ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | การร่วมลงนาม รับรอง และให้ความเห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 51 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 12 ฉบับ | พณ | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Type Approval for Automotive Products) เป็นการอำนวยความสะดวกในการยอมรับรายงานผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียนซึ่งกันและกัน รวมถึงการยกระดับการค้าของอาเซียน ขจัดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นต่อการค้าอันเนื่องมาจากกฎระเบียบทางเทคนิค และเพื่อกระชับและขยายความร่วมมือโดยเฉพาะการรับรองแบบยานยนต์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดขึ้นจริง และร่างพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism) เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓-๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อตกลงฯ และพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ มีผลผูกพัน เมื่อรัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ แล้ว ๖. เห็นชอบร่างเอกสาร รวม ๑๐ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างแผนการดำเนินงานตามกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๘ (ASEAN Digital Integration Framework Action Plan 2019-2025) (๒) ร่างแนวทางการพัฒนาแรงงานมีทักษะ/ผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ (Guideline on Skilled Labor/Professional Services Development in Response to the Fourth Industrial Revolution) (๓) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาเซียนไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ (ASEAN Declaration on Industrial Transformation to Industry 4.0) (๔) ร่างแนวทางในการส่งเสริมการใช้ดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยอาเซียน (Policy Guideline on Digitalization of ASEAN Micro Enterprises) (๕) ร่างการปรับปรุงข้อบทว่าด้วยระเบียบวิธีปฏิบัติด้านหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อรองรับระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (Amended ATIGA Operational Certification Procedure to allow for ASEAN-wide Self-Certification Scheme) (๖) ร่างการปรับปรุงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (Amended CO Form D) (๗) ร่างขอบเขตการดำเนินงานของการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (TOR : General Review of the ASEAN Trade in Goods Agreement) (๘) ร่างแผนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Programme of Cooperation between the Eurasian Economic Commission and the Association of Southeast Asian Nations for 2019-2020) (๙) ร่างแผนงานเพื่อยกระดับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA FJC Work Plan for the Upgrade Negotiations) และ (๑๐) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Ministerial Statement on the 10th Year Anniversary of the AANZFTA) จะเป็นผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (AEM) ในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้องค์กรรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคู่เจรจาของอาเซียนไปดำเนินงานตามแผนงานได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับอาเซียนในการรับมือและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการประกอบธุรกิจการค้าและระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าให้มีความทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและชั้นตอนการดำเนินงานและช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังเป็นการประสานความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาคซึ่งจะเป็นการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๗. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรองร่างเอกสารตาม (๑)-(๔) และให้ความเห็นชอบร่างเอกสารตาม (๕)-(๑๐) ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (AEM) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓-๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๘. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่จะกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๙. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดและกำกับติดตามโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ระยะที่ ๒ ให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ เพื่อรองรับการบังคับใช้ตามร่างข้อตกลงฯ รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานยานยนต์ในอาเซียนในอนาคต เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
702 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 | พณ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ภายในกรอบวงเงิน ๒๑,๔๙๕.๗๔ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง [ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)] สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรมีการพิจารณาแนวทางการกำหนด ราคาต่อไร่ จำนวนไร่ต่อครัวเรือน การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินของ ธ.ก.ส. ให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ และ (๓) การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการช่วยเหลือในมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจหรือมาตรการทางสังคม ให้ถือว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือด้วย โดยเฉพาะการดำเนินการนโยบายมาตรการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการดำเนินงานและกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้รอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การควบคุมราคารับซื้อข้าวของโรงสี/ผู้ประกอบการให้เป็นไปตามราคาตลาด ไม่ให้มีการกดราคารับซื้อข้าวจนนำไปการผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิงให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐ และการกำหนดมาตรการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลจำนวนพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าว รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
