ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
621 | การดำเนินการที่เกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร จึงมีมติ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของทุกหน่วยงานในจังหวัดให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีข้อสั่งการหรือประกาศกำหนดอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามนัยพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ และข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเฉพาะในเรื่องการออกตรวจพื้นที่และตรวจการกักกันตนเองของผู้ต้องเฝ้าระวัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามให้มีการจัดรถโดยสารสาธารณะจำนวนและรอบเวลาการเดินรถเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนและหลังกำหนดการห้ามออกนอกเคหสถาน ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนรีบเดินทางเป็นจำนวนมาก ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับสำนักจุฬาราชมนตรีในการกำหนดมาตรการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในช่วงเดือนรอมฎอน ที่จะเริ่มต้นในช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๖๓ เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของประชาชนจำนวนมากในช่วงเวลาฉลองการละศีลอดในแต่ละวัน โดยพิธีละศีลอดหรือการปฏิบัติศาสนกิจใด ๆ ควรขอความร่วมมือให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีสามารถเดินทางกลับที่พักอาศัยได้ภายในกรอบเวลาของการห้ามออกนอกเคหสถาน ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัย โดยเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการบริหารจัดการเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เกิดความชัดเจน เช่น ในประเด็นการดำเนินการตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการขนส่งผู้เดินทางซึ่งมากับพาหนะนั้น เพื่อแยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตลอดทั้งออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาล การป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๕. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและรับฟังความเห็นข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและภาคประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
622 | แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 (จำนวน 11 ราย) | มท | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ และแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ขึ้นใหม่ รวม ๑๑ คน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ ๑.๓ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการ ๑.๔ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ ๑.๕ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นกรรมการ ๑.๖ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ ๑.๗ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นกรรมการ ๑.๘ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นกรรมการ ๑.๙ อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นกรรมการ ๑.๑๐ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการ ๑.๑๑ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการ และเลขานุการ ๒. ให้สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
623 | การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดฃองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ดังนี้
๑. การรวบรวมข้อมูลมาตรการและจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมข้อมูลมาตรการป้องกัน การรักษา และการบริหารจัดการ ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๓ ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์และการดำเนินการในมิติต่าง ๆ ทั้งในส่วนของประเทศไทยและภาพรวมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการออกประกาศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่เกี่ยวกับการตรวจรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น ยาและเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เครื่องมือ ชุดตรวจ และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์) เร่งรัดการดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด (ภายใน ๕ วัน) รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและป้องกันไม่ให้มีการทุจริตและเรียกรับผลประโยชน์ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวดในราคาที่เป็นธรรม รวมทั้งพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของระยะเวลาการห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ ๗ วัน ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง ห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักร ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลมาตรการห้ามการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่เขตจังหวัดที่ใช้ในจังหวัดภูเก็ต และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) หากมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจ สมควรที่จะนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ๖. ให้ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้มีการรวมกลุ่มของประชาชน เช่น การจัดการชกมวย การลักลอบเล่นการพนัน การมั่วสุมดื่มสุรา และเสพยาเสพติด การจัดการแข่งขันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์บนถนน รวมถึงกรณีที่ผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ (วินมอเตอร์ไซค์) ไม่ใส่หน้ากากอนามัยและมีการพูดคุยกับผู้โดยสารในระหว่างการขับขี่ ๗. การจัดสรรและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ ชิ้น ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม-๓ เมษายน ๒๕๖๓ (๕ วัน) ให้จัดสรรให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยดำเนินการ ดังนี้ ๗.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบการจัดหาหน้ากากอนามัยให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้น และกระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่น้อยกว่า ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละวัน ๗.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับผิดชอบการขนส่งหน้ากากอนามัยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยกำหนด ๗.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาลของเอกชน ๗.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวนไม่น้อยกว่าวันละ ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการแก่ประชาชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทหาร ตำรวจ รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ การจัดสรรหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนให้พิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป ๘. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงสาธารณสุขประสานงานในการระดมนักศึกษาแพทย์และพยาบาล ตลอดจนนักศึกษาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการดูแลผู้ป่วย เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการนำคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยให้มีการกักกันตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งประสานประเทศต่าง ๆ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องรับชาวต่างประเทศกลับประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
