ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | (ร่าง) แนวทางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary - satellite orbit : GSO) ตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ (ร่าง) นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศ | ดศ | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) แนวทางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary-satellite orbit : GSO) ตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบนโยบาย หลักเกณฑ์ วิธีการและแนวทางดำเนินการในกิจการดาวเทียมวงโคจรประจำที่ (Geostationary-satellite orbit : GSO) เพื่อการรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และรักษาสิทธิข่ายงานดาวเทียมที่ได้รับการจดทะเบียน (Notification) กับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ให้มีสิทธิใช้งานโดยสมบูรณ์ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการดาวเทียมของไทยให้สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียมของประเทศให้เกิดประสิทธิผล ๑.๒ (ร่าง) นโยบายการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาตการใช้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศในเชิงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมสื่อสาร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจดาวเทียมสื่อสารให้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศด้านโทรคมนาคมของประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ควรให้มีแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและกำลังคนอย่างเป็นระบบ ควรให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศอย่างเหมาะสม และการให้สิทธิดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ รวมทั้งควรมีการกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
782 | ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง | กต | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๘-๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) และการรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๘ เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนความร่วมมือที่สำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนญี่ปุ่นในอนุภูมิภาค รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในภูมิภาคและโลก เช่น สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ปัญหาทะเลจีนใต้ และสถานการณ์ในรัฐยะไข่ เป็นต้น ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization : JETRO) และประธานบริษัท Mitsui & Co. โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญเกี่ยวกับการผลักดันการลงทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่นในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern EconomIc Corridor : EEC) และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ดำเนินการตามผลการประชุมฯ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับฝ่ายญี่ปุ่น ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
783 | การจัดทำบทเรียนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ | นร | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งรัดขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศจนสามารถบรรลุเป้าหมายในหลายเรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหามาตรฐานการบินพลเรือน การทำประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืช การบุกรุกป่าไม้ การลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ และปัญหามลภาวะฝุ่นละออง ดังนั้น เพื่อให้สามารถนำแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวมาเป็นบทเรียนในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาความผิดพลาดในลักษณะนี้ขึ้นอีก จึงเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม รับไปพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงของการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในความรับผิดชอบ รวมทั้งปัญหาการดำเนินการของหน่วยงาน ข้อบกพร่อง/ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งในทางนโยบายและการปฏิบัติ ตลอดจนปัญหาการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ (ถ้ามี) แล้วให้จัดทำเป็นบทเรียนในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
784 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อกำหนดให้ต้องนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทางพื้นที่จังหวัด ด่านศุลกากร และจุดที่กำหนดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคใบด่างมันสำปะหลังเข้ามาระบาดและทำความเสียหายให้กับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมอบหมายกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตรวจสอบการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างเข้มงวด และการกำหนดมาตรการดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ กระทรวงพาณิชย์จึงควรคำนึงถึงผลกระทบและการปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
785 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย | กต | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๔๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ในส่วนการยกเลิกการดำเนินมาตรการลงโทษต่อรัฐเอริเทรียและการดำเนินมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย โดยมีสาระสำคัญ (๑) ยกเลิกมาตรการลงโทษทั้งหมดต่อรัฐเอริเทรีย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดว่ารัฐเอริเทรียสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบั่นทอนเสถียรภาพของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและภูมิภาค รวมทั้งในช่วงปี ๒๕๖๑ รัฐเอริเทรียได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสันติภาพในหลาย ๆ ด้านด้วย และ (๒) ต่ออายุมาตรการลงโทษสำหรับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และการห้ามนำเข้าถ่านไม้ (ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด) รวมทั้งต่ออายุข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการลงโทษทางอาวุธจะไม่มีผลบังคับใช้ในกรณีการขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการพัฒนากองกำลังรักษาความมั่นคงแห่งชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เป็นต้น ออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. กรณีที่ UNSC ได้รับรองข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่หากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียให้ทันสมัยตามข้อมูลในเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/751) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
