ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
601 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เหรียญตัวเปล่าโลหะเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เหรียญตัวเปล่าโลหะเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๙๓) พ.ศ. ๒๕๓๖ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๖ โดยกำหนดให้เหรียญตัวเปล่าโลหะเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และกำหนดชนิดราคา ลักษณะ ขนาด น้ำหนัก และส่วนผสมของเหรียญตัวเปล่าโลหะให้สอดคล้องกับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในปัจจุบัน จำนวน ๙ ชนิดราคา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
602 | ของดการจัดสรรเงินส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติของดการจัดสรรเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ตามมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในทุกฤดูการผลิต เป็นการชั่วคราวจนกว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จะแล้วเสร็จ ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ควรมีการติดตามและรายงานผลการดำเนินการของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ และพิจารณาเร่งรัดการเพิ่มผลิตภาพการผลิตอ้อยให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถเพิ่มผลผลิตและมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาผลิตผลเกษตรกรรมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
603 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการยืนยันขอให้คงอยู่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันผลกระทบอันเนื่องจาก “การให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา” และคณะกรรมการนโยบายอาหาร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี ขอให้ยึดหลักการปฏิบัติงานที่เกิดประสิทธิผล เป็นรูปธรรม เป็นที่ประจักษ์ มีความรับผิดชอบ โปร่งใสและสุจริตอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
604 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษและการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสามสมัยพิเศษว่าด้วยโควิด - 19 | พณ | 02/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารจำนวน ๒ ฉบับ ที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษและการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) สมัยพิเศษว่าด้วยโควิด-๑๙ (Special AEM Meeting and Special AEM Plus Three Consultations on COVID-19) ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-๑๙ มีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการตามปฏิญญาของการประชุมสุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก ๓ ส่วน ได้แก่ ขอบเขตความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียน การส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้เข้มแข็ง และกลไกเชิงสถาบันเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการฮานอยฯ ๑.๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสามว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ในการนำถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม สมัยพิเศษ เรื่อง โควิด-๑๙ มาหาแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาตลาดการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างเพื่อเสริมสร้างการฟื้นตัวและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค และคงไว้ซึ่งการเคลื่อนย้ายที่จำเป็นของสินค้าและบริการ เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิและพันธกรณีภายใต้ความตกลงที่เกี่ยวข้องขององค์การการค้าโลก และเห็นด้วยที่จะหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่จำเป็นอันอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายของสินค้าจำเป็น รวมทั้งสนับสนุนการแสวงหามาตรการอำนวยความสะดวกที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
605 | ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง | กษ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๑๖๔.๑ ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพอันเนื่องมาจากการปฏิรูปภาคการประมงไทย ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทำการประมง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๑๖๔.๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จำนวน ๒,๑๖๓ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และติดตามโครงการ จำนวน ๑.๑ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) พิจารณาโอนเงินจัดสรร เปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับไปพิจารณาดำเนินการให้ผู้ประกอบการประมงพื้นบ้านขนาดเล็กสามารถกู้เงินในรูปแบบกลุ่มได้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า (๑) ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (๒) การพิจารณาให้สินเชื่ออาจพิจารณาตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับ IUU เนื่องจากเป็นประเด็นร่วมมือสำคัญกับ EU รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องกับ WTO (๓) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีระบบติดตามการนำเงินกู้ไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ (๔) ควรตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติผู้ประกอบการประมงในการขอสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ เป็นรายปี และ (๕) ควรให้ความสำคัญกับกลไกและกระบวนการป้องกันและกำกับดูแล ไม่ให้มีการนำเงินทุนที่ได้รับไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยเฉพาะกับการทำประมงอย่างไม่ถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงให้ชัดเจนและขับเคลื่อนการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป เช่น ปัญหาการทำประมงทับซ้อนของผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน การบริหารจัดการการทำประมงสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ทั้งในและนอกน่านน้ำไทย การคุ้มครองเรือประมงของไทยทั้งในและนอกน่านน้ำไทย การติดตาม ตรวจสอบ และปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย และการปราบปรามเรือประมงสองสัญชาติ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
606 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน ว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน | พณ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน ว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน [ASEAN-China Economic Ministers’ Joint Statement on Combating the Coronavirus Disease (COVID-19) and Enhancing ACFTA Cooperation] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีเศรษฐกิจของอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการร่วมกันป้องกันและควบคุมปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลวิชาการ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การให้ความช่วยเหลือด้านบุคลากรวิชาชีพ เทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับความร่วมมือเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน เช่น การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของสินค้าและบริการอย่างเสรีตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และการขจัดอุปสรรคทางการค้าด้านภาษีและมิใช่ภาษี เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
607 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงพาณิชย์และรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงพาณิชย์และรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ชุดใหม่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ เป็นโฆษกกระทรวงพาณิชย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๒. นางลลิดา จิวะนันทประวัติ เป็นรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ๓. นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม เป็นรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
608 | การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2563 เพิ่มเติม | กษ | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม จำนวน ๖,๔๐๐ ตัน โดยการขยายปริมาณโควตาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งภายในประเทศ เนื่องจากการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าในช่วงการปลูกมันฝรั่งนอกฤดู (เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม) ซึ่งผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรม และมีการทำสัญญารับซื้อผลผลิตระหว่างผู้ประกอบการนำเข้ากับเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำตามที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาเพิ่มเติม ควรยึดหลักความจำเป็นและเดือดร้อนของผู้ประกอบการ โดยให้พิจารณาปริมาณการนำเข้าตามโควตาที่ได้รับการจัดสรรในคราวแรกให้แล้วเสร็จเกินครึ่งก่อนพิจารณาจัดสรรปริมาณโควตานำเข้าเพิ่มเติมต่อไป และควรพิจารณากำหนดปริมาณโควตานำเข้าในระดับที่เหมาะสมในรอบปีต่อไป โดยพิจารณาจากศักยภาพและแผนการส่งเสริมการเพาะปลูกในประเทศ รวมถึงแนวโน้มความต้องการวัตถุดิบในอุตสาหกรรมที่จะใช้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น และการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพื่อลดปริมาณการนำเข้าและให้มีผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กำกับดูแลไม่ให้เกิดกรณีผลผลิตหัวมันฝรั่งสดออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตและเกษตรกรผู้เพาะปลูกด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
609 | การทบทวนรายชื่อผู้แทนไทยที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณา (Panel) และองค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body) ภายใต้พิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism : EDSM) | พณ | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
๑. เห็นชอบรายชื่อผู้แทนไทยที่มีคุณสมบัติเข้าดำรงตำแหน่งผู้พิจารณาและสมาชิกองค์กรอุทธรณ์ภายใต้พิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism : EDSM) ดังนี้ ๑.๑ ผู้พิจารณา (Panelists) จำนวน ๓ คน ได้แก่ ๑.๑.๑ ดร.พรชัย ด่านวิวัฒน์ ๑.๑.๒ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ๑.๑.๓ นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ๑.๒ สมาชิกองค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body Members) จำนวน ๒ คน ได้แก่ ๑.๒.๑ ดร.อนันต์ จันทรโอภากร ๑.๒.๒ ดร.สุทัศน์ เศรษฐบุญสร้าง ๒. หากมีเหตุจำเป็นที่ผู้พิจารณาของไทยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่พิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนกำหนดไว้ หรือหากจะมีการปรับปรุงรายชื่อบุคคลที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณาในอนาคต มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการสรรหาผู้พิจารณาคนใหม่ได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
610 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า | พณ | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า รวม ๓ คน แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ดังนี้
๑. นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการ ๒. นายสกล กิตติ์นิธิ กรรมการ ๓. นายสัมมา คีตสิน กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
611 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 | พณ | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารที่จะเวียนให้รัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกเอเปคร่วมรับรองทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีการลงนาม ในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคและการมีบทบาทสำคัญของเอเปคในการร่วมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ อย่างทันท่วงที เช่น การสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจเอเปคดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกเพื่อเร่งการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และการส่งเสริมให้เอเปคมีวาระด้านดิจิทัล รวมทั้งพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการค้าบริการที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) อาจเสนอให้มีการขยายขอบเขตเนื้อหาให้ครอบคลุมแนวทางการเผยแพร่องค์ความรู้และถอดบทเรียนร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีในการรับมือและป้องกันการระบาดของโรคในอนาคต และแนวทางการเร่งรัดการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาทั้งของไทยและเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
612 | การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2562/63 (เพิ่มเติม) | พณ | 28/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบประมาณการวงเงินชดเชยส่วนต่างโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๒/๖๓ และอนุมัติการจัดสรรงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๒/๖๓ เพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๓ โดยอนุมัติในส่วนที่ขาดอยู่ จำนวน ๔๕๔,๒๙๒,๔๓๑.๑๘ บาท ประกอบด้วย วงเงินที่จ่ายให้เกษตรกร จำนวน ๔๔๘,๒๒๖,๖๖๖.๙๗ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๖,๐๖๕,๗๖๔.๒๑ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนวางแผนการปรับโครงสร้างภาคเกษตรเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เข้มแข็งในระยะยาว โดยการจัดการฟาร์มแบบแปลงใหญ่ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจัดการการผลิตและการจัดการด้านการตลาด ตลอดจนการเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อเพิ่มการใช้ภายในประเทศที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและมีโอกาสเปิดตลาดการส่งออก ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการส่งออกนอกเหนือจากจีนไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้มากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
