ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | ผลการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ 1 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องระหว่างการเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ ๑ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๓-๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับรัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ครั้งที่ ๑ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายและกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน และหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน เช่น (๑) ภาพรวมสถานการณ์ทางการค้าและเศรษฐกิจ (๒) กฎระเบียบด้านศุลกากร (๓) นโยบายอุตสาหกรรมของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียและนโยบายอุตสาหกรรม ๔.๐ ของไทย และ (๔) นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียและของไทย โดยประธานของฝ่าย EEC ได้ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาจัด ASEAN-EAEU Business dialogue ในช่วงการประชุม ASEAN Summit ปลายปี ๒๕๖๒ ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือกับภาคเอกชนจากประเทศสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย และได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย การปรับแก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และการเข้าร่วมลงทุนในไทยโดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตลอดจนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ เป็นต้น ซึ่งได้รับความสนใจจากภาคเอกชนของสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย และมีการสอบถามเกี่ยวกับการส่งสินค้ามายังไทย การใช้ไทยเป็นฐานการผลิต โดยใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ที่ไทยมีกับประเทศคู่ค้า เป็นต้น รวมทั้งได้เข้าร่วมการประชุม St. Petersburg International Economic Forum (SPIEF) ระหว่างวันที่ ๖-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการประชุมด้านเศรษฐกิจนานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซีย โดยมีหัวข้อหลักเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่กับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
722 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2562 (ครั้งที่ 25) | พณ | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๒๕) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับชิลี ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองบีนญา เดล มาร์ สาธารณรัฐชิลี โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวอรุณี พูลแก้ว) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๒๕) ที่ประชุมได้หารือร่วมกันภายใต้แนวคิดหลักคือ “เชื่อมโยงประชาชนเพื่อสร้างอนาคต ใน ๓ หัวข้อ ได้แก่ (๑) การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) (๒) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ได้แก่ เป้าหมายโบกอร์ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การรวมกลุ่ม ๔.๐ และวิสัยทัศน์ภายหลังปี ๒๕๖๓ และ (๓) การเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืนในยุคดิจิทัล ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล สตรีและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการปกป้องมหาสมุทร โดยในส่วนของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าซึ่งเป็นพื้นฐานของการค้าระหว่างประเทศที่เสรี โดยส่งเสริมการปรับปรุงกลไกการทำงานของ WTO ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ และการดำเนินการตามแผนงานเอเปคเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าบริการและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำการส่งเสริม MSMEs E-Commerce และการปฏิบัติตามแผนดำเนินการด้านอินเทอร์เน็ตและเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเปค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก และการเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลก สำหรับวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ ไทยมุ่งหวังให้รายงานของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเปคจะเสนอแนะทิศทางอนาคตของเอเปค โดยคำนึงถึงความเห็นของทุกภาคส่วนและภาคเอกชนต่อไป ๑.๒ ผลการหารือทวิภาคีระหว่างรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวอรุณี พูลแก้ว) กับผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการค้าชิลี (Mr. Rodrigo Yanez) โดยชิลีได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดยขณะนี้ชิลีมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และกำลังจะสรุปผลการเจรจากับอินโดนีเซีย ส่วนไทยแจ้งว่าจะพิจารณาและหารือร่วมกับอาเซียนและคู่เจรจาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคบางส่วน เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซียยังมีมุมมองและท่าทีที่แตกต่างกันอย่างมากในบางประเด็น โดยเฉพาะมุมมองและท่าทีต่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of Asia-Pacific : FTAAP) แนวทางการปฏิรูป WTO และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งควรต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมทั้งควรมีการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการต่อการเปิดเสรีทางการค้า และทบทวนมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทยให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
723 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2561 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2561 | สม | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคของสิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ แบ่งออกเป็น ๔ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การกระทำทรมานและการบังคับสูญหาย และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ) (๒) ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) (๓) ด้านการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล ๕ กลุ่ม (สิทธิเด็ก สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิของผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนใน ๓ ประเด็นที่อยู่ในความห่วงใย (สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการค้ามนุษย์) สำหรับรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้ส่งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการนโยบายที่สนับสนุนและส่งเสริมการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทั้งในด้านการเข้าถึงสิทธิทางการศึกษาและคุณภาพการศึกษา พร้อมกับการปรับปรุงและแก้ไขข้อขัดข้องต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่ากรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนควรมีกลไกกำกับดูแลการลงทุนในลักษณะข้ามชาติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ไปเพื่อเสนอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
