ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 39 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 761 - 780 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
761 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรี RCEP สมัยพิเศษ ครั้งที่ 7 ณ เมืองเสียมราฐราชอาณาจักรกัมพูชา | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๑-๒ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายเข้าร่วมการประชุมในฐานะประธานการประชุมและปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยร่วมการประชุมดังกล่าว โดยที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และได้ให้ความเห็นชอบแผนการทำงานในปี ๒๕๖๒ (RCEP Work Plan for 2019) ที่ระบุเป้าหมายผลสำเร็จของการประชุมแต่ละรอบ โดยรัฐมนตรีทุกประเทศยืนยันที่จะให้มีการสรุปผลการเจรจาทั้งหมดภายในปี ๒๕๖๒ และได้มอบแนวทางผลักดันการเจรจาเปิดตลาด โดยขอให้เพิ่มความเข้มข้นในการหารือสองฝ่ายทั้งในและระหว่างรอบการประชุมเพื่อหาข้อสรุปที่พึงพอใจร่วมกันโดยเร็ว รวมทั้งได้มีการลงนามพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมความตกลงต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership Agreement : AJCEP) เพื่อผนวกบทการค้าบริการ บทการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา และบทการลงทุนกับความตกลง AJCEP ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
762 | การให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back - to - Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ไทยดำเนินการให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate to Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้กลไกการประชุมคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (SC-AROO) ผลักดันให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศดำเนินการติดตามผลการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าในรูปแบบดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางดำเนินงานในการป้องกันการสวมสิทธิโดยการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าจากประเทศนอกอาเซียนที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งควรมีกรอบแผนงานติดตามรูปแบบการค้าดังกล่าว (Monitoring Framework) และสนับสนุนกรมศุลกากรในการจัดเก็บสถิติการค้าสินค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตและสะท้อนผลที่เกิดจากความร่วมมือของอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
763 | การต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ไปอีก ๒ ปี คือ ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือ (Exchange of Notes) ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อให้รัฐบาลไทยสามารถเข้าร่วมประมูลขายข้าว G to G กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์เสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ๒ ปีดังกล่าว และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งนี้การต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ในครั้งนี้เป็นรูปแบบเดียวกับการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ล่าสุดที่ได้หมดอายุเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริมาณการซื้อขายข้าวระหว่างกันไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของตลาด สถานการณ์การผลิตและปริมาณข้าวของแต่ละประเทศ และราคาตลาดระหว่างประเทศที่มีการซื้อขายจริงในขณะนั้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เนื่องจากการต่ออายุบันทึกความตกลงฯ ครั้งที่ผ่านมา ฝ่ายฟิลิปปินส์มิได้มอบหนังสืออำนาจเต็มของฝ่ายฟิลิปปินส์ และแจ้งในภายหลังว่า ในกรณีนี้ ฟิลิปปินส์ไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเต็ม ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงควรหารือกับฝ่ายฟิลิปปินส์ว่า ในครั้งนี้มีความจำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มหรือไม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
764 | ขออนุมัติกรอบงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก พ.ศ. 2563 - 2565 | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ในกรอบวงเงินงบประมาณ ๕๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้จัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคาร และประมาณการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงของอาคารและพื้นที่ใช้สอย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาถึงความประหยัดและคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณ และปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓) ทั้งนี้ ให้จัดส่งรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทางนิติกรรมและรับโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ขอให้แจ้งกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐบาลไทยทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติราชการในประเทศที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่เป็นผู้ทำนิติกรรมและรับโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๐ ที่กำหนด ตลอดจนดำเนินการขึ้นทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยในต่างประเทศให้ถูกต้อง ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
765 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบการเพิ่มเป้าหมายเกษตรกรในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จากเดิม ๑๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน เป็น ๒๔๙,๙๑๘ ครัวเรือน (เพิ่มเป้าหมาย ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน) โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และชดเชยต้นทุนเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากผลของการเพิ่มเป้าหมายดังกล่าว ให้เป็นไปตามลักษณะวิธีการที่ได้ดำเนินการมาแล้วในโครงการดังกล่าว หรือเพิ่มเติมได้ แต่ให้อยู่ภายในกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๓,๔๕๗,๗๕๖,๒๕๐ บาท) ๒. ที่ประชุมเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ และขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท ออกไป จากเดิมสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๓. ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางและวิธีการเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบ เพื่อลดสต็อกภายในประเทศ โดยให้ ๓.๑ กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มอัตราการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพิ่มจากเดิม ๑,๐๐๐ ตัน/วัน เป็น ๑,๕๐๐ ตัน/วัน เพื่อเร่งดูดซับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ให้เร็วขึ้น ๓.