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน โดยไทยขอให้จีนเชื่อมั่นในมาตรฐานสินค้าและความเข้มงวดของการตรวจสอบ รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่ตลาดจีน และได้เชิญนักลงทุนเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ซึ่งมีความพร้อมในการป้อนวัตถุดิบยางพาราเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง. (๓) การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจการเงินของไทยจัดตั้งธุรกิจในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และ (๔) การส่งเสริมการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนทั้ง ๒ ฝ่าย และการแลกเปลี่ยนด้านภาษาและวัฒนธรรม ๓. การร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานแสดงสินค้า China-ASEAN Expo (CAEXPO) ครั้งที่ ๑๖ ซึ่งเป็นมหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติที่รัฐบาลจีนให้การรับรอง มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างอาเซียนและจีน โดยได้ชื่นชมวิสัยทัศน์และแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวจีนผ่านนโยบาย BRI ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมทั้งเป็นประธานเปิด Pavilion of City of Charm ซึ่งมีจังหวัดบุรีรัมย์เป็นตัวแทนเมืองแห่งมนต์เสน่ห์ (City of Charm) รวมถึงได้พบปะผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอาหาร แฟชั่น อัญมณีและเครื่องประดับ สุขภาพ/ความงาม และของใช้ของตกแต่งบ้าน ๕. การเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซื้อ-ขายสินค้ามันสำปะหลัง ซึ่งเป็นการลงนามซื้อ-ขายมันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลังระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าจีน จำนวน ๔ คู่ รวม ๒.๘๖ ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า ๖๐๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๖. การพบหารือกับผู้แทนภาครัฐและเอกชนไทย-จีน ที่มีบทบาทสำคัญด้านการซื้อ-ขายผลผลิตยางพารา มันสำปะหลัง และผลไม้ โดยรับทราบถึงปริมาณความต้องการ ประเภทสินค้า รวมถึงช่องทางการติดต่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาซื้อ-ขายและลงทุนในอนาคต ๗. แผนการดำเนินงานเร่งด่วน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดงานเทศกาลผลไม้ไทยในวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหนานหนิง และจะเชิญผู้นำเข้าต่างชาติในกลุ่มสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้ เข้าร่วมงานจับคู่เจรจาการค้าในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ ประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
684 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - ภูฏาน ครั้งที่ 3 | พณ | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการของภูฏาน (นายล็อกนัท ชาร์มา) เป็นประธานร่วมการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างไทยและภูฏานมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จาก ๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๕๗ เป็น ๓๙.๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗๗ โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันไว้ที่ ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ และไทยยินดีสนับสนุนภูฏานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยไทยยินดีให้การสนับสนุนภูฏานในการส่งเสริมการส่งออกสินค้ามายังไทย ซึ่งภูฏานสามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้โครงการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Duty Free Quota Free : DFQF) ซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมกว่า ๖,๙๙๘ รายการ (๒) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่กระชับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การแจ้งกฎระเบียบกานำเข้าสินค้าเกษตรของภูฏานมายังไทย และการสนับสนุนด้านหัตถกรรมแก่ภูฏาน โดยศูนย์ส่งเสริมศิลปชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) ของไทย กับกรมอุตสาหกรรมครัวเรือนของภูฏาน และ (๓) ประเด็นอื่น ๆ โดยไทยยินดีสนับสนุนความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ภูฏานในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาระบบต่าง ๆ เช่น การขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication : GI) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การประชาสัมพันธ์กฎระเบียบด้านการลงทุนและโครงการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของภูฏานให้กับนักลงทุนไทยที่สนใจ เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับภูฏานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ สสว. กำหนดนโยบายและประสานการขับเคลื่อนการพัฒนาความร่วมมือด้านการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs) ของไทย เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ และเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดหน่วยงานหลักรับผิดชอบในแต่ละประเด็นความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำงานร่วมกัน รวมทั้งควรมีการติดตามความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินงาน และรายงานคณะรัฐมนตรีรับทราบอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
685 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการมาตรฐานสินค้า (จำนวน 5 คน 1. นายอิทธิพล ช้างหลำ ฯลฯ) | พณ | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการมาตรฐานสินค้า จำนวน ๕ คน แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายอิทธิพล ช้างหลำ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานสินค้า ๒. นายอภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านห้องปฏิบัติการ ๓. นางลัดดาวัลย์ กรรณนุช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว ๔. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๕. นางสาวเกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมันสำปะหลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