724 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย (เจนไน-มุมไบ) ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเปิดงานสัมมนาเรื่อง “ธุรกิจบริการโรงแรมและวัสดุก่อสร้างและกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ” จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ณ นครมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย มีผู้เข้าร่วมงานจากภาคเอกชนของไทยและอินเดียรวมกันกว่า ๑๓๐ ราย ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ๔ สาขา ได้แก่ ที่พักอาศัยและอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐานชุมชนเมือง พร้อมทั้งเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) รวม ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งบอมเบย์ หรือชื่อเดิมนครมุมไบ (Bombay Chamber of Commerce & Industry) (๒) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มุมไบ (World Trade Center Mumbai) (๓) หอการค้าไทยและหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งรัฐคุชราตภาคใต้ (Southern Gujarat Chamber of Commerce & Industry) และ (๔) สภาธุรกิจไทย-อินเดีย และสภาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดย่อมไทย-อินเดีย (Indo-Thai Chamber of MSMEs) ๒. การพบประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งอินเดียภาคใต้ [Confederation of Indian Industry (CII)-Southern region] และสมาชิกสมาพันธ์ฯ ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ รวม ๙ สาขา ได้แก่ ยางและยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ ขนส่งและโลจิสติกส์ พืชน้ำมัน บริการ ร้านอาหารและโรงแรม เคมีภัณฑ์ ก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานและอากาศยาน เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) และธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและการลงทุน รวมทั้งผู้บริหารบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ในรัฐทมิฬนาฑูและรัฐมหาราษฏระ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน โดยเฉพาะหารือแนวทางส่งเสริมการค้าการลงทุนของไทยในอินเดียให้ขยายตัวเพิ่มยิ่งขึ้น ตลอดจนชักชวนให้นักธุรกิจอินเดียเข้ามาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น ๓. การพบผู้บริหารบริษัท Emrald Resilient Tyre Manufacturers Ltd. ผู้ผลิตยางล้อ และบริษัท Parisons และสมาคมผู้สกัดตัวทำละลายแห่งอินเดีย ผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม เพื่อหาลู่ทางขยายการส่งออกยางพาราและน้ำมันปาล์มของไทยสู่ตลาดอินเดียให้เพิ่มขึ้น ๔. การมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้แก่ร้านอาหารไทยในเมืองเจนไนและนครมุมไบ รวม ๒ แห่ง ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในอินเดียที่ได้รับมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT รวมทั้งสิ้น ๘ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
725 | การปรับกฎเฉพาะรายสินค้าจากพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2012 เป็นฉบับปี 2017 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ) | พณ | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับกฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSRs) จากพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๒ (HS 2012) เป็นฉบับปี ๒๐๑๗ (HS 2017) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (ASEAN-Korea Trade in Goods Agreement : AKTIGA) เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการให้บัญชี PSRs ในพิกัดศุลกากร HS 2017 ภายใต้ความตกลง AKTIGA มีผลบังคับใช้ภายในประเทศต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการปรับโอนพิกัดศุลกากรควรยึดตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงเดิม โดยหากมีการเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมพิกัด จำเป็นต้องกำหนดให้มีกระบวนการในการเจรจากับคู่ภาคีใหม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันก่อนการดำเนินการตามกระบวนการภายในประเทศตามพันธกรณีของความตกลงการค้าเสรีนั้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
726 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) และร่างแผนปฏิบัติงานวนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสัก (Work Plan Efficient silvicultural practices for promoting teak plantation) | ทส | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) และร่างแผนปฏิบัติงานวนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสัก (Work Plan Efficient silvicultural practices for promoting teak plantation) รวมทั้งอนุมัติให้อธิบดีกรมป่าไม้หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และแผนปฏิบัติงานฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑) ในการจัดทำแผนงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศด้วย (๒) ควรมีข้อความกำหนดห้ามการส่งตัวอย่างชีวภาพของไม้สักภายใต้โครงการวิจัยร่วมจากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ และ (๓) ควรตรวจสอบกับ JIRCAS ให้ชัดเจนว่า กรณีใดจึงจะถือว่าเป็นนักวิจัยระยะยาว เนื่องจากตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ หัวข้อการสนับสนุนทั่วไปมีข้อความกำหนดว่า “นักวิจัยแลกเปลี่ยนของ JIRCAS ตามที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสำหรับโครงการในระยะสั้นและระยะยาว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะทำการตกลงร่วมกันในการเสนอชื่อและนัดหมายการทำงานของนักวิจัยระยะยาวของ JIRCAS” เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติงานฯ ให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้การดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ พิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบครอบคลุมทุกมิติ ๓.๒ พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการจัดทำกฎหมายกลางที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้การบริหารจัดการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่ชุมชนหรือประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากรชีวภาพ ในกรณีที่ประเทศอื่นหรือบริษัทข้ามชาติจะนำองค์ความรู้จากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพในชุมชนไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า หรือนำองค์ประกอบทางพันธุกรรมหรือทางชีวเคมี หรือการใช้เทคโนโลยีชีวภาพต่อทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทยไปศึกษา วิจัย และนำมาผลิตเป็นสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
