ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2546 พ.ศ. .... | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๖ เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายเฉพาะแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
642 | แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ หลักการสำคัญในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G (๑) รัฐบาลของประเทศคู่เจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทยจะต้องเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดำเนินการแทนรัฐบาลเท่านั้น เว้นแต่หน่วยงานผู้แทนรัฐบาลของประเทศผู้ซื้อบางประเทศที่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวเพียงหน่วยงานเดียวโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาช้านาน (๒) การชำระเงิน ต้องเป็นการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าวได้ และ (๓) จะต้องส่งข้าวออกไปจากประเทศไทยจริง ๑.๒ ขั้นตอนในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G โดยทั่วไปจะเริ่มจากรัฐบาลประเทศผู้ซื้อแจ้งความประสงค์ขอซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย โดยมีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์หรือกรมการค้าต่างประเทศโดยตรง หรือมีหนังสือผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศหรือช่องทางการทูต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการเจรจาซื้อขายข้าว รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาภายใต้กรอบที่ได้รับความเห็นชอบ จนกระทั่งสามารถตกลงราคาและรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในร่างสัญญาได้แล้ว ๑.๓ การเปิดเผยข้อมูลในสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G จะพิจารณาเปิดเผยข้อมูลบางส่วนตามความเหมาะสม โดยไม่ขัดต่อข้อกำหนดในสัญญาและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศผู้ซื้อ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้รัฐบาลกลางของประเทศผู้ซื้อมีหนังสือถึงรัฐบาลไทยยืนยันการมอบอำนาจในกรณีที่จะให้รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนของประเทศตนเป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขาย เนื่องจากประเทศ เช่น จีน มีรัฐวิสาหกิจในหลายระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
643 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดด่านนำเข้าและด่านนำผ่านน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง (๖) และมาตรา ๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ขอให้กระทรวงพาณิชย์คำนึงถึงผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
644 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๒ เพิ่มเติม จำนวน ๔ รายการ คือ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔) เศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
645 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส) | พณ | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
646 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเครนส์ ครั้งที่ 41 | พณ | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเครนส์ ครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรอง โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเครนส์ (Cairns Group Ministerial Meeting : CGMM) ครั้งที่ ๔๑ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เสนอให้มีการเจรจาเพื่อลดมูลค่าการอุดหนุนภายในที่บิดเบือนการค้าโดยรวมที่สมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ทุกประเทศผูกพันไว้ อย่างน้อยร้อยละ ๕๐ ภายในปี ๒๕๗๓ โดยการลดมูลค่าการอุดหนุนจะเป็นไปตามสัดส่วนของวงเงินการอุดหนุนภายในที่สมาชิก WTO แต่ละประเทศมีสิทธิ์ใช้และผลกระทบต่อตลาดโลก และคำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาประเทศของสมาชิก WTO ด้วย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรคำนึงถึงการกำหนดนโยบายและมาตรการที่อาจถือว่าเป็นการอุดหนุนสินค้าเกษตรของไทย เพื่อให้การดำเนินการของไทยไม่ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
647 | แนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ตามพันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) | กษ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และมันฝรั่ง ภายใต้พันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement : TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (The Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าดังกล่าว เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติม จากเดิม “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง” เป็น “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ภายในประเทศ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ตามข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลรายงานการนำเข้าเสนอคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับกรณีราคาในประเทศตกต่ำ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