๒ กฟผ. จัดหาสถานที่รับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามมาตรการดังกล่าวที่คลังรับฝากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา และรับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามสัญญาส่วนที่เหลือทั้งหมดจัดเก็บที่คลังดังกล่าวโดยเร็ว โดยให้ กฟผ. ชำระเงินค่าน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ผู้ขายหลังจากที่ผู้ขายได้นำน้ำมันปาล์มดิบเข้าจัดเก็บในคลังรับฝากที่ กฟผ. จัดหาเรียบร้อยแล้ว ในราคากิโลกรัมละ ๑๘ บาท หักค่าขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากคลังรับฝากถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงที่ผู้ขายน้ำมันปาล์มดิบต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการเก็บสต็อกและการรักษาคุณภาพ ให้กระทรวงพลังงานจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ช่วยบริหารจัดการ Supply Chain ๓.๓ มอบหมายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนมาตรการเร่งรัดการใช้น้ำมันปาล์มดิบและลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อนำไปผลิตเป็น บี ๑๐๐ บี ๒๐ หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถระบายออกนอกระบบได้โดยเร็ว และให้ ปตท. รับผิดชอบดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
766 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 7 | กต | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย (Minutes of the Meeting of the Seventh Session of the Joint Russian-Thai Commission on Bilateral Cooperation) ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้มีการทบทวนผลการดำเนินงานตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ เมื่อปี ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา และการผลักดันความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต ได้แก่ การเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การเกษตร การศึกษา วัฒนธรรม พลังงาน และสาธารณสุข รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่ไทยและรัสเซียเป็นสมาชิกร่วมกัน และมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบติดตามและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้แก่ (๑) ไทยและรัสเซียมีความสนใจที่จะขยายความร่วมมือร่วมกันในมิติต่าง ๆ ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม โดยฝ่ายรัสเซียประสงค์ที่จะให้มีการหารือร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งและเปิดศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียในไทย ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องพิจารณาการจัดทำร่างความตกลงดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎระเบียบภายในประเทศและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้ข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลไกในการแลกเปลี่ยนข้อมูล กฎระเบียบ และมาตรฐานการนำเข้าสินค้าของรัสเซีย ซี่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประกอบธุรกิจของไทยและการส่งออกสินค้าไปรัสเซีย และ (๓) ประเด็นด้านการเมืองและความมั่นคงที่ไทยควรเร่งผลักดันคือ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๒ ซึ่งจะช่วยเน้นย้ำบทบาทสำคัญของไทย ตลอดจนสร้างโอกาสในการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียในระยะยาว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
767 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. .... | พณ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาการใช้บังคับมาตรการตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
768 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งออกของไทยและอัตราการขยายตัวการส่งออกของไทยเปรียบเทียบกับสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียน ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การส่งออกของไทยและอัตราการขยายตัวการส่งออกของไทยเปรียบเทียบกับสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว สรุปผลการพิจารณาว่า ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะไปแล้วบางส่วน เช่น การรักษาสถานะการเป็นผู้นำของไทยในการส่งออกกลุ่มสินค้าทั้ง ๔ ประเภท (ข้าว น้ำตาล ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ) ให้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน และได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งการจับคู่ธุรกิจ การจัดคณะผู้ประกอบการเดินทางไปเจาะตลาดต่างประเทศ รวมทั้งภาครัฐได้มีกลไกบูรณาการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กรอบความร่วมมือ “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มอาเซียน และจะช่วยพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งภายในภูมิภาค พร้อมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์การส่งออกในปี ๒๕๖๒ โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิตอย่างชัดเจน และกำหนดนโยบายเร่งรัดการสร้างตลาด เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
769 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 103) พ.ศ. 2537 พ.ศ. .... | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๐๓) พ.ศ. ๒๕๓๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๐๓) พ.ศ. ๒๕๓๗ ลงวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๗ ที่กำหนดให้ปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองและผลิตภัณฑ์จากปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองเป็นสินค้าควบคุมที่ต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมงไปแสดงประกอบพิธีการนำเข้าต่อกรมศุลกากร เนื่องจากปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงมีมาตรการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสินค้าดังกล่าวภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการเฉพาะแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
770 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเห็นควรแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีข้อสังเกตว่า คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติควรมุ่งเน้นให้การบริหารจัดการการท่องเที่ยวต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่น รวมทั้งควรมีการกำกับดูแล ติดตามให้มีการปฏิบัติตามที่ได้มีการกำหนดไว้ด้วย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าจากผลผลิตทางการเกษตรหรือการใช้วัตถุดิบจากภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ภาคเกษตรกรรมอันจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
771 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ร่างประกาศดังกล่าวควรมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจน รัดกุม ตรวจสอบได้ รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรพิจารณากำหนดประเภทสินค้าที่มีการยกเว้นภาษีสรรพสามิตในร่างประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นไปตามมาตรา ๑๐๙ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