727 | มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ | อก | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ประกอบด้วย มาตรการทางกฎหมาย มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร และมาตรการขอความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ และเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคล และวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย ปรับพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นแปลงใหญ่ให้เหมาะสมกับเครื่องจักรกลการเกษตร และจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยบางส่วน (ขึ้นอยู่กับประเภทของผู้กู้) จำนวนรวมทั้งสิ้น ๙๔๓.๗๑ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ สำหรับกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยของโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำวงเงินสินเชื่อที่คงเหลือจากการดำเนินการในปีก่อน ไปใช้ดำเนินการในปีต่อ ๆ ไปด้วย ทั้งนี้ ภายในกรอบวงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น ๖,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงทำความเข้าใจแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ทุกระดับเกี่ยวกับรายละเอียดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยพึงจะได้รับจากโครงการฯ และควรระบุหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และข้อกำหนดของโครงการฯ ให้ชัดเจน เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำและจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อยในรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการ/โครงการ เพิ่มมูลค่าหรือใช้ประโยชน์จากใบอ้อยที่เหลือจากการตัดอ้อยสดให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยลดการเผาอ้อยก่อนเก็บเกี่ยวและเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยอีกทางหนึ่งด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่าง ๆ ข้างต้น ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด สอดคล้องกับหลักการขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และพันธกรณีระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
728 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) ซึ่งเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มาเป็นวัตถุดิบในโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรพิจารณากลไกการกำหนดรายการวัตถุอันตราย ภายใต้คำจำกัดความของ..”ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ให้มีพลวัติ เพื่อให้ครอบคลุมขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นปัญหาในปัจจุบันและสารอันตรายรายการใหม่ ซึ่งมีโอกาสพบในขยะอิเล็กทรอนิกส์ และควรพิจารณาการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากกลไกการรับรองสินค้าที่สอดคล้องกับระเบียบการจำกัดการใช้สารอันตราย (ข้อกำหนด RoHS; Restriction of Hazardous Substances) ซึ่งเป็นข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องของการใช้สารที่เป็นอันตรายในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีผลบังคับใช้ในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มาประกอบการพิจารณาอนุญาตนำเข้า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ไปประกอบการตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจพิสูจน์ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่โรงงานนำมาใช้เป็นวัตถุนั้นเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าหรือไม่อย่างไร การป้องกันปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบของโรงงาน รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการโรงงานปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่นำมาถอดแยกเพื่อนำโลหะกลับมาใช้ตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
729 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์) | พณ | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
730 | สถานะและมาตรการรองรับการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2562 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 28 มกราคม 2562 | พณ | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะและมาตรการรองรับการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. มาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษที่กำหนดให้การประดิษฐ์ที่มีสารสกัดจากกัญชาธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เป็นการประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรที่ประกาศโฆษณาแล้ว แต่ผู้ขอรับสิทธิบัตรยังไม่ได้ยื่นคำขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ มาตรการดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว เมื่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ ๒๕๖๒ มีผลใช้บังคับ โดยเปิดโอกาสให้สามารถนำกัญชาไปทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าวต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรเกี่ยวกับกัญชาที่ได้ยื่นก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่จำเป็นต้องเสนอมาตรการระยะยาวเพื่อรองรับมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษอีก ๒. กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามข้อ ๕ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ โดยเสนอร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเลิกมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. กรณีอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ ไม่ได้มีสภาพบังคับเป็นมาตรการพิเศษ และไม่ได้มีผลเป็นการแก้ไขกฎหมาย จึงไม่ต้องกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรองรับกรณีดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