786 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย | กต | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๔๑ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เกี่ยวกับรัฐลิเบีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการต่ออายุมาตรการให้อำนาจรัฐสมาชิกตรวจสอบเรือในทะเลหลวง เพื่อป้องกันการลักลอบส่งออกทรัพยากรปิโตรเลียมจากรัฐลิเบียออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ การเน้นย้ำมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐสมาชิกรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐสมาชิกภายใต้มาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินของข้อมติฯ ที่เกี่ยวข้อง ๒. กรณีที่ UNSC ได้รับรองข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษแก่รัฐลิเบียเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติมิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามข้อมติดังกล่าวไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่หากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการการลงโทษต่อรัฐลิเบีย เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อมติ UNSC เกี่ยวกับรัฐลิเบีย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อรัฐลิเบีย โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์สหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1970) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanction List Materials” เป็นระยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
787 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | นร | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดซื้อและการส่งมอบน้ำมันปาล์มจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวนรวม ๑๖๐,๐๐๐ ตัน เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วเสร็จครบถ้วนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
788 | การปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSRs) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการให้กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ AANZFTA ในระบบ HS 2017 มีผลใช้บังคับภายในประเทศต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับโอนพิกัดควรยึดตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงเดิม โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมพิกัดจำเป็นต้องกำหนดให้มีกระบวนการในการเจรจากับคู่ภาคีใหม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันก่อนการดำเนินการตามกระบวนการภายในประเทศตามพันธกรณีของความตกลงการค้าเสรีนั้น ๆ และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
789 | มาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนและเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานกลไกหลักในการบริหารจัดการแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ทุกระดับ พิจารณามอบหมายจังหวัดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อสนับสนุนการผลักดันและขับเคลื่อนการส่งเสริมและคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ไทย ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้า GI ไทยอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า GI ควรพิจารณาแนวคิดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนควบคู่กับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ซึ่งจะสนับสนุนการยกระดับสินค้า GI ของไทยในตลาดโลก และควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการระดับจังหวัดให้ครอบคลุมผู้แทนจากภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เป็นต้น หรือพิจารณาใช้กลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัด (คณะกรรมการ กรอ. จังหวัด) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยอาจปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการ กรอ. จังหวัด เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการส่งเสริมการพัฒนาสินค้า GI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ทุกจังหวัดควรมีการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดและแนวทางการพัฒนาสินค้า GI ให้อยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์จังหวัด ตลอดจนขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
790 | รายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่รายงานฯ เป็นครั้งแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศนอกสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกช่องทาง นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภคให้ทราบถึงความเสี่ยงของการบริโภคสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากแหล่งต่าง ๆ ที่ระบุในรายงานฯ โดยมิได้มีมาตรการลงโทษหรือเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษี ทั้งนี้ รายงานฯ มีการระบุรายชื่อของตลาดขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่รวมถึงตลาดสินค้าและตลาดขายสินค้าออนไลน์ของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศและกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ๒. ให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในสถานที่จำหน่ายและเว็ปไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งตัดช่องทางการลำเลียงสินค้าละเมิด ตลอดจนประสานองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของหรือกำกับดูแลพื้นที่และเว็บไซต์ที่ถูกระบุในรายงานฯ เพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น ควรใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ถูกระบุในรายงานฯ อย่างจริงจัง ควรให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังพื้นที่และเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งมีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ไม่ถูกระบุไว้ในรายงานฯ ควบคู่กับการรณรงค์สร้างความตระหนักในทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหลีกเลี่ยงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ควรจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นนายทุนที่อยู่เบื้องต้นเพื่อตัดวงจรการประกอบอาชญากรรม และควรมีการพิจารณามาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเทคนิค (Technical Solutions) สำหรับตลาดสินค้าออนไลน์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเป็นการป้องกันการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized use) โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
