ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 884 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17661 - 17680 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17661 | การดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน | คค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน ในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ประกอบด้วย การจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม (CTC) และการดำเนินงานบูรณาการระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) เพื่อใช้งานระบบตั๋วร่วม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชนอย่างครบวงจรให้เสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ โดยข้อเสนอที่จะมีการให้สิทธิหรือโอนสิทธิให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยใช้ระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) นั้น เห็นควรดำเนินการตามระเบียบการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ตลอดจนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการโอนสิทธิระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทเพื่อเป็นผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17662 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากดง จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากดง จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลไตรตรึงษ์ และตำบลธำมรงค์ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวเขตปฏิรูปที่ดิน พร้อมทั้งสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งควรเพิ่มประเภทและขนาดของโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่และเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่มีน้ำเสียและขยะ และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17663 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 32 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 พฤษภาคม 2560) | นร04 | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ การดำเนินการที่สำคัญเพื่อส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง และส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17664 | ร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับ ดูแล รับผิดชอบการบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ จัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มขึ้นในสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการศึกษา วิจัยและพัฒนา ด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ และกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มต้องไม่มีภารกิจในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และเมื่อจัดตั้งกองทุนแล้วต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับการใช้งบประมาณของหน่วยงานของรัฐใด ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการสนับสนุนการผลิตและการวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนควรครอบคลุมด้านการป้องกันและหรือลดผลกระทบจากภัยที่เกิดจากศัตรูธรรมชาติทั้งโรคและแมลงระบาด นอกจากนี้ ควรเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรให้มีผู้ประสานงานกับกลุ่มเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ และการให้ผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่การผลิตทำรายงานปริมาณการผลิต การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ รวมถึงปริมาณนำเข้า ควรออกแบบระบบการเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดทำตัวชี้วัดผลสำเร็จการทำงานในการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบให้ชัดเจน และมีการวางระบบการติดตามประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสียที่จะต้องมีเงินส่งเข้ากองทุนให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17665 | ข้อตกลงการยอมรับร่วมรายสาขาว่าด้วยระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของอาเซียน (ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement for Inspection and Certification Systems on Food Hygiene for Prepared Foodstuff Products) | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามข้อตกลงการยอมรับร่วมรายสาขาว่าด้วยระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของอาเซียน (ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement for Inspection and Certification Systems on Food Hygiene for Prepared Foodstuff Products) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกรอบของประเทศสมาชิกอาเซียนในการยอมรับร่วมซึ่งกันและกันในระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารในอาเซียน ภายใต้พิกัดศุลกากร ตอนที่ ๑๖-๒๒ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้า ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๔๙ ระหว่างวันที่ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้แทนในคณะกรรมการร่วมรายสาขาที่ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีการประสานงานกับภาคเอกชนในการสนับสนุนข้อมูลประกอบการประชุมที่ครบถ้วน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อการจัดทำข้อกำหนด กฎ หรือองค์ประกอบของระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารที่ไม่เป็นอุปสรรคการส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17666 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 49 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประกาศความสำเร็จของการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง ที่ได้เริ่มการเจรจามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ และมีแผนที่จะลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๑ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ จำนวน ๑๔ ฉบับ ประกอบด้วย เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในอาเซียน จำนวน ๙ ฉบับ และเอกสารที่ AEM จะรับรองร่วมกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน จำนวน ๕ ฉบับ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุม AEM ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๖-๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในส่วนของเอกสารสรุปสาระแผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี ๒๐๑๗-๒๐๒๕ และข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และแผนการดำเนินงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย หลังปี ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17667 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - ภูฏาน ครั้งที่ 2 | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ มีสาระสำคัญในประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ด้านการค้าและการลงทุน (๒) ด้านการท่องเที่ยว (๓) ด้านการเกษตร (๔) ด้านการพัฒนาสินค้าหัตถกรรม