703 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 - 2563 | พณ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อมิให้มีส่วนต่างของต้นทุนการผลิตที่สูงเกินความเป็นจริง และควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน เช่น การลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการและวางแผนการดำเนินให้รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เช่น การกำหนดมาตรการควบคุมราคารับซื้อปาล์มน้ำมันของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยไม่ให้เกิดกรณีการรวมกลุ่มของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อกดราคารับซื้อ จนนำไปสู่การผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคารับซื้อให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต การกำหนดมาตรการการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิหรือแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตที่ได้ รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการในด้านการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
704 | ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ ๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ประกอบด้วย (๑) การประชุมระดับสูงของ BRF ครั้งที่ ๒ โดยประธานาธิบดีของจีนเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมฯ และได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ว่า ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางจะสร้างโอกาสความร่วมมือที่เปิดกว้างและนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน (๒) การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของ RBF ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม RBF ครั้งที่ ๒ (๓) การประชุมเวทีกลุ่มย่อย เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านนโยบายการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล เศรษฐกิจ เป็นต้น (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของจีนเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-จีน อย่างรอบด้าน และ (๕) การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศอื่น ๆ เช่น การหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลีย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจัดทำแผนงานระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับผลการประชุมฯ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กรอบ BRF ใน ๕ มิติ ได้แก่ การเสริมสร้างการสอดประสานของนโยบายการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการพัฒนายั่งยืน การสร้างเสริมความเข้มแข็งของความร่วมมือที่ได้ผลในทางปฏิบัติ และความก้าวหน้าด้านการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรให้มีการบรรจุเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง รักษา และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนทางวิชาการหรือการถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกัน และควรมีการหยิบยกประเด็นการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับผู้บริหารระดับสูงของมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า ในการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับจีนในโอกาสต่อไป เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีนให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
705 | ขออนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2561 | กษ | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี ๒๕๖๑ ของเกษตรกรกลุ่มที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) และเกษตรกรกลุ่มที่ได้รับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (T3) วงเงินทั้งสิ้น ๕๓๖.๔๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการควรมุ่งเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ของโครงการและความคุ้มค่าของเงินงบประมาณ โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว รวมทั้งควรมีมาตรการเสริมในการสนับสนุนเกษตรกรให้มีความพร้อมในการดำเนินงานในปีที่ ๒ และปีที่ ๓ เช่น การใช้เครือข่ายความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์ปราชญ์ชาวบ้านที่มีองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์มาให้คำแนะนำและเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาด เพื่อสร้างความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเข้าสู่มาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ และลดปัญหาเกษตรกรไม่ผ่านการตรวจประเมิน ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนการซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ และวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาผลผลิตที่สอดคล้องกับราคาตลาดและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวคุณภาพที่จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
