ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 887 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17721 - 17740 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17721 | รายงานผลการพิจารณาและการดำเนินการเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพนักงานรักษาความปลอดภัยมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ | ตช | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพนักงานรักษาความปลอดภัยมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเห็นควรให้มีการทบทวนโดยยกเลิกกำหนดคุณสมบัติพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องสำเร็จการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ ที่ประชุมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธุรกิจรักษาความปลอดภัย ได้ยกเว้นในเรื่องวุฒิการศึกษาของพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ก่อนพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัยฯ ใช้บังคับแล้ว และ (๒) กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเห็นควรให้มีการทบทวนโดยยกเลิกเงื่อนไขการกำหนดให้พนักงานรักษาความปลอดภัยมีคุณสมบัติสัญชาติไทย ที่ประชุมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าควรกำหนดให้เป็นบุคคลที่ต้องมีสัญชาติไทยตามที่พระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัยฯ บัญญัติไว้ เนื่องจากหากบุคคลต่างด้าวมาทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ และในการปฏิบัติหน้าที่อาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการติดต่อสื่อสารด้านภาษา เป็นต้น ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17722 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 5 ราย 1. นางเยาวลักษณ์ จำปีรัตน์ ฯลฯ) | นร07 | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นางเยาวลักษณ์ จำปีรัตน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๒. นายประยงค์ ตั้งเจริญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๓. นายสมหมาย ลักขณานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๔. นายภูมิรักษ์ ชมแสง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๕. นางสาวอมรวดี จักรไพวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17723 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายทาเซกาเย อาเบเบ อาดุนยา (Mr. Tsegaye Abebe Adugna)] | กต | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย ๒. แต่งตั้ง นายทาเซกาเย อาเบเบ อาดุนยา (Mr. Tsegaye Abebe Adugna) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17724 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ. 2555) | มท | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ. ๒๕๕๕) โดยแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมบางส่วนเป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และแก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยควรคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแล การอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17725 | ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงเก็บ พ.ศ. .... | พน | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงเก็บ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงเก็บ เพื่อประโยชน์แก่การป้องกันหรือระงับเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือความเสียหายหรืออันตรายที่จะมีผลกระทบต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17726 | รายงานการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 10 | คค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ ๑๐ [10th Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia] ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านคมนาคม หน่วยงานด้านการขนส่ง การพัฒนาและสิ่งแวดล้อมจากประเทศสมาชิก และผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายพิชิต อัคราทิตย์) พร้อมคณะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมฯ ประเทศไทยได้นำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความสอดคล้องของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการขนส่งของประเทศไทยในระยะ ๒๐ ปี กับแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติในด้านการพัฒนาการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ สะอาด และปลอดภัย โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในภาคการขนส่งเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านการเดินทางให้แก่ประชาชน และแผนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยตามแนวทางของปฏิญญากรุงเทพ ๒๐๒๐ ว่าประเทศไทยได้กำหนดให้มีแผนการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ ๒๐-๒๒ ผ่านการดำเนินการ (๑) การหลีกเลี่ยง (Avoid) การเดินทางที่ไกลเกินความจำเป็นและลดระยะทางในการเดินทาง (๒) เปลี่ยนรูปแบบ (Shift) ของการขนส่งไปสู่รูปแบบที่ยั่งยืน (๓) ปรับปรุง (Improve) มาตรฐานต่าง ๆ ของภาคการขนส่งทางถนน โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และ (๔) เพิ่มความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพในภาคการขนส่ง ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายพิชิต อัคราทิตย์) พร้อมคณะได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว (นาย Bounchanh Sinthavong) โดยนาย Bounchanh ได้แสดงความขอบคุณกระทรวงคมนาคมและสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ที่ให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาว ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยวแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวด้านการค้าและการลงทุนในระดับอนุภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17727 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๕ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๗.๔๔๑ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๕๔๐.๔๔๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๓๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป รวมถึงรายงานการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการตามมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โดยด่วนด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเป็นสำคัญ และจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมอย่างประหยัด โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมการเดินทางสาธารณะของประชาชนอย่างครบวงจร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17728 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) | รง | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ ค.