686 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2563 | พณ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ ๒๕๖๓ มีจำนวน ๒๐๕ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๙๕๔.๘๑ ล้านบาท เป็นโครงการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๐ หน่วยงาน ประกอบด้วย (๑) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๔๓ โครงการ วงเงินรวม ๖๖๗.๔๖ ล้านบาท (๒) ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๔๘ โครงการ วงเงินรวม ๒๘.๔๔ ล้านบาท (๓) ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ จำนวน ๑๓ โครงการ วงเงินรวม ๒๓๘.๙๑ ล้านบาท และ (๔) แผนงานตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน (โครงการเร่งด่วนที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี) จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๒๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
687 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ๑.๓ คณะกรรมการป้องกันผลกระทบอันเนื่องจาก “การให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา” ๑.๔ คณะกรรมการนโยบายอาหาร ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในการขอให้คงอยู่ของคณะกรรมการฯ ตามข้อ ๑ ที่ไม่มีการประชุมเลย หรือที่มีการจัดประชุมเพียง ๑-๒ ครั้ง ในรอบ ๓ ปี ที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒) อีกครั้งหนึ่ง และให้แจ้งยืนยันไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
688 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 51 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers : AEM) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๕-๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์) เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันรับรอง/เห็นชอบเอกสาร ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) แผนการดำเนินงานตามกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๘ (๒) แนวทางการพัฒนาแรงงานมีทักษะ/ผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ (๓) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาเซียนไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ (๔) แนวทางในการส่งเสรมการใช้ดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยอาเซียน (๕) การปรับปรุงข้อบทืว่าด้วยระเบียบวิธีปฏิบัติด้านหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อรองรับระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (๖) การปรับปรุงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน และ (๗) ขอบเขตการดำเนินงานของการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการหารือกับคู่เจรจาของอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ตลอดจนการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN-BAC) และการหารือทวิภาคีกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย รัสเซีย และอินเดีย ทั้งนี้ การประชุมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศสมาชิกคู่เจรจาต่างให้การสนับสนุนไทยในฐานะประธานอาเซียนในการผลักดันประเด็นต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมาย นอกจากนี้ เป้าหมายการสรุปการเจรจา RCEP ให้ได้ในปีนี้ นอกจากเป็นประเด็นสำคัญที่อาเซียนร่วมกันผลักดันให้สำเร็จแล้วยังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างจับตามอง ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของอาเซียนและคู่เจรจาในการเชื่อมโยงระบบการค้าการลงทุนเข้าด้วยกัน โดยยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดถือกฎเกณฑ์และกติกาเป็นสำคัญ ท่ามกลางกระแสความท้าทายทางการค้าโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
689 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการอนุญาตเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. .... | มท | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการอนุญาตเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการฮัจย์ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวัฒนธรรมที่เห็นควรระบุข้อความในหมวด ๒ การคุ้มครองผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ข้อ ๑๑ (๙) และแก้ไขข้อความในร่างข้อ ๒ (ก) ให้ชัดเจน รวมทั้งกรณีการออกคำสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต ควรระบุรายชื่อกรรมการหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนของนิติบุคคลที่เป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นถูกสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตไว้ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการไปจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติฮัจย์ พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฮัจย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรกำหนดให้ช่วงระยะเวลาทำการบินรับ-ส่ง ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ต่อเนื่องกันทั้งขาไปและขากลับเนื่องจากเป็นภารกิจเฉพาะ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ การทำการบินมีระยะห่างช่วงเวลาประมาณ ๒๐ วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการอำนวยความสะดวกของผู้เดินทาง เช่น การให้บริการเต็นท์ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
690 | การให้การรับรองบัญชีรายการสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA) ของอาเซียน ในระบบฮาร์โมไนซ์อาเซียน (AHTN) 2017 (ภาคผนวก 4 ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน) | พณ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้การรับรองบัญชีรายการสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA) ของอาเซียนในระบบฮาร์โมไนซ์อาเซียน (AHTN) 2017 (ภาคผนวก ๔ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน) และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามหนังสือแจ้งการให้การรับรองดังกล่าวของไทยไปยังเลขาธิการอาเซียน โดยการดำเนินการในครั้งนี้เป็นการปรับโอนพิกัดศุลกากรของบัญชีรายการสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA) ของอาเซียน ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) (สินค้าในบัญชีรายการสินค้า ITA ของอาเซียนที่ประกอบขึ้นมาจากวัตถุดิบที่อยู่ในบัญชีดังกล่าวเช่นเดียวกัน จะถือว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศสมาชิกอาเซียน) โดยปรับโอนพิกัดฯ จากระบบฮาร์โมไนซ์อาเซียน (AHTN) 2012 เป็นระบบ AHTN 2017 เพื่อให้สอดคล้องกับการนำระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) 2017 มาใช้แทนระบบ HS 2012 ขององค์การศุลกากรโลก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีรายการสินค้าดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
691 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการคว่ำบาตรสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย (ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำเข้าจากรัฐเอริเทรีย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ) | พณ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามออกไปสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฯ ซึ่งเป็นไปตามข้อ ๒๕ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ๒. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำเข้าจากรัฐเอริเทรีย พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำเข้าจากรัฐเอริเทรีย พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นไปตามข้อ ๒๕ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
692 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ในฐานะรองประธาน กนย. เป็นประธานการประชุม ซึ่ง กนย. มีมติรับทราบสถานการณ์ยางพาราโลกและสถานการณ์ยางพาราไทย ในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๖๒ และผลการดำเนินงานโครงการตามมติ กนย. ด้านการผลิตด้านการตลาดและการแปรรูประหว่างปี ๒๕๕๗-๒๕๖๒ รวมทั้งมีมติให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ (๑) โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ (๒) ขออนุมัติขยายวงเงินสินเชื่อและปรับปรุงวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท (๓) ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท (๔) ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท (๕) ขออนุมัติขยายระยะเวลาและปรับปรุงวิธีการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ และ (๖) แนวทางการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนย. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
693 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | พณ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๓ มีสาระสำคัญเป็นการหารือเกี่ยวกับกลไกของคณะทำงานฯ เพื่อที่จะเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และแผนสำหรับความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศสมาชิกของคณะทำงานฯ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation JWG-CBEC under MLC) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาถึงประเด็นที่เป็นจุดเน้นหลักของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนที่สอดคล้องกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติสามารถผลักดันขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และส่งผลให้ไทยใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างได้อย่างเต็มที่ และควรผลักดันให้จีนในฐานะประเทศผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ได้มีบทบาทนำในการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ในสาขาที่จีนมีความเชี่ยวชาญร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ อาทิ การนำใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกิจกรรมโลจิสติกส์ และการผลิตในอุตสาหกรรมเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
694 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 43) พ.ศ. 2530 พ.ศ. .... | พณ | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๔๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อยกเลิกการกำหนดให้สินค้ากุ้งและปลาหมึกแช่เย็นหรือแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีกุ้งผสมที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองด้านสุขอนามัย และผู้ส่งออกต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ค้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและอาหารแช่เยือกแข็งไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
695 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ และนายกีรติ รัชโน) | พณ | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่เกษียณอายุราชการ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๒. นายกีรติ รัชโน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