791 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ (Tier 1) และส่วนที่ ๒ (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคต โดยส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากการประกันภัยของเกษตรกรร่วมจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น โดยทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันด้วย และในระยะต่อไปหากระบบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยเองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ตลอดจนการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
792 | ขออนุมัติโครงการและงบประมาณดำเนินงานโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 | กษ | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๒๗๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ รวมค่าขนส่ง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน วงเงิน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วงเงิน ๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท โดยกรมการข้าวดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้แก่กรมการข้าว จำนวน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทดแทนทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ถูกใช้ไป ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง พิจารณายกเว้นโดยไม่นำเอาต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับสนับสนุนเกษตรกรในโครงการฯ มารวมคำนวณในตัวชี้วัดของทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ประจำปีบัญชี ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ ได้แก่ (๑) กรณีที่เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชมีเหตุปัจจัยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานและไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การดำเนินโครงการฯ ทุนหมุนเวียนสามารถชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งจัดส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้กระทรวงการคลังใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับค่าเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานหรือยกเว้นตัวชี้วัดดังกล่าวได้ (๒) การช่วยเหลือตามโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน โดยไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติของภาครัฐ และกำกับดูแลจัดการเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกของเกษตรกร โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์-อุปทาน และราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่จะสูงขึ้น (๓) ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการดำเนินการที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และนำผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ทั้งกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา วิธีการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้ (๔) พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านกระบวนการที่ต้องชัดเจนตรงกับบุคคลเป้าหมาย วิธีการบริหารจัดการสมดุลกับอุปสงค์-อุปทานของเมล็ดพันธุ์ข้าว พื้นที่เป้าหมายต้องสอดคล้องกับพื้นที่เสียหายจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นด้วย และ (๕) ควรกำหนดกลไกการติดตามผลการดำเนินงานและผลสำเร็จของโครงการฯ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขให้กับสถานการณ์ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
793 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาทางท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือแหลมฉบัง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทราบเกี่ยวกับการกำหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาในราชอาณาจักรทางท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมศุลกากรและกรมวิชาการเกษตรดำเนินงานร่วมกันเพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในการใช้มาตรการดังกล่าว และป้องกันการเข้ามาระบาดของโรคพืชและแมลงที่จะสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
794 | การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) นำเงินงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีที่คงเหลือ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ จำนวน ๔๐๐,๔๒๗,๐๓๗ บาท เพื่อดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร วงเงิน ๒๓๓,๒๕๓,๕๓๕ บาท (๒) โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน วงเงิน ๔๔,๗๘๕,๕๐๑ บาท (๓) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน วงเงิน ๘๖,๐๓๒,๖๘๗ บาท และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จำนวน ๓๖,๓๕๕,๓๑๔ บาท โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่ บจธ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการทั้ง ๔ โครงการ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบ รวมทั้งให้ บจธ. ประสานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อนำผลการดำเนินโครงการไปบรรจุไว้ในผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้วย ๒. ให้ บจธ. ประสานงานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ความต้องการรับความช่วยเหลือ พื้นที่ดำเนินการ เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศมากเกินไป ๓. ให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณ เช่น ผู้เข้าร่วมโครงการอาจมีสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าที่ดินที่มีลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว ดังนั้น ในการดำเนินโครงการ บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นที่จะต้องมีการยุบเลิกหน่วยงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งองค์กรใหม่ได้ทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ บจธ. ควรมีการกำหนดรายละเอียดวิธีการดำเนินโครงการให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
795 | ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร และการกำกับดูแลอาหาร โดยกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศทำหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร การผลิตเพื่อการส่งออก กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาอาหาร การดำเนินการกับอาหารหรือภาชนะบรรจุที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดหรืออายัดไว้ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กลไกในการพิจารณาอนุญาตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาอัตราโทษปรับให้มีความเหมาะสม และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตอาหารเพื่อส่งออกต้องจัดเก็บเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับข้อกำหนดของประเทศผู้ซื้อหรือผู้สั่งซื้อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั้น อาจเป็นการเพิ่มภาระของผู้ประกอบการในการจัดเก็บเอกสารดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และควรระบุคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตที่อาจยกเว้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