706 | ปฏิญญาโดฮาและสรุปรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 16 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือระดับนโยบายระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกันจากศักยภาพที่หลากหลายของประเทศสมาชิก โดยที่ประชุมฯ มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ ๑ ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาโดฮา โดยปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “หุ้นส่วนที่กำลังก้าวหน้า” และการให้ความสำคัญด้านต่าง ๆ เช่น การต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ การส่งเสริมการค้าเสรี การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การส่งเสริมความปลอดภัยด้านน้ำและอาหาร การวิจัยด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ในประเด็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาพรวมเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ปัจจุบันมูลค่าการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะในสาขาพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้กาตาร์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และกาตาร์แสดงความสนใจการลงทุนในสาขาการท่องเที่ยวและโทรคมนาคมในไทย รวมทั้งได้หารือสามฝ่ายกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยทั้งสามฝ่ายเห็นว่ากรอบความร่วมมือ ACD ในภูมิภาคมีความสำคัญแต่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร จึงควรผลักดันให้มีพลวัตมากขึ้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การขับเคลื่อน ๖ เสาหลักความร่วมมือของ ACD [(๑) ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน (๒) ความเชื่อมโยงของประเทศสมาชิก (๓) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (๔) การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๕) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ (๖) การส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน] การค้า การลงทุน การเงินและการธนาคาร ความมั่นคง พลังงาน สาธารณสุข กีฬา การท่องเที่ยว ความเชื่อมโยง และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น การมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามนัยตารางติดตามผลการประชุมฯ ในเรื่องที่ ๑ การขับเคลื่อนเสาความร่วมมือ ๖ เสา ของ ACD และเรื่องที่ ๑๑ การอนุวัติเป้าหมายเพื่อการพัฒนาข้อ ๖ (สร้างหลักประกันให้ประชาชนมีน้ำใช้ มีการบริหารจัดการน้ำ การสุขาภิบาลอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน) เห็นควรเพิ่มเติมสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกำกับนโยบาย และติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
707 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำเข้ามาในประเทศไทย พ.ศ. .... | พณ | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำเข้ามาในประเทศไทย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำเข้ามาในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ เนื่องจากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำสำหรับคนต่างด้าวมาแล้วหลายครั้ง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีหรือมีความผูกพันตามพันธกรณีได้ โดยการกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำสำหรับคนต่างด้าวเสียใหม่รวมไว้เป็นฉบับเดียวเพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้บังคับกฎหมาย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
708 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2562 | นร11 | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้แก่ สถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทย สถานะทางงบประมาณของรัฐบาล และกรอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศษฐกิจดังกล่าว โดยด่วนต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
709 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข และคณะ) | พณ | 13/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๔ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๓. นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
710 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และนายสรรเสริญ สมะลาภา) | นร04 | 13/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นายสรรเสริญ สมะลาภา ประจำกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
711 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักขอความร่วมมือจากทุกกระทรวงในการรับซื้อ/จัดหาสถานที่จำหน่ายพืชผักผลไม้ของเกษตรกรที่กำลังออกสู่ตลาดตามฤดูกาล เช่น มังคุด ลองกอง ลำไย เพื่อบรรเทาปัญหาสินค้าล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ โดยอาจพิจารณาจัดพื้นที่จัดจำหน่ายในบริเวณสถานที่ราชการ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก และมีการกระจายสินค้าอย่างทั่วถึง สำหรับกรณีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ควรพิจารณาดำเนินการจัดซื้อเพื่อการบริโภคของผู้ต้องขัง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนร่วมสนับสนุนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้ดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
712 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | กษ | 09/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ำมันตกต่ำ ทั้งในส่วนของกระทรวงพลังงานและกระทรวงพาณิชย์ และการเข้มงวดการตรวจติดตามการนำเข้าปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งรับทราบการทบทวนยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมการลดพื้นที่ปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยการปลูกพืชทดแทนควรพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรใช้ประกอบการตัดสินใจปรับเปลี่ยนด้วยตนเอง เช่น ข้อมูลการผลิตพืชทางเลือก ข้อมูลด้านการตลาด องค์ความรู้และเทคโนโลยีรองรับ และมาตรการด้านสินเชื่อ เป็นต้น แทนการส่งเสริมภายใต้โครงการส่งเสริมของรัฐ เพื่อลดผลผูกพันที่รัฐต้องให้การอุดหนุนและช่วยเหลือด้านราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