และ (๕) การรักษาพยาบาลของชาวภูฏานในไทย ทั้งนี้ การประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ จะเป็นเวทีการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีการค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับภูฏาน และจัดทำแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับภูฏาน โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ และเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้โอกาสนี้ร่วมกันพิจารณาขยายปริมาณการค้าสินค้าและบริการที่แต่ละประเทศมีศักยภาพ โดยขยายความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนของไทยในภูฏานในสาขาบริการที่ไทยมีความเข้มแข็ง อาทิ บริการสุขภาพ และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17668 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้ยูเนสโก | วท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ ๒ ภายใต้ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในระดับนานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการจัดการศึกษาและวิจัยทางด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางดาราศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยและวิชาการทางดาราศาสตร์ โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในโอกาสการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโกที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๑๗,๗๕๘,๒๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17669 | ร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. 2560 - 2564) | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกวาจาและร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกวาจา เป็นการสรุปเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่มุ่งส่งเสริมและกระชับมิตรภาพและความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างกันในความร่วมมือทุกสาขาและทุกระดับเพื่อนำไปสู่การประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมฯ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ส่วนสาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขยายสาขาความร่วมมือเพิ่มเติม ๓ สาขา คือ สาขาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของแรงงาน สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสาขาสื่อและประชาสัมพันธ์ รวมเป็น ๒๐ สาขา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกวาจาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกวาจาและร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เสนอแก้ไขคำแปลในสาขาความร่วมมือที่ (๑๖) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ข้อ ๙๙ “ภูมิสารนิเทศและเทคโนโลยีอวกาศ” แก้ไขเป็น “ภูมิสารสนเทศและเทคโนโลยีอวกาศ” “เทคโนโลยีวัสดุนาโนเทคโนโลยี” แก้ไขเป็น “เทคโนโลยีวัสดุ นาโนเทคโนโลยี” และ “มาตรวิทยาและโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ” แก้ไขเป็น “มาตรวิทยาและโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17670 | ข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในวงเงินรวม ๒,๒๒๕.๔๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๗๓๗.๓๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการด้านการพัฒนาการเกษตร ๘ โครงการ วงเงิน ๔๘๘.๑๒ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ เร่งรัดการขอรับจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณและเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันในโอกาสแรก แล้วจึงขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เนื่องจากเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเห็นควรให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวต่อไป และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้อนุมัติไปแล้ว นอกจากนี้ บางโครงการยังขาดรายละเอียดของตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย โครงการ และแนวทางการติดตามประเมินผลโครงการ จึงควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ปรับปรุงบางโครงการให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น และมีการติดตามประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17671 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ | อก | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต/ธุรกิจบริการมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (๒) ผลักดัน System Integrator (SI) ให้มีจำนวนเพียงพอต่อการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตให้กับ SI ในประเทศ และ (๓) พัฒนาศักยภาพและบูรณาการความร่วมมือในเครือข่ายหน่วยงาน Center of Robotics Excellence (CoRE) และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายระหว่างกันและการเชื่อมโยงความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรและธุรกิจไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งควรมีกลไกการติดตามประเมินผลที่เป็นระบบที่สามารถสะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามการดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ในภาพรวมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น เพื่อนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศให้เหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17672 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหินของจังหวัดสมุทรสงคราม | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้จังหวัดสมุทรสงครามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหิน เนื้อที่ ๒,๖๒๓ ไร่ ๒ งาน ๒๓.๒ ตารางวา ตั้งอยู่ที่บ้านต้นลำแพน ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามขั้นตอนต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนการดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และภายหลังดำเนินโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้พื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าว รวมถึงประโยชน์โดยรวมสูงสุดที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ป่าชายเลนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อนำมาคำนวณพื้นที่ปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอตั้งงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณานำหลัก Strategic Environmental Assessment (SEA) มาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17673 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน ระยะที่ 2 | ทส | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน ระยะที่ ๒ (Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector of the ASEAN Region Phase II) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสภาพต่าง ๆ สำหรับการดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยเฉพาะในข้อกำหนดที่เกี่ยวกับความพยายามของอาเซียนในการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนต้องรับมาดำเนินการให้เป็นไปได้ภายใต้กฎหมาย