648 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2562/2563 | อก | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ในอัตรา ๗๕๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๙๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๗๖๖.๐๑ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๕.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เท่ากับ ๓๒๑.๔๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การยกระดับคุณภาพความหวานของอ้อยเพื่อลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศ เพื่อให้ชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทรายมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น และรองรับภาวะราคาน้ำตาลทรายในตลาดสากลตกต่ำในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยลดการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
649 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย ฯลฯ รวม 3 ราย) | พณ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางลลิดา จิวะนันทประวัติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
650 | ผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 | กษ | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ มีมติอนุมัติงบประมาณค่าบริหารโครงการฯ จำนวน ๑๘๑,๘๔๖,๒๔๖ บาท จากกองทุนพัฒนายางพารา เพื่อใช้เป็นค่าบริหารโครงการฯ เฉพาะในส่วนของเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) (จำนวน ๑,๑๒๙,๓๓๖ ราย) และสำหรับค่าบริหารโครงการฯ ที่เหลือ จำนวน ๕๒,๘๗๓,๙๗๐ บาท ซึ่งเป็นค่าบริหารโครงการฯ แก่เกษตรกรชาวสวนยางที่มาแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับ กยท. (ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน ๒๘๒,๖๘๑ ราย) ให้ กยท. เร่งดำเนินการหาแนวทางเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินโครงการฯ กำกับดูแล ติดตามการดำเนินงาน และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ๑.๓ การจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ งวดที่ ๑ (วันที่ ๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ กยท. ส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. โดยมีเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีด จำนวน ๖๔๐,๓๐๐ ราย พื้นที่ ๗,๑๐๗,๙๑๔.๙๒ ไร่ รวมจ่ายเงินทั้งสิ้น ๕,๕๑๕,๔๘๔,๔๑๘.๔ บาท จากเป้าหมาย ๑,๗๑๑,๒๕๒ ราย และ ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินแล้ว รวมทั้งสิ้น ๔๙๕,๙๓๐ ราย จำนวนเงิน ๒,๘๓๔,๕๔๙,๖๑๕.๑๗ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการเสริมอื่นที่เกี่ยวข้องทุกโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรของภาคเอกชนที่ต้องมีการรับซื้อในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับราคาตลาด ทั้งนี้ หากพบว่ามีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการประการใด ก็ให้เร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขหรือมาตรการเสริมอื่นเพิ่มเติมโดยเร็วต่อไป ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า) ให้ทุกส่วนราชการที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยางพาราเร่งรัดจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาในภาพรวมต่อไป นั้น มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการรวบรวมแผนงาน/โครงการดังกล่าวสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จากทุกส่วนราชการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
651 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 | กษ | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งได้พิจารณาเห็นชอบการดำเนินการ ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การปรับแผนการดำเนินการตามมาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า (๒) การขอขยายระยะเวลาดำเนินการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (๓) การทบทวนมาตรการบริหารการนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม และ (๔) แนวทางการกำหนดด่านนำเข้าและนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธาน กนป. เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) เร่งดำเนินการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ถังเก็บน้ำมัน (มิเตอร์) ในโรงสกัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่ในสต็อกได้อย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน และใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการปริมาณปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง รวมทั้งรักษาสมดุลในด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
652 | แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ | นร12 | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจาก ก.พ.ร. แล้ว ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ และเห็นควรให้เพิ่มเติมข้อมูลความคิดเห็นจากส่วนราชการเกี่ยวกับแนวทางการยกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น และให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซี่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการค้าภายใน กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมศิลปากร และกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ ซึ่งหลายหน่วยงานเห็นด้วยต่อแนวทางการทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในปัจจุบัน แต่ยังไม่เห็นควรให้ยกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในบางกระบวนการ และได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบางกระบวนการเป็นรายได้นอกงบประมาณที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในส่วนอื่น เช่น การสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่น ทำให้หน่วยงานยังคงมีความจำเป็นต้องจัดเก็บต่อไป เป็นต้น และควรพิจารณาอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมหลังจากการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งาน และควรทบทวนความคุ้มทุน เช่น ด้านอัตรากำลัง และด้านเอกสาร เพื่อให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับปัจจุบัน และเสนอผลการดำเนินการต่อสำนักงาน ก.