713 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่องการเจรจา RCEP ณ กรุงเทพฯ | พณ | 09/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อหารือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Special ASEAN Economic Ministers’ Meeting on RCEP) เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัสร) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมในฐานะประธานการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดสรุปผลการเจรจา RCEP ให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการค้าระหว่างประเทศของอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาเปิดตลาดและจัดทำข้อบทให้ได้ทั้งหมด และหลังจากนั้นแต่ละประเทศจะดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อให้มีการลงนามความตกลงฯ ในปี ๒๕๖๓ และเมื่อ RCEP มีผลใช้บังคับแล้ว จึงจะพร้อมเปิดรับสมาชิกใหม่ นอกจากนี้ ที่ประชุมมอบให้ไทยในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน และอินโดนีเซียในฐานะประเทศผู้ประสานงานการเจรจาความตกลง RCEP รวมเป็นกลุ่มผู้ประสานงานฝ่ายอาเซียน (TROIKA) ร่วมหารือกับอินเดียเพื่อให้การเจรจา RCEP บรรลุเป้าหมายภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP (RCEP-TNC) ในเรื่องภาคผนวกบริการโทรคมนาคม และภาคผนวกบริการการเงิน โดยคาดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ในการประชุม RCEP-TNC ครั้งที่ ๒๖ ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน-๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย ๓. ที่ประชุมมอบนโยบายให้สมาชิกอาเซียนระดับเจ้าหน้าที่ร่วมหารือเกี่ยวกับท่าทีร่วมของอาเซียนในประเด็นสำคัญเพื่อใช้พบหารือกับคู่เจรจา ๖ ประเทศ (ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์) อาทิ กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSRs) และการลงทุน ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัสร) ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรี ๔ ประเทศ (เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) ซึ่งทุกประเทศยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่ต้องการให้สรุปผลการเจรจา RCEP ในปี ๒๕๖๒ โดยอินโดนีเซียขอให้ไทยพิจารณาแก้ไขมาตรการนำเข้ากาแฟที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งไทยแจ้งว่าทั้งสองประเทศมีสินค้าพืชสวนหลายชนิดที่ประสบปัญหาการส่งออกไปยังอีกฝ่าย จึงควรตกลงให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (Taskforce) เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
714 | รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนเรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) อีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดนิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำกรอบการเจรจาไปหารือกับประเทศสมาชิกภาคีให้ได้ข้อสรุปการดำเนินการตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement ที่ชัดเจน และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป (๒) หาก Contracting State ของแต่ละประเทศสมาชิกภาคี มีความเห็นว่าการถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลอาจไม่ครอบคลุมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เห็นควรให้หารือประเด็นในการปรับปรุงแก้ไขสัดส่วนการถือครองหุ้นในส่วนของรัฐบาลของประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement และให้กระทรวงการคลังนำผลการหารือดังกล่าวมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป และ (๓) ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการหารือตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement เพื่อกำหนดให้นิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและสนับสนุนการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
715 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019) | กต | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ ๒๔๖๒ (ค.ศ. ๒๐๑๙) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นข้อมติ UNSC ฉบับที่ ๒๕ เพื่อตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย หาสมาชิก ระดมทุน และวางแผนการก่อการร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมติฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกจะต้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของกฎหมายภายในของประเทศไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การกำหนดความผิดทางอาญาที่รุนแรงสำหรับการดำเนินคดีและลงโทษที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม การเรียกร้องให้รัฐสมาชิกพิจารณาเปิดเผยบัญชีการอายัดทรัพย์สินระดับชาติหรือระดับภูมิภาคต่อสาธารณะ การผลักดันให้รัฐสมาชิกมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการดำเนินการและปรับปรุงบัญชีมาตรการลงโทษกลุ่ม ISIL (Da’esh) และกลุ่ม Al-Qaida ให้ทันสมัย และการผลักดันให้รัฐสมาชิกจัดตั้งหรือยกระดับกรอบการทำงานระดับชาติที่อนุญาตให้หน่วยงานระดับชาติที่เกี่ยวข้องสามารถรวบรวมหรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย เป็นต้น ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
716 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๖๒ จำนวน ๕๒ รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า และ ๖ บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีหากมีการกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าควบคุม จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ขอให้คำนึงถึงผลกระทบจากการที่กรมสรรพสามิตมีปรับเปลี่ยนโครงสร้างและอัตราภาษีอยู่เป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
717 | ขออนุมัติในหลักการให้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกเปลี่ยนแปลงสถานที่ในการจัดซื้อที่ทำการ จากเดิม อาคารเลขที่ 3 chemin des Colombieres, Versoix เป็น อาคารเลขที่ ๗๙-๘๑ Route De Valavran, 1293 Bellevue สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวให้จัดทำประมาณการรายละเอียดของรายการค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องครบถ้วน พร้อมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ไม่เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยพิจารณาถึงความประหยัด คุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่จะจัดซื้อใหม่ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการขอยกเว้นการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดซื้อใหม่และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วนั้น การดำเนินการดังกล่าวต้องคำนึงถึงมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับงบประมาณเป็นกรณี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