624 | รายงานประจำปี 2561 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาให้แก่ประชาชนและบุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมด้านการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้านการค้า/การลงทุน/การพัฒนาระหว่างประเทศ ด้านมาตรการการค้า/การลงทุนระหว่างประเทศ และด้านกฎหมายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ๒. การดำเนินโครงการวิจัย เช่น โครงการการศึกษาโอกาสและการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) ในกลุ่มประเทศ CLMVT โครงการการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศสมาชิกอาเซียนสู่ความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) รายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานวิจัยเชิงนโยบายด้านการพัฒนาการค้าชายแดนไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น ๓. การดำเนินการด้านวิชาการ ได้สนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและเผยแพร่ข้อมูลวิชาการของสถาบันผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ สคพ. รวมทั้งขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๔. การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเพื่อวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าภาคบริการ การค้าชายแดน การพัฒนาที่ยั่งยืน จัดทำเอกสารรายงานผลการวิเคราะห์ด้านการค้าและการพัฒนา และจัดงานแถลงข่าวเพื่อเผยแพร่สรุปเล่มผลการศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
625 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
626 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเบงกาลูรู และเมืองไฮเดอราบัด สาธารณรัฐอินเดีย ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ เพื่อหารือและเจรจาการค้าระหว่างเครือข่ายธุรกิจภาคเอกชนและผู้แทนรัฐบาลท้องถิ่นในการเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าและธุรกิจบริการของไทยสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นการขยายผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนอินเดีย (มุมไบ-เจนไน) เมื่อวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ จากการเจรจาการค้าครั้งนี้ได้นำไปสู่แผนดำเนินการเร่งด่วน ได้แก่ (๑) การกำหนดหัวข้อและประเด็นความร่วมมือหรือการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าด้านต่าง ๆ ในการจัดทำความตกลงระหว่างกระทรวงพาณิชย์และรัฐเตลังคานา (๒) การปรับแก้ไขพิกัดภาษีศุลกากรของฝ่ายไทยและอินเดียให้มีความสอดคล้องตรงกัน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีได้มากยิ่งขึ้น (๓) การจัดคณะผู้แทนการค้าอินเดียรายสำคัญในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไม้ยางพาราเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทย และ (๔) การแลกเปลี่ยนเชฟไทยและอินเดียในการฝึกอบรมการปรุงอาหารของแต่ละฝ่าย โดยอาจเริ่มต้นจากร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ในอินเดีย เพื่อให้อาหารไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคอินเดียในระยะยาวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
627 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง | นร07 | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินโครงการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๗,๓๑๐.๔๕๐๙ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่หน่วยรับงบประมาณขอรับการจัดสรรงบกลางฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง จำนวน ๑๑ กระทรวง ๒๘ หน่วยงาน วงเงิน ๑๔,๖๑๐.๔๕๐๙ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า กรณีค่าใช้จ่ายของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นนอกเหนือจากกรอบวงเงินงบกลางที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว เช่น การผลิตหน้ากากอนามัย การชดเชยต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการหน้ากากอนามัย เป็นต้น ให้หน่วยรับงบประมาณเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไปยังสำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
628 | การแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยในส่วนกลางให้มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ ในส่วนภูมิภาคให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นประธาน และมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดร่วมเป็นกรรมการด้วย เพื่อทำหน้าที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการกักตุนและการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในราคาสูงเกินปกติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปจัดทำรายละเอียดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการให้ถูกต้องครบถ้วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
629 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ มกราคม ๒๕๖๓ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บังกลาเทศ (H.E. Mr.Tipu Munshi) เป็นประธานร่วม โดยผลการประชุมมีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าการลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และประเด็นอื่น ๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ อุตสาหกรรม เกษตร ประมง ปศุสัตว์ บริการสุขภาพและสาธารณสุข และความเชื่อมโยงทางคมนาคม เพื่อผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันบรรลุเป้าหมายที่ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น ดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
630 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-๑๙) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความพยายามในการประสานงานและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป แม้ในกรณีมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกันในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยในประเทศสมาชิก สามารถปรับตัวและเข้าถึงช่องทางตลาดรูปแบบใหม่ ตลอดจนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตและการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
631 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (นายพรพล เอกอรรถพร) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพรพล เอกอรรถพร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
632 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 25 (COP 25) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 15 (CMP 15) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 2 (CMA 2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน | ทส | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๕ [United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC), the 25th Session of the Conference of the Parties : COP 25] การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๕ (CMP 15) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ ๒ (CMA 2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน โดยมีผลการประชุมและข้อตัดสินใจ เช่น แนวปฏิบัติและกฎการดำเนินงานสำหรับข้อ ๖ ของความตกลงปารีส (Article 6 of the Paris Agreement) กลไกระหว่างประเทศวอร์ซอสำหรับการสูญเสียและความเสียหายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Warsaw International Mechanism for Loss and Damage associated with Climate Change Impacts) การประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้หัวข้อ Koronivia Joint Work on Agriculture และการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) เป็นต้น ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานให้สอคดล้องกับผลการประชุมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและเข้าร่วมการประชุมในประเด็นที่เกี่ยวข้อง (๒) พิจารณานำผลการประชุมที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติภายในประเทศ (๓) ประสานการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยให้บรรลุตามเป้าหมายที่ประเทศไทยกำหนด และ (๔) ประสานแจ้งความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปงสภาพภูมิอากาศให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับทราบ และรายงานความคืบหน้าในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดท่าทีของไทยต่อการเข้าร่วมกลไกภายใต้ข้อ ๖ ของความตกลงปารีส รวมถึงท่าทีเกี่ยวกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตมาสู่การดำเนินการภายใต้ระบอบของความตกลงปารีส ซึ่งรัฐภาคีมีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน เพื่อประกอบการเจรจากำหนดท่าทีไทยในเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีการเจรจาอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ในปี ๒๕๖๓ และพิจารณาให้มีกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เหมาะสมและกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้ประเด็นที่ได้รับมอบหมาย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
633 | ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 | สธ | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จัดทำขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งจะเป็นแผนที่นำไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๔ แผนงาน ๖๗ โครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๗๘,๙๔๖,๕๕๓ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายบูรณาการการดำเนินงานและนำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำ list of priority vaccine ที่ต้องการผลิตให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วง ๓-๕ ปี ควรพิจารณาส่งเสริมความสามารถในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจากสัตว์สู่คน ควรเพิ่มความชัดเจนและความท้าทายของตัวชี้วัดและเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณที่ได้รับ ควรพิจารณาระบบการจัดสรรทุนวิจัยที่มีความต่อเนื่อง (block grant) เน้นประเด็นโจทย์วิจัยที่เป็นปัญหาเร่งด่วนและสอดคล้องกับแผนงานเป้าหมาย ควรพิจารณาการเคลื่อนย้ายบุคลากรในสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนไปปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility) และควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการพิจารณาวัคซีนในสัตว์ เนื่องจากโรคในสัตว์หลายชนิดมีความสำคัญทั้งทางด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ซี่งควรมีแผนและนโยบายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
634 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังต่อไปนี้
ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๑. ด้านการป้องกันโรค/สุขภาพ ๑.๑ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็น ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดมาตรการภายในได้ตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุม ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยในส่วนของการดูงานหรือฝึกอบรม ให้พิจารณาเปลี่ยนแปลงงบประมาณเป็นการดูงาน หรือฝึกอบรมภายในประเทศแทน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เว้นแต่กรณีมีความจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรจากหัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีผลกระทบต่อเอกชนคู่สัญญาในการระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุมน้อยที่สุด ๑.๓ ให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และจำเป็นต้องสังเกตอาการ อยู่ปฏิบัติงานภายในที่พักเป็นเวลา ๑๔ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับให้ข้าราชการปฏิบัติงานภายในที่พักตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นได้ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการคัดกรองประชาชนที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด ในกรณีที่มีความจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการขนส่งประชาชนกลุ่มดังกล่าวกลับภูมิลำเนาหรือไปยังสถานพยาบาลอย่างเหมาะสม และการกำกับดูแล การกักกันตนเอง ณ ที่พักอาศัย โดยให้มีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างชุมชน จิตอาสา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสถานพยาบาลในพื้นที่ในการติดตาม เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และป้องกันอย่างใกล้ชิด ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินมาตรการคัดกรองผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า สถานีขนส่งผู้โดยสาร และท่ารถอย่างเคร่งครัด ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมจัดเตรียมสถานที่/พื้นที่สำหรับสังเกตอาการในกรณีที่พบว่าผู้เดินทางเป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย โรคระบาด หรือพาหะนำโรคตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ๑.๗ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนเป็นจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยไม่จำเป็น เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และการจัดมหรสพ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความจำเป็นต้องจัดกิจกรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่เป็นกิจกรรมที่ต้องขออนุญาตจากส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสาธารณชนโดยรวมต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นสำคัญ ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาปริมาณความต้องการของสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อและจัดหาให้เพียงพอกับความต้องการดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา โดยควรจัดลำดับความสำคัญในการกระจายสินค้าที่จำเป็นดังกล่าวตามระดับความเสี่ยงของบุคคล หน่วยงาน และสถานที่ เช่น สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประชาชนทั่วไป ๑.๙ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการป้องกันการกักตุนและควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ด้วย ๑.๑๐ ในกรณีกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นเพิ่มเติม ให้ประสานสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้มีเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับดำเนินการอย่างเพียงพอ ๑.๑๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงานติดตามและดูแลคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างใกล้ชิด ๑.๑๒ ให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับทราบสถานการณ์และข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาตัดสินใจกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์ ๑.๑๓ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้มีศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วนราชการ รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชน โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในทุกมิติ รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงทุกกลุ่ม เพื่อสร้างการรับรู้ ตระหนัก และขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยเฉพาะขั้นตอนการเฝ้าระวังและการป้องกัน ๑.๑๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และจัดให้มีสวัสดิการพิเศษเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง และครอบครัว ๑.