613 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 26 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ สมะลาภา) เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม AEM Retreat ครั้งที่ ๒๖ มีประเด็นที่สำคัญ อาทิ (๑) สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ประชุมฯ ได้ออก “ถ้อยแถลงรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียนในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) ซึ่งระบุย้ำการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคโควิด-๑๙ (๒) การเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Trade in Goods Agreement : AKTIGA) ที่ประชุมฯ เห็นพ้องให้มีการเจรจาเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติม AKTIGA ในรูปแบบอาเซียนลบ (ASEAN-X) ได้ และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการอาเซียนและสิงคโปร์ในฐานะประเทศผู้ประสานงานหารือกับเกาหลีใต้ต่อไป และ (๓) การพิจารณาการสมัครเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต ที่ประชุมฯ รับทราบกำหนดการเดินทางเยือนติมอร์-เลสเต สำหรับคณะค้นหาความจริง (Fact-Finding Mission) ของเสาเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ ๑-๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ เพื่อสำรวจความพร้อมของติมอร์ฯ ก่อนนำผลการศึกษาไปรวมกับผลการศึกษาของเสาการเมืองและความมั่นคง และเสาสังคมและวัฒนธรรมต่อไป ๒. การหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN-BAC) ที่ประชุมฯ รับทราบประเด็นที่ภาคธุรกิจของอาเซียนให้ความสำคัญและจะดำเนินการในปี ๒๕๖๓ อาทิ การสร้างสภาพแวดล้อมและอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ MSMEs โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจเห็นว่าการดำเนินงานจะต้องคำนึงถึงความหลากหลายของสาขาและระดับของธุรกิจ เพื่อให้ทำโครงการหรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง และขอให้มีการหารือกับภาครัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในอาเซียน ๓. การประชุมเรื่องความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ที่ประชุมฯ รับทราบสถานะล่าสุดของการเจรจา และท่าทีของอินเดียในการเข้าร่วม RCEP และมีมติยืนยันที่จะให้มีการลงนามภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ผู้นำได้ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ว่าอินเดียจะเข้าร่วมหรือไม่ โดยเห็นชอบให้ประเทศกลุ่มผู้ประสานงานของอาเซียน (ASEAN Troika) หารือกับอินเดียและญี่ปุ่น และเห็นชอบแผนการดำเนินงานของคณะเจรจาที่จะทำงานแบบคู่ขนาน (dual tracks) เพื่อเร่งหาข้อสรุปประเด็นคงค้างที่มีอยู่ และในขณะเดียวกันจะร่วมมือกันโน้มน้าวอินเดียให้กลับเข้าร่วมการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาของอินเดีย รวมถึงพิจารณาหาทางเลือกอื่นเพื่อให้อินเดียยังคงเป็นส่วนหนี่งของความตกลงฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
614 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 | กค | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๒,๙๑๐.๓๙ ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐๖.๖๑ ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๒,๘๐๓.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม ๒,๘๐๓.๗๘ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน ธ.ก.ส. บวกร้อยละ ๑ ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินรวม ๒,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ และส่วนที่ ๒ (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๕ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยพิจารณากำหนดรูปแบบการประเมินความเสียหายแก่เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ ร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๓ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการหารือเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของกรอบวงเงินในการดำเนินการ ซึ่งจะต้องไม่เกินสัดส่วนตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ รวมทั้งการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง ตลอดจนการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีในปีต่อไป ให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ให้พิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ทั้งในส่วนของการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยภาคสมัครใจ (Tier 2) รวมถึงการส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ร่วมจ่ายเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ และการประเมินและศึกษาแนวทางการปรับลดสัดส่วนการอุดหนุนของภาครัฐในการจ่ายเบี้ยประกันภัยตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓.๒ ให้เร่งดำเนินการนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ก่อนเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตลอดระยะเวลาการเพาะปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิต ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ และ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ และเรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