พ.ร. ภายใน ๓ เดือน (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ควรปรับการทำงานให้สามารถดำเนินงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ควรมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับปัจจุบัน และควรพิจารณาขยายระยะเวลาเพื่อให้ส่วนราชการได้มีการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
653 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐตุรกีและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐตุรกีและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ รวมทั้งรับทราบการดำเนินงานและการวางนโยบายและแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างไทยกับทั้ง ๒ ประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรม ณ สาธารณรัฐตุรกี เมืองอิสตันบูล ได้แก่ การเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับบริษัทผู้นำเข้าตุรกี จำนวน ๑๐ ฉบับ เป็นมูลค่า ๓,๕๑๖.๖๐ ล้านบาท และการนำภาคเอกชนเข้าร่วมกิจกรรม Business Networking ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี และมีการเจรจาเพิ่มเติมจากการลงนามความร่วมมือ (MOU) อีก ๒ ฉบับ เป็นมูลค่า ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. กิจกรรม ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมืองดีสเซลดอร์ฟ ได้แก่ การเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับบริษัทผู้นำเข้าเยอรมนี จำนวน ๒ ฉบับ รวมมูลค่าทั้งสิ้น ๒๓๘ ล้านบาท การเยี่ยมชมกิจกรรมสาธิตการปรุงอาหารไทยและ Thai Food Conner ณ ห้าง METRO Deutschland GmbH เมืองดีสเซลดอร์ฟ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์อาหารไทยและวัตถุดิบในการปรุงอาหารไทย การนำภาคเอกชนไทยเข้าร่วมแสดงสินค้าและเจรจาการค้าในงาน MEDICA 2019 ครั้งที่ ๕๐ และการนำการยางแห่งประเทศไทยเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการเยอรมนีซึ่งใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ๓. แผนดำเนินการเร่งด่วนต่อยอดจากการเดินทางในครั้งนี้ ได้แก่ การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี การเร่งจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับยุโรป การส่งเสริมการเพิ่มมูลค่ายางพาราดิบ และการส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานสินค้าที่จะส่งออกไปยังยุโรปให้ผ่านเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยทางด้านอาหาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
654 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๖-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานในพิธีเปิดงาน American Film Market (Thai Night) ในวันศุกร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยงาน Thai Night จัดขึ้นภายใต้แก่นเรื่อง “Thailand Film Brilliance” เพื่อเฉลิมฉลองความเจิดจรัสของวงการภาพยนตร์ไทย โดยมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานจำนวนกว่า ๕๕๐ ราย จาก ๑๖ ประเทศ รวมถึงนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ชั้นนำ ถือเป็นการประกาศศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ๒. กิจกรรมเจรจาธุรกิจในงาน American Film Market 2019 ระหว่างวันที่ ๖-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ มีผู้ประกอบการไทยร่วมงาน ๘ บริษัท เกิดผลเจรจาธุรกิจเป็นมูลค่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท และยังได้ขยายตลาดไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ๆ มากขึ้น โดยในช่วงปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สามารถสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรม Digital content ไทยมากกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๓. การหารือความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตการ์ตูนเคลื่อนไหวระดับโลกและกลุ่มนักออกแบบการ์ตูนเคลื่อนไหวชาวไทย ได้แก่ บริษัท Nickelodeon Animation Studio และบริษัท Walt Disney Studio ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะผลักดันความร่วมมือกับทั้งสองบริษัทในการส่งเสริมให้คนไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือและเพิ่มพูนประสบการณ์ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตการ์ตูนเคลื่อนไหวชั้นนำระดับโลก รวมทั้งการสร้าง Animation Community Network ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ๔. การพบหารือผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญในสหรัฐอเมริกา โดยได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การนำเข้าข้าว ปัญหาอุปสรรคการจำหน่ายข้าวไทยในสหรัฐอเมริกา และแนวทางส่งเสริมความร่วมมือและการส่งออกข้าวไทยมาตลาดสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปัญหาการรักษาคุณภาพมาตรฐานข้าวหอมมะลิไทย และกฎระเบียบว่าด้วยการกำหนดระดับค่าตกค้างของสารโลหะหนักในสินค้าข้าวของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