696 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 42 สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | พณ | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ เพื่อเป็นค่าเช่าสำนักงานในต่างประเทศและค่าเช่าบ้านของข้าราชการในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น ๑๖ รายการ วงเงินงบประมาณ ๗๔,๓๗๐,๓๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบด้วย ค่าเช่าสำนักงานในต่างประเทศ จำนวน ๔ แห่ง วงเงิน ๒๔,๐๘๔,๐๐๐ บาท และค่าเช่าบ้านของข้าราชการในต่างประเทศ จำนวน ๑๒ ราย วงเงิน ๕๐,๒๘๖,๓๐๐ บาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ สำหรับรายการค่าเช่าสำนักงานในต่างประเทศ ๔ แห่ง จำนวน ๑๒,๐๔๒,๐๐๐ บาท และค่าเช่าบ้านของข้าราชการในต่างประเทศ ๑๒ ราย จำนวน ๒๑,๑๔๘,๘๐๐ บาท รองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการดำเนินการเกี่ยวกับการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานในต่างประเทศ และค่าเช่าบ้านของข้าราชการในต่างประเทศ ของสำนักงานส่งเสริมการค้าในประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรังดำเนินการหรือเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จก่อนที่สัญญาเช่าเดิมจะสิ้นอายุ เพื่อให้สามารถต่ออายุสัญญาเช่าใหม่ได้ทันโดยไม่กระทบหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการปฏิบัติงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
697 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ 3 | พณ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๓ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อให้คณะผู้แทนไทย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนเป็นประธานฝ่ายไทยใช้หารือกับฝ่ายภูฏาน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีและจุดยืนขอไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่อาจมีการหารือกันเพิ่มเติม และหากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับไทย-ภูฏาน ขอให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรแจ้งผลการประชุมดังกล่าวให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับทราบ รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวเพื่อให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
698 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ | พน | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อราษฎรได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๔ กลุ่ม จำนวน ๕๒๓ ราย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๗,๗๖๓.๘๓ ไร่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๒๖,๒๗๖,๑๗๖ บาท โดยขอปรับเนื้อที่ผลการอ่านแปลการครอบครองและทำประโยชน์ของราษฎรที่มีเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ ให้ปรับเป็น ๑ ไร่ หากมีเนื้อที่เกิน ๑ ไร่ ให้คิดตามความเป็นจริง ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพลังงานใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง เพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ กับราษฎรในกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ที่ได้ยื่นคำร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเรียกร้องเฉพาะที่ดินที่ผ่านการอ่านแปลจากภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนที่เพิ่มขึ้น และแสดงเจตนาสละสิทธิ์การเรียกร้องดังกล่าวทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบทรัพย์สินราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้การจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเงินต้องยืนยันว่าเรื่องถึงที่สุดแล้วจะไม่เรียกร้องเพิ่มเติม และจะไม่มอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเรียกร้องเพิ่มเติมด้วย โดยให้มีผู้ที่ได้รับเงินในครั้งเดียวกันลงนามรับรองร่วมกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน และเห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ๑.๔ รับทราบกรณีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ที่ยังไม่ได้จัดทำบัญชีรายชื่อ กลุ่มที่ ๓ จำนวน ๑๑๙ ราย และกลุ่มที่ ๔ จำนวน ๑๐ ราย รวม ๑๒๙ ราย เนื้อที่รวม ๑,๖๗๐.๘๒ ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๘,๕๒๐,๘๕๖ บาท นั้น กระทรวงพลังงานจะได้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปีหกเดือน นับจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อ ๑.๑ ๒. สำหรับการเบิกจ่ายเงินชดเชย เห็นควรให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ รวมทั้งเห็นควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
699 | พิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ 4 (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามแล้ว โดยพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของข้อบทการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ (Prohibition of Performance Requirements : PPR) เช่น การกำหนดให้ใช้วัตถุดิบในประเทศ การกำหนดสัดส่วนปริมาณหรือมูลค่าของการนำเข้าและส่งออก หรือการกำหนดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาลงทุน การห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่มีระดับเกินกว่าที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Investment Measures : TRIMs) ขององค์การการค้าโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับความตกลงฯ ให้มีมาตรฐานที่สูงและเป็นสากลมากขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ ให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
700 | รัฐบาลฟิลิปปินส์แจ้งไม่ต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ | พณ | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอว่า รัฐบาลไทยไม่จำเป็นต้องต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ไปอีก ๒ ปี คือ ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒ เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินส์แจ้งว่าได้ออกกฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว (Republic Act No. 11203) ยกเลิกการจำกัดปริมาณนำเข้าข้าว โดยให้ผู้นำเข้าเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้อย่างเสรี เป็นผลให้ National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานนำเข้าข้าวของรัฐบาลฟิลิปปินส์จะไม่นำเข้าข้าวอีกต่อไป ทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ดังกล่าวได้
|
.....