731 | ร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับมาตรการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ รวม 2 ฉบับ | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับมาตรการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนแก่การส่งออก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนแก่การส่งออก ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณประโยชน์ที่ผู้รับการอุดหนุนได้รับจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
732 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำเข้ามาในประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดทุนขั้นต่ำและระยะเวลาในการนำหรือส่งทุนขั้นต่ำเข้ามาในประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการนำส่งเงินทุนขั้นต่ำให้แก่คนต่างด้าวซึ่งประกอบธุรกิจในประเทศไทยโดยสนธิสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีหรือมีความผูกพันตามพันธกรณีได้ให้สิทธิเป็นการยกเว้นแก่คนชาติภาคีอีกฝ่ายหนี่งเป็นการต่างตอบแทนออกไปอีก ๑๐ ปี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
733 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ. .... | สธ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา เพื่อให้มีการควบคุมและกำกับดูแลที่เข้มงวด รัดกุม อันเป็นการป้องกันการนำกัญชาไปใช้ในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑) กัญชา ตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จัดเป็น “สิ่งไม่ต้องห้าม” การนำเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องแนบใบรับรองสุขอนามัยพืชจากประเทศต้นทางกำกับมาพร้อมกับสินค้าและแจ้งการนำเข้าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด ณ ด่านตรวจพืชที่นำเข้า และกรณีนำเข้าส่วนขยายพันธุ์ ต้องมีหนังสือรับรองว่าไม่ใช่พืชตัดต่อสารพันธุกรรม (non GMOs) ประกอบด้วย และ (๒) กัญชา ณ ปัจจุบัน ยังไม่ได้อยู่ในข่ายควบคุมของพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ได้ประกาศให้เป็นพันธุ์พืชควบคุม และพันธุ์พืชสงวน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกลไกกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบกรณีมีการนำกัญชาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และควรประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนทราบถึงหลักเกณฑ์ วิธีการและข้อกำหนดต่าง ๆ ในการขออนุญาตเพื่อการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา รวมถึงประโยชน์และโทษของกัญชาให้ครอบคลุมทุกมิติ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลกระทบจากการดำเนินการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ที่เป็นระบบและมีความชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
734 | เอกสารบันทึกการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ 1 | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารบันทึกการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ ๑ และอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมลงนามรับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างเอกสารบันทึกการประชุมฯ มีเนื้อหาเกี่ยวกับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งการหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์และประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ จะมีการลงนามรับรองเอกสารบันทึกการประชุมฯ ในช่วงการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ สำนักงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
735 | การแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ตกหล่นเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2559/60 | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการจ่ายเงินโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ให้แก่เกษตรกรที่ตกหล่นแต่ละราย จำนวน ๒๘,๗๙๒ ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘๐,๒๕๙,๙๐๖ บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้ว โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริง เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรที่มีเอกภาพและประสิทธิภาพ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปีต่อ ๆ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
736 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จำนวน 14 คน 1. นางปัจฉิมา ธนสันติ ฯลฯ) | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จำนวน ๑๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๑.๑ นางปัจฉิมา ธนสันติ ๑.๒ นายชัยปิติ ม่วงกูล ๑.๓ นางลัดดาวัลย์ กรรณนุช ๑.๔ นางมยุรา มานะธัญญา ๑.๕ นายอัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ ๑.๖ นายทรงพล สมศรี ๑.๗ นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๒.๑ นายธนิต ชังถาวร ๒.๒ นายวุฒิพงษ์ อินทรธรรม ๒.๓ นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ ๒.๔ นางสาวศิริพร บุญชู ๒.๕ นายสมหมาย เตชวาล ๒.๖ นางสาวศศิวิมล มีจรูญสม ๒.๗ นางสาวศุทธินี อินทรกำแหง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
737 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2562 และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูง ในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) | พณ | 21/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ (Special 301) ประจำปี ๒๕๖๒ และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) โดยเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative : USTR) ได้จัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย โดยปรับสถานะจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (Priority Watch List : PWL) มาอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) และเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ USTR ได้ประกาศสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าฯ ประจำปี ๒๕๖๒ โดยประเทศไทยยังคงสถานะอยู่ในบัญชี WL สำหรับรายงาน Notorious Markets เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๑ USTR ได้ประกาศรายชื่อ Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๐ ไม่ปรากฏชื่อย่านการค้าหรือศูนย์การค้าในประเทศไทยเป็น Notorious Markets แต่รายงาน Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๑ ได้มีการระบุช่อตลาดในประเทศไทย ๒ แห่ง เป็นการละเมิดในท้องตลาด ๑ แห่ง คือ ย่านพัฒน์พงษ์ และตลาดออนไลน์ ๑ แห่ง คือ www.shopee.co.th ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎหมายสิทธิบัตรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ๒.