655 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 | พณ | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ เพื่อให้คณะผู้แทนไทย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนเป็นประธานฝ่ายไทยใช้หารือกับฝ่ายบังกลาเทศในการประชุม JTC ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๘-๙ มกราคม ๒๕๖๓ ณ กรุงเทพมหานคร โดยท่าทีไทยฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีและจุดยืนของไทยในความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การเกษตร ประมงและปศุสัตว์ การบริการสุขภาพและสาธารณสุข การเชื่อมโยงทางคมนาคม ตลอดจนความร่วมมือด้านอื่น ๆ อาจมีการหารือกันเพิ่มเติม เป็นต้น ทั้งนี้ หากในการประชุม JTC ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับบังกลาเทศ ให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเด็นการให้สิทธิพิเศษในการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (Duty Free Quota Free : DFQF) แก่สินค้าตามที่บังกลาเทศร้องขออย่างรอบคอบโดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่ม เพื่อไม่ให้กระทบกับอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
656 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | พณ | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Working Group on Cross-Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation : JWG-CBEC) ครั้งที่ ๓ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะทำงานฯ รับทราบข้อมูลเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่อง ซึ่งรวมถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ หน้าที่ ภารกิจ และมาตรการที่สำคัญของมณฑลยูนนาน รวมถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์ท้องถิ่น สิทธิพิเศษทางภาษี นโยบายการถือครองที่ดิน และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง ๒. ที่ประชุมคณะทำงานฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในร่างที่ ๖ ของแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน รวมทั้งได้พิจารณาหลักการและกลไกที่จะทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้างของคณะทำงาน JWG-CBEC ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ๓. ที่ประชุมคณะทำงานฯ เห็นพ้องที่จะปรับปรุงร่างที่ ๖ ของแผนพัฒนาระยะ ๕ ปีฯ และจะหาข้อสรุปให้ได้โดยเร่งด่วน เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ครั้งที่ ๕ และที่ประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๓ ในช่วงต้นปี ๒๕๖๓ โดยผู้จัดทำแผนจะทำการรวบรวมข้อคิดเห็นทั้งหมดจากประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อปรับปรุงร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปีฯ และจะได้เวียนร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปีฯ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้วเพื่อขอรับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง และขอให้ส่งความเห็นกลับมาภายในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
657 | รายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมพิธีเปิดงาน China International Import Expo (CIIE) 2019 ซึ่งเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติประจำปีที่สำคัญเป็นลำดับต้นของจีน โดยในปี ๒๕๖๒ ไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศแขกเกียรติยศ (Guest Country of Honor) โดยมีประธานาธิบดีของจีน (นายสี จิ้นผิง) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมแสดงสินค้า จำนวน ๔๖ ราย คาดการณ์มูลค่าซื้อขายในระยะเวลา ๑ ปี ประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. การพบหารือผู้บริหารและเยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่า เฟรช (Hema Fresh หรือ Freshhippo) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอาลีบาบาที่ให้บริการด้านการค้าปลีกผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีสินค้าไทยวางจำหน่ายมากกว่า ๕๐๐ รายการสินค้า ซึ่งผู้บริหารของซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าวเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยมีโอกาสขยายตัวอีกมากในตลาดจีน โดยกระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปวางจำหน่ายให้มากขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายสินค้าไทยปี ๒๕๖๒ อยู่ที่ประมาณ ๔๕๐ ล้านหยวน หรือประมาณ ๒,๐๒๕ ล้านบาท ๓. การพบหารือผู้บริหารระดับสูงของอาลีบาบา โดยอาลีบาบายินดีส่งเสริมการตลาดและการส่งออกสินค้าเกษตรร่วมกัน อาทิ หมอนยางพารา ข้าว ผลไม้ สินค้าอาหาร และสินค้าศักยภาพอื่น ๆ ในอนาคต ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลของไทย ๔. กิจกรรมการเปิดตัวโครงการความร่วมมือการจำหน่ายสินค้าไทยผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ TOPTHAI Flagship Store บนแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Tmall Global ของอาลีบาบา มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันตราสินค้าไทยระดับสูงและตราสินค้าไทยที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์เข้าสู่ตลาดจีน