772 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2561 | สวพส. | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ซี่งที่ประชุม กปส. ได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ แบ่งเป็นเรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๒ เรื่อง และเรื่องพิจารณา จำนวน ๑๑ เรื่อง รวมถึงการปรับองค์ประกอบคณะทำงานสนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และการปรับแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๒. เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของ กปส. ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยให้ปรับเพิ่ม ๕ ตำแหน่ง คือ (๑) ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง เป็นที่ปรึกษา (๒) ที่ปรึกษาพิเศษของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เป็นที่ปรึกษา (๓) ผู้แทนสำนักพระราชวัง เป็นกรรมการ (๔) เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ และ (๕) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกรรมการ และปรับออก ๒ ตำแหน่ง คือ ราชเลขาธิการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วให้ดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่เฉพาะ ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) และแผนปฏิบัติการโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ตามแบบโครงการหลวงเพื่อการพัฒนาศักยภาพชุมชนบนพื้นที่สูง ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) สำหรับรายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้ว และหากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการในโอกาสแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้ กปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการของหน่วยงานในระดับพื้นที่ให้มากทั้งทรัพยากรและบุคลากรเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างสูงสุด (๒) ควรสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประชุมร่วมกันเพื่อหารือแนวทางขั้นตอนการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวง (โครงการพระราชดำริ) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามแผนที่ได้กำหนดไว้โดยเร็วต่อไป (๓) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกิจกรรมหรือโครงการที่เข้าข่ายที่จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ และ (๔) การขยายตัวของชุมชนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและขยายการเพาะปลูก รวมทั้งการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับรับโครงการฯ ควรคำนึงถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาความสมดุลธรรมชาติในระยะยาว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
773 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2561 | ทส | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการเสนอภาพรวมการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขาที่มีสถานการณ์ดีขึ้นและที่น่าเป็นห่วง ประเด็นสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ การคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในอนาคต และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ แบ่งออกเป็น (๑) มาตรการระยะสั้น (ควรดำเนินการในช่วง ๑-๒ ปี) ได้แก่ การพัฒนาระบบข้อมูลสิ่งแวดล้อม การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองพื้นที่ที่มีความสำคัญหรือมีความอ่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม และ (๒) มาตรการระยะยาว (ควรดำเนินการในช่วง ๓-๑๐ ปี) ได้แก่ การส่งเสริมการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การป้องกันการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินศักยภาพการรองรับของพื้นที่ การศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียน และการพัฒนากลไกความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมควรสร้างความรู้ ความเข้าใจ การสำนึกรักและหวงแหน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ของประชาชนในแต่ละพื้นที่ การพิจารณาถึงความกลมกลืนและผลกระทบเชิงลบต่อเอกลักษณ์ ความโดดเด่น และการลดทอนคุณค่าของแหล่งศิลปกรรมโดยปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
774 | การจัดทำพิธีสารแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ 4 (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของข้อบทการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ (Prohibition of Performance Requirements : PPR) เช่น กำหนดให้ใช้วัตถุดิบในประเทศ กำหนดสัดส่วนปริมาณหรือมูลค่าของการนำเข้าและส่งออก หรือการกำหนดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาลงทุน ห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่มีระดับเกินกว่าที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Investment Measures : TRIMs) ขององค์การการค้าโลก และกำหนดว่าสมาชิกอาเซียนจะต้องประเมินและทบทวนข้อบท PPR เพื่อพิจารณาเงื่อนไขหรือองค์ประกอบเพิ่มเติมเมื่อมีความจำเป็น เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ในที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๕ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามร่างพิธีสารฯ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารฯ ต่อไป ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารฯ แล้ว ๖. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนไทยทราบถึงขอบเขตการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่จะมีขึ้นจากการแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนดังกล่าว เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าของไทยกับประเทศในอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
775 | ผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (IMG) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ สมาพันธรัฐสวิส | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (Informal WTO Ministerial Gathering : IMG) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องกับการประชุมผู้นำเศรษฐกิจของโลก (World Economic Forum : WEF) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม IMG ได้มีการหารือเกี่ยวกับระบบการค้าพหุภาคีและการปฏิรูป WTO โดยเน้นย้ำความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีโดยยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าเป็นพื้นฐานสำคัญ (rule-based multilateral trading system) ซึ่งไทยเน้นย้ำความสำคัญของ WTO และระบบการค้าพหุภาคี โดยเชื่อมั่นว่าระบบการค้าพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยแก้ไขความตึงเครียด และประเด็นทางการค้า สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันหาแนวทางปรับปรุงระบบการค้าพหุภาคีให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อปรับปรุงกลไกการทำงานของ WTO ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขอุปสรรคของระบบการค้าพหุภาคี และเรียกร้องให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการปฏิรูป WTO อย่างครอบคลุม ๒. การประชุม WEF ได้มีการหารือเกี่ยวกับการพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและบทบาทของจีน และความร่วมมือเพื่อปฏิรูประบบอาหาร (food systems transformation) ระดับโลก ผ่านการเป็นหุ้นส่วน และการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ รวมถึงการสนับสนุนนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร การกำหนดนโยบายและความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วนเพื่อยกระดับนวัตกรรมด้านอาหาร ๓. การหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรองอธิบดีสำนักงานเกษตรแห่งสมาพันธรัฐสวิสซึ่งมีประเด็นหารือเกี่ยวกับระบบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในสวิตเซอร์แลนด์ และการหารือกับประธานกรรมการบริหารภูมิภาคเอเชียของบริษัทเนสท์เล่ โดยไทยได้เชิญชวนให้บริษัทเนสท์เล่เข้ามาขยายการลงทุนในไทยในสาขาที่ใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาสินค้าทางเลือกเพื่อสุขภาพหรืออาหารจากพืช โดยใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบทดแทนผลิตภัณฑ์นม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
776 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเพิ่มเติมสิทธิพื้นฐานของผู้ถือหุ้นรายย่อยเพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นได้อย่างแท้จริง กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการให้มีความโปร่งใสโดยใช้หลักธรรมาภิบาล กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การห้ามไม่ให้ถือหุ้นไขว้ในบริษัท เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบบริษัท และกำหนดเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการแปรสภาพบริษัทเป็นบริษัทเอกชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรกำหนดแนวปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ในกฎหมายลำดับรองให้มีความชัดเจน เพื่อให้บริษัทมหาชนจำกัด ผู้ลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยได้ตระหนักถึงสิทธิและบทบาทหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
777 | ขอความเห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 (เพิ่มเติม) | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ จำนวน ๕,๐๖๘.๗๓ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) เงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวฯ จำนวน ๔,๙๕๙.๔๗ ล้านบาท และ (๒) ค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๑๐๙.๒๖ ล้านบาท ได้แก่ ค่าชดเชยต้นทุนเงิน จำนวน ๑๐๗.๘๗ ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ จำนวน ๑.๓๙ ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๕๗,๗๒๒.๖๒ ล้านบาท รวมเป็นกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๖๒,๗๙๑.๓๕ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ ธ.ก.ส. จะต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ แยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป โดยแยกเป็นบัญชีโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และควรมีการติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสำเร็จของโครงการในการบริหารจัดการสินค้าข้าวทั้งหมดอย่างเป็นระบบในภาพรวม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปีต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
778 | งบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๕๖,๒๐๒,๖๙๘.๓๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการรับและจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยโครงการฯ ให้ครบถ้วน เพื่อความถูกต้อง โปร่งใส และสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
779 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 26 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 30 | กต | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุม รวมทั้งผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวอรุณี พูลแก้ว) เข้าร่วมการประชุม โดยสาระสำคัญของการประชุมได้มีการหารือถึงประเด็นขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปค เช่น การสนับสนุนการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตที่ครอบคลุม เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยตารางสรุปประเด็นติดตามผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ตารางสรุปประเด็นติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ และตารางสรุปการติดตามผลการหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เช่น การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การเสริมสร้างขีดความสามารถของ MSMEs และการจัดทำวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรเอเปค เป็นต้น ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
780 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 8/2561 | นร04 | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๘/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการจัดทำโครงการกำหนดเขตป่าชายเลนและอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าชายเลน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบแนวคิดการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์รวบรวมพันธุ์และจัดแสดงกล้วยไม้บริเวณพระธาตุดอยกองมู จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้ดำเนินตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ที่ประชุมรับทราบแนวคิดการดำเนินโครงการโชห่วยออนไลน์ และเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ และเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) เร่งรัดนำ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ เสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ เดือน ๕. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มจัดหางาน (Job Demand Open Platform) และเห็นควรให้กระทรวงแรงงานพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน และดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ที่ประชุมรับทราบหลักการของโครงการเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานส่งเสริมวิสาหกิจขุมชน และเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณให้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๗. ที่ประชุมรับทราบหลักการของโครงการนักบริหารชุมชน และเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย รับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม และเร่งรัดนำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายใน ๒ เดือน
|
.....