๓ ในส่วนของรายงาน Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๑ ที่ได้มีการระบุชื่อตลาดในประเทศไทย ๒ แห่ง คือ ย่านพัฒน์พงษ์ และ www.shopee.co.th ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในตลาดดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของหน่วยงานภาครัฐที่มีความรัดกุมและได้มาตรฐานเดียวกัน การผลักดันให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ภาคเอกชนและประชาชน การแสดงออกถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าว การจัดทำรายงาน Notorious Markets ควรมีการติดตามและสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการและดำเนินการตรวจสอบตลาดและช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
738 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 25 | พณ | 21/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๒๒-๒๓ เมษายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานการประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ เห็นชอบประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยผลักดันให้อาเซียนร่วมกันดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จในปี ๒๕๖๒ (Priority Economic Deliverables) ประกอบด้วย ๓ ด้าน ๑๓ ประเด็น ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของอาเซียนสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๔ การส่งเสริมความเชื่อมโยง และการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ รวมทั้งที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าอาเซียนจะต้องมีบทบาทเชิงรุกเรื่องการปฏิรูปองค์การการค้าโลก (WTO) โดยเห็นชอบใน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การธำรงไว้ซึ่งระบบการค้าพหุภาคี ความจำเป็นในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ทางการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการค้าในปัจจุบัน และความเร่งด่วนในการปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทของ WTO นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการลงนามความตกลงอาเซียน ๒ ฉบับ ได้แก่ ความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement : ATISA) ที่จะนำมาใช้แทนกรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนฉบับปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ โดยครอบคลุมหลักการเรื่องต่าง ๆ เช่น การเสริมสร้างการจัดทำกฎระเบียบภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเสริมสร้างความโปร่งใส การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในอาเซียน และการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการระหว่างกัน เป็นต้น และพิธีสารฉบับที่ ๔ เพื่อแก้ไขความตกลงการลงทุนของอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA) เพื่อปรับปรุงความตกลงฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
739 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 21/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประเมินผลกระทบที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่อาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า การลงทุน และการส่งออกสินค้าของไทย รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวด้วย ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์ให้ประชาชนใช้น้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษ B20 แทนน้ำมันดีเซลให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดให้มีจุดบริการประชาชนในการปรับแต่งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลให้สามารถรองรับน้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษ B20 นั้น ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการเพื่อขยายผลการดำเนินการให้มีการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยอาจพิจารณาความเหมาะสมในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรถรับจ้างสาธารณะใช้น้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษ B20 ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
740 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2562 | พณ | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐชิลี และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญภายใต้หัวข้อหลัก คือ เชื่อมโยงประชาชนเพื่อสร้างอนาคต โดยประเด็นที่เอเปคให้ความสำคัญ ได้แก่ (๑) สตรี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (๒) สังคมดิจิทัล (๓) การบูรณาการ ๔.๐ และ (๔) การเจริญเติบโตที่ยั่งยืน รวมทั้งประเด็นเป้าหมายการเพิ่มระดับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปค และเอเปคกับองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งยืนยันถึงความสำคัญของการมีระบบการค้าพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ ยึดกฎเกณฑ์ โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างการเจริญเติบโตและความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและความเข้มแข็งของ WTO ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศอาจใช้โอกาสนี้แสดงความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย (MSMEs) ให้ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน สอดคล้องกับ APEC Strategy for Green, Sustainable and Innovative MSMEs ซึ่งไทยมีบทบาทนำในการยกร่างและผลักดันให้มีการรับรองยุทธศาสตร์ดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคประจำปี ๒๕๖๐ และการส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ไทยมีบทบาทนำในกลุ่ม APEC Telecommunications and Information Working Group (TELWG) ในการยกร่าง APEC Framework for Securing the Digital Economy ซึ่งได้รับการรับรองโดย TELWG เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ๒๕๖๒ รวมทั้งข้อสังเกตที่ว่า หากการจัดทำร่างแถลงการณ์ฯ ไม่สามารถหาฉันทามติได้ในประเด็นที่มีข้อขัดแย้ง เช่น ระบบการค้าพหุภาคี ก็อาจพิจารณายืดหยุ่น โดยนำประเด็นดังกล่าวแยกออกมาหารือเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคสามารถหาข้อสรุปได้ ไปดำเนินการต่อไป
|
.....