ตั้งเป้าผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมไม่น้อยกว่า ๑๐๐ บริษัท สร้างยอดจำหน่ายได้ไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ล้านบาท ใน ๓ ปี ๕. การพบหารือผู้บริหารตลาดหลงอู๋ (Longwu) และผู้นำเข้าผลไม้รายสำคัญ โดยตลาดหลงอู๋เป็นหนึ่งในตลาดนำเข้า ค้าส่ง ค้าปลีกผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในนครเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่ามูลค่าการนำเข้าผลไม้ไทยในปี ๒๕๖๒ จะอยู่ที่ ๑,๗๔๐ ล้านหยวน หรือประมาณ ๗,๘๓๐ ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์จะผลักดันให้มีการนำเข้าผลไม้ไทยมากขึ้น และคาดว่าในปี ๒๕๖๓ มูลค่าการนำเข้าผลไม้ไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๒๐ ๖. แผนการดำเนินงานเร่งด่วน เพื่อขับเคลื่อนการส่งออกของไทยให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้เชิญผู้นำเข้าจากต่างประเทศในกลุ่มสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้เข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ผลิต/ผู้ส่งออกของไทย ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และกำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในจีน เพื่อยกระดับการส่งออกผลไม้และสินค้านวัตกรรมจากผลไม้ไทยตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
658 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. .... | กษ | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร โดยกำหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเพื่อการรับรองเฉพาะด้าน (Organic Thailand) เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานตามมาตรฐานสากล ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความ “ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานกับสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๓” ในร่างกฎกระทรวงนี้ เพื่อเป็นการป้องกันความคลาดเคลื่อนและสับสนแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องที่ถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมายและการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ควรกำชับผู้ได้รับใบรับรองมาตรฐานพึงระมัดระวังในการนำเครื่องหมายรับรองที่มีแถบสีธงชาติไปแสดงหรือใช้ตามร่างกฎกระทรวงนี้ไม่ให้มีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติประเทศไทยหรือชาติไทย และเป็นการกระทำไปโดยสมควร เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๖ และข้อ ๑๕ ทวิ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และควรให้ความรู้ความเข้าใจในการขอรับใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรแต่ละชนิด รวมถึงการใช้และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรในแต่ละรูปแบบโดยเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถขอรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและนำเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้มีการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
659 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 และการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP Summit) ครั้งที่ 3 | พณ | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ ๑๘ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เป็นประธานการประชุม และการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP Summit) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งการประชุม AEC Council ครั้งที่ ๑๘ มีประเด็นที่สำคัญ เช่น ประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้อาเซียนร่วมดำเนินการให้สำเร็จในปีนี้ การดำเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ เป็นต้น และการประชุม RCEP Summit ครั้งที่ ๓ ประเทศสมาชิก RCEP ๑๕ ประเทศ ได้ข้อสรุปการเจรจาจัดทำความตกลงและการเจรจาเปิดตลาดในส่วนที่สำคัญทุกประเด็นแล้ว และมอบให้คณะเจรจาไปเริ่มขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมาย เพื่อลงนามความตกลงได้ในปี ๒๕๖๓ โดยอินเดียยังมีประเด็นคงค้างสำคัญที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ซึ่งประเทศสมาชิกจะทำงานร่วมกันเพื่อหาข้อยุติในประเด็นคงค้างเหล่านี้ให้เป็นที่พอใจร่วมกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
660 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | พณ | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริมาณโควตารายประเทศ ในการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี โดยประเทศไทยได้รับการจัดสรรปริมาณโควตารายประเทศ ๒๘,๔๙๔ ตันต่อปี และกำหนดให้ประเทศภาคีต้องถอนเอกสารเกี่ยวกับการคัดค้านการเปลี่ยนวิธีการนำเข้าข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีภายใน ๑๔ วัน หลังจากความตกลงฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ อันเป็นการกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้ประเทศคู่ภาคีต้องปฏิบัติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ถอนคำคัดค้านของไทยต่อการเปลี่ยนระบบการนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์ของสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรับรู้และใช้ประโยชน์จากโควตาดังกล่าว เพื่อมิให้ประเทศไทยเสียสิทธิประโยชน์ในการส่งออกสินค้าข้าวไปยังสาธารณรัฐเกาหลี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....