ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 888 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17741 - 17760 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17741 | รายงานความคืบหน้าและการประเมินผลสำเร็จในการกำจัดผักตบชวาในภาพรวม | มท | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าและการประเมินผลสำเร็จในการกำจัดผักตบชวาในภาพรวม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กลไกการแก้ไขปัญหาผักตบชวา ได้แต่งตั้งคณะกรรมการและคณะทำงาน (๑) คณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา มีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานกรรมการ (๒) คณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาผักตบชวา มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะทำงาน และ (๓) คณะทำงานเพื่อปฏิบัติการแก้ไขปัญหาผักตบชวา ระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะทำงาน ๒. การวางแผนบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการปราบปราม (เก็บใหญ่) และ (๒) มาตรการป้องกันเพื่อความยั่งยืนในการกำจัดผักตบชวา (เก็บเล็ก) โดยมอบหมายให้กระทวงมหาดไทยบูรณาการแนวทางในการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาผักตบชวาเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยกองบัญชาการกองทัพไทยให้การสนับสนุนเครื่องจักรและกำลังพล ๓. เทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาผักตบชวา แบ่งเป็น ๓ วิธี ได้แก่ การใช้แรงงานคนและเครื่องมือ (Mechanical Approach) การใช้เทคโนโลยีทางสารเคมี (Chemical control Approach) และการใช้เทคโนโลยีชีววิธี (Biological Approach)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17742 | ผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ ๒-๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ภายในงานมีคูหา Country Pavilion ๑๑ ประเทศ และคูหาแสดงสินค้า ประกอบด้วย อินเดีย ๔๘ คูหา อาเซียน ๙๐ คูหา และไทย ๕๕ คูหา รวมทั้งมีการจัดสัมมนา (Forum) สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและภาคเอกชนจากอาเซียนและอินเดีย ภายใต้แนวคิด “Strategic Economic Partnership and Connectivity” ใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การค้าและการลงทุน (๒) การท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงของคน และ (๓) ความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาค ๒. การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ (๑) การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนของไทยกับของอาเซียนและอินเดีย (๒) การสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างนักธุรกิจรุ่นใหม่ (๓) การเลี้ยงต้อนรับคณะรัฐมนตรีและเอกชนอาเซียนและอินเดีย (๔) การเยี่ยมชมเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ (๕) การจับคู่ธุรกิจยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเร่งรัดการส่งออก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17743 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการประกาศเกียรติคุณและการให้การสนับสนุนแก่หอพักเอกชน พ.ศ. .... | พม | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการประกาศเกียรติคุณและการให้การสนับสนุนแก่หอพักเอกชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกาศเกียรติคุณและการให้การสนับสนุนแก่หอพักเอกชนตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบรายงานเหตุผลที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายในระยะเวลา ๑ ปีตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากอนุบัญญัติมีหลายมาตราจึงต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17744 | รายงานการหารือทวิภาคีระดับรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขผลกระทบจากพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 | รง | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการหารือทวิภาคีระดับรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขผลกระทบจากพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) การแจกเล่มหนังสือเดินทาง (Passport) และเอกสารการเดินทาง (Travel Document) ให้กับคนงานประมาณ ๑๖๐,๐๐๐ คน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจกในเดือนสิงหาคมนี้ (๒) การเร่งรัดพิสูจน์สัญชาติแรงงานประมงในไทย ณ ศูนย์เบ็ดเสร็จในจังหวัดระยองและสงขลา และ (๓) การออกมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้แรงงานกัมพูชาเข้ามาฝั่งไทยโดยผิดกฎหมาย ๒. การหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการออกกฎหมายการทำงานคนต่างด้าวฉบับใหม่ ที่ทำให้แรงงานเมียนมาที่ไม่มีเอกสารเดินทางกลับประเทศจำนวนมาก เช่น จัดตั้งศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน ๑๐๐ ศูนย์ทั่วประเทศ และ (๒) การขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาในการออกหนังสือเดินทางหรือหนังสือรับรองตัวบุคคล (Certificate of Identity) ให้แก่ผู้ไม่มีเอกสาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17745 | รายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2557 - 2561) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 รอบ 6 เดือน (เมษายน - กันยายน 2559) และปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 รอบ 6 เดือน (ตุลาคม 2559 - มีนาคม 2560) | ยธ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รอบ ๖ เดือน (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๙) และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รอบ ๖ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๙-มีนาคม ๒๕๖๐) ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอาชีพและการตลาด ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และการพัฒนาสังคม ยุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการชุมชนเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ และกำกับดูแลแผนแม่บท โดยมีกิจกรรมและงบประมาณจากการบูรณาการแผนปฏิบัติการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๘๑,๖๒๘,๓๑๐ บาท และ ๑๑๓,๘๕๑,๒๘๘ บาท ตามลำดับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17746 | ร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | นร09 | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐตามมาตรา ๖๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งต้องจัดทำให้แล้วเสร็จและเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสองร้อยสี่สิบวันนับแต่วันประกาศในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๗๘ ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศใช้เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ จึงต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17747 | รายงานผลการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ | กษ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ กรมส่งเสริมสหกรณ์เบิกเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดสรรเงินกู้ให้กลุ่มเกษตรกรไปดำเนินการในด้านส่งเสริมการผลิต ผลิตผลเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารและการพัฒนาธุรกิจในทุกด้าน โดยเงินดังกล่าวมีกำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี ซึ่งได้ครบกำหนดวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๒. ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ส่งชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๔๘๖,๘๔๔,๔๘๒.๖๙ บาท คงเหลือหนี้ค้างชำระ จำนวน ๑๓,๑๕๕,๕๑๗.๓๑ บาท ๓. คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกรออกไปจนกว่าจะสิ้นสุดการบังคับคดี โดยให้ได้รับการยกเว้นค่าเบี้ยปรับ ๔. ณ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ส่งชำระต้นเงินให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๓,๙๗๘,๓๐๑.๕๓ บาท คงเหลือต้นเงินค้างชำระ จำนวน ๙,๑๗๗,๒๑๕.๗๘ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17748 | รายงานผลการดำเนินงานกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ในฤดูการผลิต ปี 2558/2559 | อก | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ของคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจ่ายเงิน สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้แจ้งให้ธนาคารกรุงไทยโอนเงินเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยที่เป็นคู่สัญญาและมีสิทธิได้รับเงิน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ รวม ๑๓ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๙๔,๐๑๘,๓๕๖.๐๗๐ ตัน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕,๐๔๒,๙๓๖,๙๗๑.๑๕ บาท หรือร้อยละ ๙๙.๙๗ ของวงเงินที่จะต้องจ่ายทั้งหมด ๒. ชาวไร่อ้อยส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้รับเงิน คิดเป็นปริมาณอ้อย ๒๘,๖๘๕.๔๙๒ ตัน เป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๕๘๙,๖๗๘.๗๒ บาท หรือร้อยละ ๐.๐๓ ของวงเงินที่จะต้องจ่ายทั้งหมด จำแนกเป็น (๑) ชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นชาวไร่อ้อยที่ไม่จดทะเบียน จำนวน ๑๔๒ ราย ปริมาณอ้อย ๙,๕๒๕.๒๑๐ ตัน และ (๒) ชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ แต่ยังสามารถขอรับเงินช่วยเหลือได้ ซึ่งเป็นชาวไร่อ้อยที่ไม่ประสงค์ขอรับเงิน จำนวน ๑๐๒ ราย ปริมาณอ้อย ๘,๐๐๙.๔๐๐ ตัน และชาวไร่อ้อยที่อยู่ระหว่างการติดตามเพื่อให้มาติดต่อขอรับเงิน จำนวน ๔๐๗ ราย ปริมาณอ้อย ๑๑,๑๕๐.๘๘๒ ตัน ทั้งนี้ กรณีชาวไร่อ้อยที่ไม่จดทะเบียน ให้สิ้นสุดการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17749 | รายงานการเข้าร่วมประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา ครั้งที่ 6 (6th International Conference on Ministers and Senior Officials Responsible for Physical Education and Sport) ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย | กก | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเข้าร่วมประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา ครั้งที่ ๖ (6th International Conference on Ministers and Senior Officials Responsible for Physical Education and Sport) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ ๑๔-๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จัดโดยองค์การยูเนสโก ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา มีประเด็นสำคัญใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนากีฬาเพื่อคนทั้งมวลให้เข้าถึงกีฬาอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีการแบ่งแยก หรือกีดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรี เยาวชน และคนพิการ (๒) การส่งเสริมให้กีฬามีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำไปสู่สันติภาพตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี ๒๐๓๐ ขององค์การสหประชาชาติ และ (๓) การปกป้องจรรยาบรรณทางการกีฬา ส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แสดงความคิดเห็นสนับสนุนต่อแผนปฏิบัติการคาซาน (Kazan Action Plan) ประเทศไทยจะนำแผนปฏิบัติการดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพลศึกษาและการกีฬาของประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมใน ๕ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการสนับสนุนพลศึกษาและการกีฬาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม (๒) การให้การช่วยเหลือองค์กรและสมาคมกีฬาให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ (๓) การส่งเสริมกีฬาเพื่อคนทั้งมวล (๔) การผลักดันให้ E-Sport ได้รับการยอมรับเป็นชนิดกีฬา และ (๕) การช่วยเหลือประเทศเล็ก ๆ ให้สามารถก้าวตามข้อกำหนดต่าง ๆ ในการตรวจสารต้องห้ามทางการกีฬาได้ทัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17750 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานปราบปรามยาเสพติดฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและสารตั้งต้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมและเคมีภัณฑ์จำเป็น (Memorandum of Understanding between the Royal Thai Police and the Philippine Drug Enforcement Agency on Cooperation in Combating Illicit Trafficking in Narcotic Drugs, and Controlled Precursor and Essential Chemicals) | ตช | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานปราบปรามยาเสพติดฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและสารตั้งต้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมและเคมีภัณฑ์จำเป็น (Memorandum of Understanding between the Royal Thai Police and the Philippine Drug Enforcement Agency on Cooperation in Combating Illicit Trafficking in Narcotic Drugs, and Controlled Precursor and Essential Chemicals) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีกรอบพื้นฐานสำหรับความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้ายาเสพติดและสารตั้งต้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมและเคมีภัณฑ์จำเป็น โดยไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมาย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผนการปฏิบัติการและแก้ไขปัญหายาเสพติด การจัดระบบเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ปฏิบัติงานให้เกิดความพร้อม รวมทั้งต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ของไทยเพื่อดำเนินการอย่างมีเอกภาพและประสานสอดคล้องกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17751 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับสิงคโปร์ ในด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้านการลงทุน ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบิน และด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย รับรองผลการประชุมฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยสำหรับการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการประชุมฯ และการสนับสนุนภาคเอกชนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทย และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยเฉพาะในสาขาที่สิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการสนับสนุนภาคเอกชนสิงคโปร์เข้าร่วมลงทุนในแผนงานและโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) และการร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของ EEC ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17752 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ โดยให้ยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ จะจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๙ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๑๐ (รวมภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเริ่มดำเนินการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสนอมาในครั้งนี้สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการขยายฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความครอบคลุมสินค้าและผู้ประกอบการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ สร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ และลดการบิดเบือนกลไกราคาที่เกิดจากการไม่สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในภาคเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบภาษี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17753 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมสิทธิของลูกจ้าง โดยกำหนดให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีกรณีนายจ้างผิดนัดการจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระอันจำเป็นโดยได้รับค่าจ้าง และกำหนดให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตร เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันและเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินการคุ้มครองลูกจ้าง และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๕๕/๑ ที่กำหนดให้การดำเนินคดีนายจ้างกรณีไม่ยื่นหรือไม่แจ้งแบบแสดงสภาพการจ้างและการทำงานโดยไม่ต้องมีหนังสือแจ้งเตือนนั้นเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวและในกรณีสถานประกอบกิจการขนาดเล็กหรือเพิ่งจัดตั้งใหม่อาจไม่ทราบข้อกฎหมายดังกล่าวได้ อาจทำให้เกิดโทษต่อนายจ้าง ประกอบกับปัจจุบันสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำหนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวได้ อันจะเป็นการลดขั้นตอนและภาระค่าใช้จ่ายตามที่กระทรวงแรงงานเป็นผู้เสนอ รวมทั้งควรแก้ไขบทกำหนดโทษให้สอดคล้องและไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๐ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการประกาศใช้บังคับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17754 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการอัยการที่มีอายุครบ ๖๕ ปี นั้น ได้กำหนดเป็นหลักการที่ต้องกำหนดในการออกระเบียบคณะกรรมการอัยการว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินสมรรถภาพข้าราชการอัยการในปีงบประมาณซึ่งจะมีอายุครบ ๖๕ ปี ก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโสสำหรับการทดสอบสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ และข้อสังเกตเกี่ยวกับการกระทำอันมีลักษณะหาเสียงในการเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอัยการ ได้กำหนดไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17755 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (นายสาธิต มณีผาย) | กษ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสาธิต มณีผาย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและหรือออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17756 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขและการกีฬา แห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | กก | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขและการกีฬาแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จัดทำขึ้นเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการกีฬาระหว่างกัน รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การแลกเปลี่ยนด้านการกีฬาและเยาวชน (๒) การจัดฝึกอบรมบุคลากรทางกีฬา และ (๓) การส่งเสริมความร่วมมือด้านกีฬา เช่น อุปกรณ์กีฬา ครูฝึกกีฬา การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางกีฬา และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในการสนับสนุนเวชศาสตร์การกีฬา เป็นต้น โดยคาดว่าจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการกีฬาแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในโอกาสเยือนสาธารณรัฐเมียนมาต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ (โดยระบุตำแหน่ง) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17757 | (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) | อื่นๆ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ คือ (๑) การพัฒนาเพิ่มมูลค่าระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อพัฒนาและยกระดับมาตรฐานให้ได้ระดับสากล สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและบริหารจัดการได้ทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน (๒) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า และระบบห่วงโซ่อุปทานเส้นทางการค้าในกลุ่ม CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) และจีน และ (๓) การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะเร่งผลิตกำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และระบบติดตามประเมินผลเพื่อการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การต่อยอดเทคโนโลยีที่หน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ได้วิจัยและพัฒนาไว้ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและสามารถนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีและเกิดการผลิตและบริการได้จริงในประเทศ การกำหนดเป้าหมาย/ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจนมากขึ้น การจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษานักลงทุนที่สามารถใช้กลไก Team Thailand ได้ รวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการส่วนกลางระบบ National Single Window (NSW) และการซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าวเป็นกลไกการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สำเร็จและใช้ประโยชน์ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดและรายงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อบูรณาการการดำเนินการในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17758 | ขออนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง เพิ่มเติม ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินรวมของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจะเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมควรเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้างและค่ารื้อย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการลงทุนพัฒนาระบบรางภายใต้ความรับผิดชอบของ รฟท. และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการโดยสะท้อนถึงราคาตลาดที่แท้จริงและเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน รวมทั้งควรแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ เพื่อพิจารณาตรวจสอบ กลั่นกรอง ให้เกิดความรอบคอบ ถูกต้อง เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้เป็นค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินได้ตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้า และพิจารณากำหนดแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17759 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งและการขอยุบเลิกทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และเห็นชอบการยุบเลิกกองทุนสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ว่ากองทุนดังกล่าวต้องไม่มีภารกิจในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และเมื่อมีการจัดตั้งกองทุนแล้ว ต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐใด ๆ ในส่วนของการใช้เงินงบประมาณในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17760 | การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี | นร12 | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค) เพื่อให้สามารถจัดตั้ง “ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ ๗” ของสำนักงานคณะกรรมการส่งสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อรับผิดชอบภารกิจการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดและดูแลการลงทุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินภารกิจการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว เมื่อมีการปรับปรุงโครงสร้างและจัดเกลี่ยอัตรากำลังแล้ว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของภารกิจของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่มีอยู่เดิมเพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