718 | แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิและขออนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามข้อ 6 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์รับราชการต่อไป พ.ศ. 2552) | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕๗ (๗) ประกอบกับข้าราชการที่ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นผู้มีคุณสมบัติและดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
719 | ผลการประชุม CLMVT Forum 2019 : CLMVT as the New Value Chain Hub of Asia | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุม CLMVT Forum 2019 : CLMVT as the New Value Chain Hub of Asia ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กลุ่มประเทศ CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) มีศักยภาพร่วมกัน ซึ่งผลการประชุม CLMVT Forum 2019 สรุปได้ ดังนี้
๑. การเป็นภูมิภาคแห่งโอกาสและศักยภาพไม่สิ้นสุด : ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน และใกล้กับจีนและอินเดีย รวมทั้งมีจุดแข็งของแต่ละประเภทที่สอดรับกันอย่างลงตัว ขนาดประชากรและกำลังแรงงานจำนวนมาก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และดิจิทัลที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่า ความเชื่อมโยงของเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางรางผ่านกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) ที่สามารถเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ของจีนและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดตั้งขึ้นมากมาย ซึ่งจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ใน CLMVT ประสานจุดแข็งร่วมกันอย่างลงตัวในการดึงดูดการค้าการลงทุนและผลักดันให้ CLMVT กลายเป็นห่วงโซ่คุณค่าของโลกที่เข้มแข็ง และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลก ๒. การเตรียมความพร้อมรับมือต่อความท้าทายที่สำคัญ : ประเด็นความท้าทายสำคัญต่อการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ของภูมิภาค CLMVT คือ ความไม่แน่นอนของความตึงเครียดทางการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเกี่ยวพันในหลายมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเลือกข้าง ความไม่สอดคล้องและเชื่อมโยงทางกฎระเบียบ และอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) ตลอดจนความจำเป็นในการพัฒนาทุนมนุษย์และธุรกิจให้สอดรับกับเทคโนโลยียุคใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนโลก ๓. แนวทางการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ของ CLMVT : ภูมิภาค CLMVT ควรรักษาสมดุลในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ สนับสนุนระบบการค้าเสรีที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกติกา และควรร่วมมือกันในการประสานและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละประเทศที่สอดรับกันอย่างลงตัว เพื่อการเป็นฐานการผลิตร่วมตามวัตถุประสงค์ของ AEC Blueprint 2025 โดยการสร้างความเชื่อมโยงทั้งทางกายภาพ และทางด้านกฎระเบียบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เศรษฐกิจ แพลตฟอร์มและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน การส่งเสริมและพัฒนาภาคบริการ ซึ่งถือเป็นกาวที่เชื่อมต่อข้อต่อต่าง ๆ ในห่วงโซ่คุณค่าของภูมิภาคได้ นอกจากนี้ แต่ละประเทศควรเน้นการพัฒนาทักษะและการเสริมทักษะใหม่ให้แก่โรงงาน รวมทั้งการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้ทันกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และการส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ เพื่อให้ภูมิภาค CLMVT กลายเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ได้ในที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
720 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (The Draft Memorandum of Understanding on the Opening of Additional Routes and Border Crossing Under Protocol 1 of the CBTA) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเพิ่มเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงฯ ให้มีความทันสมัยและครอบคลุมกับความต้องการของผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกลุ่มแม่น้ำโขง โดยภาคีในบันทึกความเข้าใจฯ จะเปิดใช้เส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนที่อยู่ในเอกสารแนบท้ายพิธีสาร ๑ “บัญชีรายชื่อเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนที่กำหนด” ซึ่งเป็นเอกสารแนบ ๑ ท้ายบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ และจะนำไปใช้ในความตกลงฯ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการขนส่งประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการขนส่งข้ามพรมแดน และใช้ประโยชน์จากความร่วมมือได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการขนส่ง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของประเทศในอนุภูมิภาคต่อไป รวมทั้งควรให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารจัดการการสัญจรข้ามแดน เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยความมั่นคงที่อาจแฝงมากับการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมและการสัญจรข้ามแดน นอกจากนี้ ควรผลักดันให้ สปป.ลาว เร่งพิจารณาเปิดเส้นทางที่สงวนไว้ ได้แก่ R12 (เริ่มต้นจากจุดผ่านแดนถาวรสะพามข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ ๓ ณ จังหวัดนครพนม) ให้เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อประโยชน์ในการเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่มีศักยภาพที่จะส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ไปยังจีนตอนใต้เพิ่มมากขึ้น และเป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเดียวกัน (Single Tourism Destination) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
.....