๑๕ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อสนับสนุนการจัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อ ดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะรัฐมนตรีจะสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเป็นทุนประเดิม ๑.๑๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ หากมีความจำเป็น ๒. ด้านการบรรเทาผลกระทบที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยครอบคลุมด้านต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการทางภาษี มาตรการด้านสินเชื่อและพักชำระหนี้ มาตรการด้านงบประมาณ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน มาตรการการจ้างงานและพัฒนาทักษะ และมาตรการด้านสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นในชุมชน เพื่อเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาโดยเร็ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้ข้อมูลและสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อให้เกิดเอกภาพและสร้างความมั่นใจให้แก่สาธารณชน ผ่านศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่จะได้มีการจัดตั้งขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล ในการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
635 | การดำเนินงานโครงการตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัย ปี 2562 | กษ | 24/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ คู่มือการดำเนินงานแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย ปี ๒๕๖๒ ของ ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร (๒) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔ (๓) โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน และ (๔) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยมีรายละเอียด เช่น คุณสมบัติของเกษตรกรและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ขั้นตอน/แผนการดำเนินงาน ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามแผนการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย ปี ๒๕๖๒ โดยผลการรับสมัครเกษตรกร ปรากฏว่า โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก มีเกษตรกรแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการมากกว่าเป้าหมาย ส่วนโครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔ และโครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน มีผู้ประสงค์เข้าร่วมต่ำกว่าเป้าหมาย ๒. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถัวจ่ายงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ระหว่างโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง อุทกภัย ปี ๒๕๖๒ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๙๖๗.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับการปรับเปลี่ยนปริมาณของเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดข้าวและปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวของแหล่งผลิตตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรให้ยกระดับการผลิตข้าวเปลือกบริโภคทั่วไปเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามหลักการ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และคู่มือการดำเนินงานแผนปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนจัดให้มีการติดตามและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย นอกจากนี้ การขออนุมัติปรับเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด และปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวของแหล่งผลิต ควรคำนึงถึงจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการที่มีจำนวนต่ำกว่าเป้าหมาย และการปรับเพิ่มปริมาณพันธุ์ที่มากกว่าปริมาณที่จัดสรรให้สหกรณ์การเกษตรดำเนินการ ควรสอดรับกับจำนวนเกษตรกร พื้นที่ และปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่จะจัดสรรให้ผู้เข้าร่วมโครงการจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
636 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อย ตาม (๓) และ (๔) ของข้อ ๘ แห่งระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่สหกรณ์ชาวไร่อ้อยที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิมออกไปอีก ๒ ฤดูการผลิต โดยให้เริ่มใช้บังคับในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๓/๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นและพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ได้รับผลกระทบจากร่างระเบียบดังกล่าวด้วย รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เหมาะสมกับกลุ่มชุมนุมสหกรณ์และสหกรณ์ชาวไร่อ้อยแทนการขอยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติของสถาบันชาวไร่อ้อยอย่างต่อเนื่องทุกปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
637 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... | พณ | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขวันใช้บังคับตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... จาก “...เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “...เมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะลักของน้ำมันปาล์มเข้ามาในประเทศจากการลักลอบนำเข้าและนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มน้ำมันมาใช้หรือจำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
638 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 2 ราย 1. นายวันชัย วราวิทย์ 2. นางวรรณภรณ์ เกตุทัต) | พณ | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายวันชัย วราวิทย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางวรรณภรณ์ เกตุทัต ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
639 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม | พณ | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติวงเงินงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้เงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี จำนวน ๓๗๒.๕๑๖ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป ให้เป็นความรับผิดชอบของภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการ โดยจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ รวมถึงให้มีการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจะได้รับจากการดำเนินโครงการเพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สำหรับใช้ประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
640 | การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (จำนวน 12 ราย 1. นายสำราญ สาราบรรณ์ ฯลฯ) | อก | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสำราญ สาราบรรณ์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย ผู้แทนกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง ๓. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงานอุสาหกรรม ๕. นางสาวเพ็ญแข จันทร์สว่าง ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการกองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นายจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ สายนโยบายการเงิน ๗. นายเกียรติภูมิ ศรีจันทร์รัตน์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายปารเมศ โพธารากุล ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายสุวิทย์ พันธุ์วิทยากูล ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายศรายุธ แสงจันทร์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายวิณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายฉัตรชัย ธรรมสวยดี ผู้แทนโรงงาน
|
.....