796 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 2 คน 1. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ฯลฯ) | พณ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายวรวุฒิ โปษกานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
797 | รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2562 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 28 มกราคม 2562 | พณ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๒ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการจำหน่ายและสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชาธรรมชาติ หรือที่มีสารดังกล่าวเป็นองค์ประกอบ ซึ่งนักวิชาการหรือนักวิจัยมีความห่วงกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการวิจัยด้านการแพทย์ จำนวน ๑๓ คำขอแล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
๑. การดำเนินการตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมก่อนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีผลใช้บังคับ จำหน่ายคำขอออกจากระบบสิทธิบัตรเนื่องจากผู้ขอรับสิทธิบัตรไม่ดำเนินการตามกฎหมาย จำนวน ๓ คำขอ และแจ้งปฏิเสธคำขออีก จำนวน ๒ คำขอ รวมทั้งหมด ๖ คำขอ ๒. การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สั่งยกคำขอรับสิทธิบัตร ๑๐ คำขอ (รวมคำขอรับสิทธิบัตรที่แจ้งปฏิเสธ ๓ คำขอตามข้อ ๑) ทั้งนี้ ผู้ขอรับสิทธิบัตรมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรของอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ภายใน ๖๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
798 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ปช | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการให้ความสำคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและนำผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ดำเนินการด้านการกำกับดูแลการประเมิน ด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน (๒) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมการยกระดับผลการประเมินด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ (๓) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มีบทบาทหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีการรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐควบคู่กับการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการใด ๆ ให้ดำเนินการปรับเปลี่ยนงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อใช้ในการดำเนินการไปพลางก่อน และให้จัดทำคำขอจัดตั้งงบประมาณแบบบูรณาการตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการเนื่องจากเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ประเด็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน บทบาทและหน้าที่และแนวปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐที่ชัดเจน ควรจะสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ควรกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินการ การกำกับดูแลการประเมิน และการส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน รวมทั้งควรเร่งปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับดัชนีอื่น ๆ ที่ยังมีคะแนนไม่สูงนักและยังสามารถปรับปรุงการทำงานเพื่อยกระดับคะแนนให้สูงขึ้นต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
799 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2019 และการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2562 | นร12 | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2019 (พ.ศ. ๒๕๖๒) และการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ (๑) ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ : พัฒนา ปรับปรุง และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับระบบการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) (๒) ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง : พัฒนาระบบยื่นขออนุญาตก่อสร้าง การควบคุมการก่อสร้างอาคาร และการติดตั้งประปา (๓) ด้านการขอใช้ไฟฟ้า : ปรับปรุงอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้า (๔) ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน : เชื่อมโยงข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Zoning Layer) และผังเมืองในพื้นที่ทั่วประเทศ (๕) ด้านการได้รับสินเชื่อ : พัฒนาระบบข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจ ทางอิเล็กทรอนิกส์ และส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในลำดับถัดไป เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาประเภทของข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้โดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกัน และขยายไปยังหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งภาคเอกชนต่อไป (๖) ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย : ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย และเพื่อลดภาระต้นทุนในการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงปรับปรุงรายละเอียดของแผนการดำเนินการให้เป็นปัจจุบัน โดยให้เพิ่มกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจำกัด (๗) ด้านการชำระภาษี : ผลักดันการชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์และการพัฒนาช่องทางการชำระเงินสมทบให้แก่กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน (๘) ด้านการค้าระหว่างประเทศ : พัฒนาระบบศุลกากรล่วงหน้า ระบบการขนส่งทางน้ำ และระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทย (๙) ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง : พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับศาล และ (๑๐) ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย : พัฒนาเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี/เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ระบบการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ และระบบข้อมูลบุคคลล้มละลายทุจริต ตลอดจนแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
800 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วงเงินรวม ๔๐๔,๔๒๖,๗๐๐ บาท เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทางการค้าที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การติดตามพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาด การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค สะดวก และรวดเร็ว เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....