กฎ และระเบียบของประเทศไทยต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ ๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17674 | ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของคุณสมบัติทั่วไปของ กสทช. การพ้นจากตำแหน่งนอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระของ กสทช. และอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17675 | การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 7 | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๓ และร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ ระบุรายการกิจกรรมและโครงการซึ่งจะมีการดำเนินการต่อไปในช่วง ๓ ปีข้างหน้า ครอบคลุมสาขาความร่วมมือ ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรน้ำ การเกษตรและพัฒนาชนบท และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งระบุข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพของกองทุนและโครงการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับร่างถ้อยแถลงฯ กล่าวถึงความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงและสาธารณรัฐเกาหลี รวมถึงโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน และที่จะได้รับการรับรองในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ และร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17676 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในกรอบเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 (MoU on Cooperation within the Framework of Silk Road Economic Belt and the 21st Century Maritime Silk Road initiative) | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในกรอบเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ ๒๑ (MoU on Cooperation within the Framework of Silk Road Economic Belt and the 21st Century Maritime Silk Road initiative) มีสาระสำคัญเป็นการมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงของแนวเขตเศรษฐกิจระหว่างกันในทุกด้าน ได้แก่ (๑) ด้านนโยบาย (๒) ด้านการอำนวยความสะดวก (๓) ด้านการค้าแบบต่อเนื่อง (๔) ด้านการรวมกลุ่มทางการเงิน และ (๕) ด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน โดยผ่านกลไกการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้แทนระดับสูงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอยู่จัดตั้งเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน การทำวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนบุคลากร และการฝึกอบรม เป็นต้น โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงการประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ ๙ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๔-๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17677 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๒๒๒,๖๖๘,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน ๘ แห่ง และในพื้นที่ต่างจังหวัด จังหวัดละ ๑ แห่ง จำนวน ๗๖ แห่ง รวมทั้งสิ้น ๘๔ แห่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17678 | ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยให้วงเงิน ๒๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกินกวา ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และวงเงิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (๒) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน ๔๕ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการดังกล่าวให้ดำเนินการภายในวงเงิน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดระเบียบกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการช่วยเหลือของแต่ละสวัสดิการโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และหากเห็นว่ากองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นแนวทางที่เหมาะสม ก็เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นการเฉพาะต่อไป รวมทั้งควรยกเลิกประกาศ/มาตรการ หรือคำสั่งในส่วนที่ซ้ำซ้อนกับการกำหนดแนวปฏิบัติในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรอย่างแท้จริง ตลอดจนติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ได้รับสวัสดิการที่รัดกุมโดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวตน หรือการยืนยันสิทธิในการใช้บัตร และทบทวนวงเงินสวัสดิการแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับความต้องการของครัวเรือน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือด้านการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณาทบทวน ปรับปรุง หรือเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17679 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.2 ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยให้ปรับกรอบวงเงินสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง จากเดิมจำนวน ๑,๖๔๙.๐๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๓,๕๐๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยวิธีการปรับเกลี่ยจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อวงเงินรวมของโครงการฯ จำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการตามร่างสัญญาดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง และเป็นโครงการความร่วมมือในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล จึงควรใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นให้ประชาชนทั่วไปรับทราบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส เหมาะสม และคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับและบริหารการดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้กรอบวงเงินรวมของโครงการอยู่ภายใต้กรอบวงเงินรวมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษและเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ๕. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17680 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการพัฒนาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน | รง | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการพัฒนาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนในการส่งเสริมให้ตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และดำเนินงานตามหลักมาตรฐานสากล เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งของการดำเนินงานและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของภูมิภาค โดยจะมีการลงนามในร่างถ้อยแถลงฯ ในการประชุมวิชาการโลกด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (World Congress on Safety and Health at Work 2017) ในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและลงนามในร่างถ้อยแถลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