ศ. ๑๙๕๘ (พ.ศ. ๒๕๐๑) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมให้มีนโยบายและมาตรการระดับชาติเพื่อป้องกันและขจัดการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ และมุ่งส่งเสริมโอกาสและการปฏิบัติที่ทัดเทียมในการจ้างงานและการประกอบอาชีพ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานจดทะเบียนสัตยาบันสารเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ต่อองค์การแรงงานระหว่างประเทศต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ให้เกิดผลนั้นจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากองค์การของนายจ้าง และของลูกจ้าง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การยอมรับและปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่ได้กำหนดขึ้น และหากกระทรวงแรงงานยืนยันได้ว่าพื้นฐานของการเลือกปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาฯ นั้น ไม่รวมถึงประเด็นเรื่องสัญชาติ (คนต่างชาติ) และจะไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติระหว่างคนในชาติและคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทั้งนี้ หากไทยต้องมีการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบในประเทศที่มีอยู่เพื่อให้การเป็นไปตามอนุสัญญาฯ เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17729 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารกรมควบคุมโรค พร้อมทางเดินเชื่อม จำนวน 1 หลัง | สธ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงิน ๑๕๖,๑๓๕,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๑๓,๒๓๑,๔๙๑ บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กรมควบคุมโรคดำเนินการก่อสร้างอาคารกรมควบคุมโรค พร้อมทางเดินเชื่อม (ส่วนที่เหลือ) จำนวน ๑ หลัง ในวงเงิน ๑๑๕,๒๖๑,๑๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาความเหมาะสมของราคาแล้ว สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้กรมควบคุมโรคพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในโอกาสแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้กรมควบคุมโรคดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต่อรองราคาให้ต่ำสุด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตลอดจนกรณีของการดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวที่ทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ เห็นควรที่กรมควบคุมโรคจะต้องตรวจสอบและดำเนินการกับบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งชื่อบริษัทที่ทิ้งงานให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ทราบ เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17730 | (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ (ฉบับที่ 1) (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการการคุ้มครองผู้บริโภคทุกภาคส่วนและการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการเป็น ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๕ กลยุทธ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงและการบูรณาการการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก และปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ การให้ความสำคัญกับการเตรียมการเพื่อรองรับกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการยกระดับศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งในด้านการพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การกำหนดกลยุทธ์รองรับประเด็นตามวาระการปฏิรูปทั้ง ๖ ประเด็นให้ชัดเจน และการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคโดยตรงเป็นลำดับแรก เช่น การแก้ปัญหาข้อร้องเรียนของผู้บริโภคให้ได้ข้อยุติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม การกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนในแต่ละประเภทเรื่องให้มีความชัดเจน รวมทั้งการขยายการดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น ธุรกิจทางการเงิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจซื้อขาย online โดยให้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง ๒.๒ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๒ (การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกร้องเรียนในแต่ละประเภทกิจการให้เชื่อมต่อไปยังหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการได้ต่อไป รวมทั้งให้นำข้อมูลการออกใบอนุญาตมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการติดตามคุ้มครองผู้บริโภคต่อไปด้วย ๒.๓ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๓ (การพัฒนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภคในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ โดยอาจพิจารณาให้มีทีมงานที่ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบข่าวสารที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวกับการเอาเปรียบผู้บริโภคเพื่อให้คำแนะนำหรือแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกับกรณีการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP man) ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17731 | ขอความเห็นชอบในการจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางทหาร | กห | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางทหาร (Memorandum of Arrangement between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defense of Japan on Cooperation and Exchanges in the Field of Defense) มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางทหาร การแลกเปลี่ยนมุมมอง ความรู้ และความสนใจร่วมกัน เช่น ความมั่นคงทางทะเล ความร่วมมือด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางทหาร การฝึกร่วมระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น รวมทั้งการฝึกร่วมในระดับพหุภาคี (การฝึกคอบร้าโกลด์) โดยมีกำหนดลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ ในช่วงเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบันทึกข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17732 | การประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ 2 | กต | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญาจาการ์ตาว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล (Jakarta Declaration on Blue Economy) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) ที่จะพัฒนาและใช้แนวทางเศรษฐกิจภาคทะเลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและผลประโยชน์ของประเทศทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการพัฒนาสาขาที่สำคัญ ได้แก่ การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พลังงานหมุนเวียนทางมหาสมุทร ท่าเรือและการขนส่งทางทะเล ไฮโดรคาร์บอนนอกชายฝั่งและแร่ธาตุใต้ทะเล การทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึก การท่องเที่ยวทางทะเล เทคโนโลยีชีวภาพทางทะเล การสังเกตมหาสมุทร การวิจัยและพัฒนา โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาจาการ์ตาฯ ในการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๒ (2nd Blue Economy Ministerial Conference) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๒ และร่วมรับรองปฏิญญาจาการ์ตาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาจาการ์ตาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17733 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2559 - 2560 | ยธ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายรวม ๘๑,๙๐๕ หมู่บ้าน/ชุมชน สรุปผลการดำเนินงาน อาทิ (๑) การบริหารจัดการ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดครบทั้ง ๗๖ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมทั้งจัดตั้งชุดปฏิบัติการประจำตำบลรวมทั้งสิ้น ๔,๓๔๕ ชุด (๒) การปราบปรามยาเสพติด เช่น จับกุมคดียาเสพติด ๒๔๑,๘๘๗ คดี ผู้ต้องหา ๒๖๖,๘๙๑ คน (๓) การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เช่น จัดตั้งศูนย์คัดกรองในทุกอำเภอ และจัดตั้งศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. รวมทั้งสิ้น ๙๘๙ แห่ง และการป้องกันยาเสพติด ในกลุ่มเด็กปฐมวัย กลุ่มเด็กนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และนักศึกษา รวมทั้งกลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา เช่น มีการผลิตสื่อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดและจัดส่งให้ครูผู้ดูแลเด็กทั่วประเทศ มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด เป็นต้น ๒. สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดและความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดใน ๗๖ จังหวัด และ กทม. โดยเปรียบเทียบระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๘-มีนาคม ๒๕๕๙ (ก่อนแผนประชารัฐร่วมใจฯ) กับระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๕๙ (ช่วงแผนประชารัฐร่วมใจฯ) สรุปผลได้ว่า (๑) การแพร่ระบาดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ลดลงร้อยละ ๒.๑ (๒) ผู้ค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ลดลงร้อยละ ๒.๖ (๓) ผู้เสพยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ลดลงร้อยละ ๒.๑ (๔) การแพร่ระบาดในโรงเรียน/สถานศึกษา เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๔ (๕) เจ้าหน้าที่ของรัฐสนับสนุนและกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ลดลงร้อยละ ๕.๑ และ (๖) ความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระดับมาก-มากที่สุด เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17734 | กรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการของกรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมสำหรับ ๕ กลุ่มอุตสาหกรรมหลักภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะกรรมการสานพลังประชารัฐของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์ อาทิ เห็นควรใช้กลไกการรับรองโครงการวิจัยสำหรับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปในการดำเนินการ ควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน (ผู้ว่าจ้างทำวิจัย) รวมทั้งมหาวิทยาลัยและนักวิจัย (ผู้รับจ้างทำวิจัย) ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักรับรู้และเข้าใจแนวทางและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ ควรกำหนดแนวทางในการกำหนดหัวข้อการวิจัยและการจัดทำฐานข้อมูลการวิจัย ควรส่งเสริมการพัฒนานักวิจัยใน ๕ กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก และควรมีระบบตรวจสอบความซ้ำซ้อนในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์ อาทิ ในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ เห็นควรพิจารณานิยามคำว่า "โครงการวิจัยและพัฒนา" เพิ่มเติมให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะของ "การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม" สำหรับนิยามของ "ผู้รับทำการวิจัย" ควรใช้หลักเกณฑ์และแนวทางตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด นอกจากนี้ ตามมาตรา ๗ กำหนดว่า หากใช้สิทธิตามพระราชกฤษฎีกานี้แล้ว ห้ามไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงการยกเว้นไปใช้สิทธิซ้ำซ้อนภายใต้กฎหมายอื่น ควรปรับปรุงแก้ให้ครอบคลุม ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับรองค่าใช้จ่าย เช่น รายการค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อการวิจัยที่โปร่งใส ตรวจสอบได้และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อให้คณะกรรมการสานพลังประชารัฐของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมใช้เป็นหลักเกณฑ์กลางในการพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ว่าจ้างทำวิจัยและกลุ่มผู้ว่าจ้างทำการวิจัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานความคืบหน้าและผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการตามกรอบแนวทางดังกล่าว เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับทราบเพื่อกำกับติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17735 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2560 และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ปี 2559/60 | กษ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๐ ของกรมส่งเสริมการเกษตร จากระยะเวลาสิ้นสุดเดือนเมษายน ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ปี ๒๕๕๙/๖๐ ของกรมพัฒนาที่ดิน จากระยะเวลาสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการผลิต และกำกับดูแลให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีการลดพื้นที่เพาะปลูกอย่างแท้จริง และส่งเสริมการปลูกพืชทดแทน รวมทั้งการดำเนินโครงการควรให้อยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนเร่งรัดดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามขั้นตอนต่อไป และจัดทำแผนเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่ขอขยายระยะเวลาเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของโครงการและเกิดประโยชน์แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17736 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2557 และขอดำเนินงานโครงการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพิ่มเติม | ดศ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีมีหนี้ผูกพันและกรณีไม่มีหนี้ผูกพันของโครงการภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล วงเงิน ๓,๗๕๕,๖๔๓,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการโครงการภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพิ่มเติม จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๒๑๘,๔๙๙,๖๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ครบถ้วนชัดเจน และเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรเร่งรัดดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดทำข้อกำหนดขอบเขตของงานและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานการติดตามประเมินผลและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้คณะรัฐมนตรีทราบ สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพิ่มเติม จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๒๑๘,๔๙๙,๖๐๐ บาท ให้นำไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลมีความสอดคล้องและครอบคลุมในทุกมิติ และสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างมีเอกภาพและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด ให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรให้แก่โครงการเพิ่มเติม จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๑๓,๖๕๘,๙๗๗ บาท และเงินเหลือจ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการเพิ่มเติมดังกล่าวส่งคืนกระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17737 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามระยะเวลาก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงใหม่ใน "โครงการก่อสร้าง อาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ 1" | อื่นๆ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ จากเดิมจำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๗,๖๖๕,๙๖๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๓๗๕,๖๓๙,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีกจำนวน ๖,๒๙๐,๓๒๑,๐๐๐ บาท ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เห็นควรให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17738 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามระยะเวลาก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงใหม่ใน "โครงการบ้านพักผู้ป่วยและญาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จังหวัดปทุมธานี" | อื่นๆ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งบประมาณเงินอุดหนุนทั่วไป รายการโครงการบ้านพักผู้ป่วยและญาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จากจำนวน ๘๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑๒๕,๖๙๘,๐๐๐ บาท ๒. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามระยะเวลาก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงใหม่ใน “โครงการบ้านพักผู้ป่วยและญาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์” จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17739 | สรุปผลการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ 2 ด้วยวาจา | ยธ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ ๒ ด้วยวาจา ซึ่งในการนำเสนอรายงานประเทศฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ถามคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ปัญหา อุปสรรค ข้อท้าทายในการดำเนินงานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยภายหลังจากนำเสนอรายงานประเทศฯ เสร็จสิ้นแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ได้ออกเอกสารข้อสังเกตเชิงสรุป ซึ่งรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้กับประเทศไทย ทั้งหมด ๑๘ ประเด็น เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพัฒนาการดำเนินงานในประเทศให้มีความสอดคล้องกับกติกาฯ ต่อไป เช่น (๑) ควรทบทวนมาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (๒) ขอให้รัฐบาลรับรองว่าจะคุ้มครองการเลือกปฏิบัติอย่างเต็มที่และรับรองว่ากลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ชนพื้นเมืองดั้งเดิม คนไร้รัฐ และผู้อพยพจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติและใช้ความรุนแรง (๓) สนับสนุนให้สตรีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในทุกภาคส่วน (๔) ควรพิจารณายกเลิกโทษประหารชีวิต แต่หากรัฐบาลจะยังคงโทษประหารชีวิตไว้ในกฎหมาย ขอให้ใช้กับความผิดอาญาที่ร้ายแรงที่สุดเท่านั้น (๕) ควรปล่อยตัวเหยื่อที่ถูกคุมขังตามอำเภอใจ และทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติ (๖) ควรดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อโอนคดีจากศาลทหารมายังศาลพลเรือน และให้โอกาสในการยื่นอุทธรณ์ (๗) พัฒนาสภาพสถานที่คุมขังเพื่อลดปัญหาคนล้นคุก (๘) ยกเลิกการคุมขังบุคคลที่ใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบแต่ไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อยของสังคม และ (๙) เสริมสร้างความพยายามในการลดจำนวนคนไร้รัฐ เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อห่วงกังวล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17740 | ผลการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐ (TIFA JC) | พณ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา [Trade and Investment Framework Agreement between the United States and the Kingdom of Thailand (TIFA) Joint Council : TIFA JC] ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ณ กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าและความร่วมมือเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ได้แก่ (๑) การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามแผนงานร่วมด้านทรัพย์ทางปัญญา ไทย-สหรัฐอเมริกา (๒) การปรับสถานะของไทยจากกลุ่มประเทศที่น่ากังวลลำดับรองในเรื่องการค้างาช้างผิดกฎหมายภายใต้ CITES (๓) การทบทวนสิทธิ GSP ไทยตามคำร้องของสมาพันธ์สหภาพแรงงานสหรัฐอเมริกา (AFL-CIO) (๔) ความคืบหน้าการปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัยของ WTO ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ (GATS) (๕) การเปิดตลาดเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์ของไทย (๖) ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก (๗) มาตรการฉลากภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (๘) การเปิดตลาดเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงตกค้างตามมาตรฐาน Codex และ (๙) ค่าธรรมเนียมการตรวจสอบเนื้อสัตว์นำเข้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
.....