615 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | ปช | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ (๑) รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรที่หลากหลาย โดยเฉพาะร้านค้าปลอดอากรในเมือง (Downtown Duty Free) (๒) รัฐบาลควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางที่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าในร้านค้าปลอดอากรในเมืองและนำสินค้าดังกล่าวติดตัวไปได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปรับสินค้า ณ จุดส่งมอบสินค้าในสนามบิน และ (๓) รัฐบาลควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าจากร้านค้าปลอดอากรในเมืองให้เหมาะสมเช่นเดียวกับร้านค้าปลอดอากรในท่าอากาศยาน โดยอาจพิจารณาให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บส่วนแบ่งผลประโยชน์ดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม พิจารณาการเปิดโอกาสให้การประกอบกิจการจุดส่งมอบสินค้า (Pick up counter) มีผู้ประกอบการมากกว่า ๑ ราย หรือให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าในร้านค้าปลอดอากรในเมือง (Downtown Duty Free) สามารถนำสินค้าดังกล่าวติดตัวไปได้ ซึ่งจะเป็นการป้องกันการผูกขาดและการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายเดียว ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันตามกลไกตลาด รวมถึงการกำหนดค่าตอบแทนหรือส่วนแบ่งรายได้ที่ภาครัฐพึงได้รับกรณีมีการประกอบกิจการจุดส่งมอบสินค้า (Pick up counter) และการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรในเมือง (Downtown Duty Free) โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐเป็นสำคัญ และ (๒) ทอท.พิจารณาจัดทำแนวทางหรือมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันการทุจริตจากการให้สิทธิการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) และการประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานในความดูแลของ ทอท. และส่งเสริมให้การให้สิทธิประกอบกิจการดังกล่าวมีความโปร่งใส เท่าเทียมกัน และตรวจสอบได้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
616 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน - ญี่ปุ่นว่าด้วยข้อริเริ่มด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นว่าด้วยข้อริเริ่มด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามโดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ โดยเรียกร้องให้มีความพยายามร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ได้แก่ การรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอันใกล้ชิดระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น การบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ และการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
617 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นของเสียเคมีวัตถุ ตามบัญชี ๕.๒ ลำดับที่ ๒.๑๘ ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๖ และตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๘๔ และประเภท ๘๕ เฉพาะรหัสสถิติ ๘๙๙ ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ตามบัญชีท้ายประกาศ จำนวน ๔๒๘ รายการ เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการใช้คำว่า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “ของเสียเคมีวัตถุ” และ “ของเสียอิเล็กทรอนิกส์” ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ และพิกัดอัตราศุลกากร ที่มีการอ้างอิงถึง ตามร่างข้อ ๓ และร่างข้อ ๔ ของร่างประกาศดังกล่าว อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นคนละประเภทกัน จึงควรแก้ไขการใช้ถ้อยคำดังกล่าวให้สอดคล้องกันเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย นอกจากนี้ การกำหนดให้มีดุลยพินิจในการพิจารณา กรณีเป็นที่สงสัยตามข้อ ๔ วรรคสอง ของร่างประกาศดังกล่าว อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งไม่เป็นไปตามที่มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติรับรองไว้ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการผลักดันให้เกิดกฎหมายหรือกลไกรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์จากครัวเรือน เพื่อนำไปจัดการอย่างถูกต้องและปลอดภัยในโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในการถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีระบบบำบัดมลพิษหรือนำของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการรีไซเคิลไปกำจัดอย่างถูกต้องเหมาะสม และภาครัฐควรมีนโยบายหรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนโรงงานรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำที่มีการใช้เทคโนโลยีการสกัดหรือนำโลหะกลับคืนหรือการทำให้บริสุทธิ์ขึ้นภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรภายในประเทศ ลดการส่งออกชิ้นส่วนที่มีมูลค่าไปต่างประเทศ โดยเฉพาะวัสดุหรือชิ้นส่วนที่มีโลหะมีค่าและแร่ธาตุหายากเป็นองค์ประกอบที่สามารถสกัดแยกมาใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
618 | การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทำสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) และการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน ๗๕๐.๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๘๒.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งผลกระทบจากโรค COVID-19 อาจทำให้ความสามารถในการผลิตแต่ละประเทศลดลงและมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการเปิดตลาดข้าวของไทยในอนาคต โดยต้องไม่กระทบกับความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
619 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณี และเครื่องประดับแห่งชาติ (นายมนตรี เนรกัณฐี) | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมนตรี เนรกัณฐี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ซึ่งตนแทน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
620 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนิน “โครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘๐๑,๐๖๖,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดหาในราคาที่เหมาะสม เกิดความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนเป็นสำคัญ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับค่าชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัยให้ผู้ผลิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาความต้องการใช้และกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดได้เพียงพอและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับทราบและป้องกันการกักตุน โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการจัดสรรและกระจายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การจัดซื้อหน้ากากอนามัยจากโรงงานผลิตให้แก่กระทรวงมหาดไทยเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ทุกจังหวัดดังกล่าว จะต้องไม่ทับซ้อนกับการผลิตของโรงงานที่จะจัดสรรให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อแจกจ่ายบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งควรต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยควรมีการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงอย่างทั่วถึงตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งควรให้ความรู้แก่ประชาชนในการใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในแต่ละพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....