ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 887 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17721 - 17740 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17721 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีรายการงบประมาณเดิมที่ยังมีความสำคัญและจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน และกรอกข้อมูลในระบบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ กรณีรายการงบประมาณเดิมที่มีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการที่บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดสรรงบประมาณแล้ว และ/หรือรายการที่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อนำไปช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย หรือปรับปรุงซ่อมแซม บูรณะสถานที่ราชการ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากอุทกภัย ตลอดจนป้องกันเหตุอุทกภัย เป็นลำดับแรก โดยให้ขอความเห็นชอบต่อรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๐ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ หากดำเนินการดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีวงเงินเหลืออีก ก็ให้พิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการ/โครงการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หรือขอทำความตกลงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ อย่างเคร่งครัด และหากดำเนินการแล้วยังมีวงเงินเหลือจ่ายอยู่ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อนำไปใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ที่ให้ทุกส่วนราชการเตรียมแผนการลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชน โดยพิจารณาปรับแผนงาน/โครงการ รวมถึงพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้รองรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ โดยควรเป็นแผนงาน/โครงการระยะสั้นที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน ๑ ปี รวมทั้งมีการกำหนดเป้าหมายและสถานที่ดำเนินการอย่างชัดเจนทั่วถึง เช่น การสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชนหรือหมู่บ้านในเส้นทางระยะสั้น ๆ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับชุมชนในพื้นที่ การจัดให้มีแหล่งน้ำทางการเกษตรขนาดเล็กในชุมชน การจัดให้มีตลาดระดับหมู่บ้านหรือตำบล เป็นต้น ๓. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. ๒๕๖๐ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งจะส่งผลให้วิธีปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างเปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรให้กรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในกรณีต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติฯ ให้เกิดความชัดเจนและเร่งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นโดยด่วน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ ได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17722 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล โดยใช้งบประมาณค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ในการจัดหาที่ดินของกรมชลประทาน | กษ | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จำนวน ๕๔ แปลง เนื้อที่ ๘๖-๒-๓๘.๓ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรดังกล่าว เห็นควรให้กรมชลประทานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ซึ่งมีเงินเพียงพอไปดำเนินการ ในวงเงิน ๒,๗๗๑,๐๖๔ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ โดยจะต้องกำกับการตรวจสอบสิทธิของบุคคลให้เป็นไปอย่างถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไม่มีความซ้ำซ้อน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับราษฎรที่จะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับรายที่ได้รับความช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้แล้ว ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17723 | รายงานผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 -2564 | กษ | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑) การจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อให้มีการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนในระดับต่าง ๆ และ (๒) ผลการดำเนินงานพัฒนาเกษตรอินทรีย์ และเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๘๕ โครงการ งบประมาณรวม ๑,๓๙๙.๑๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และมอบหมายงานด้านการวิจัย รวมทั้งสถาบันการศึกษาในพื้นที่สนับสนุนการดำเนินงานแบบบูรณาการในภูมิภาคต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑,๐๒๕.๙๘ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดแนวทาง/มาตรการในการลดปริมาณการนำเข้าและการใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และสารเคมีทางการเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ] รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะ ๆ ไปดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยให้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้ชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17724 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2560/61 | พณ | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ดำเนินการต่อเนื่องและสอดคล้องกับปีการผลิตที่ผ่านมา จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1 เท่ากับการดำเนินโครงการในปีการผลิตที่ผ่านมา กรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๑๘๐.๒๒๕ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยส่วนต่างจากอัตราร้อยละ ๓ เห็นควรให้ ธ.ก.ส. รับภาระ และเนื่องจากการดำเนินโครงการในปีที่ผ่านมามีเกษตรกรและสถาบันการเกษตรสนใจเข้าร่วมโครงการน้อย ธ.ก.ส. จึงควรประมวลปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกษตรกรจะได้รับเป็นลำดับแรก และเมื่อสิ้นสุดโครงการควรประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าเพื่อประโยชน์ในการจัดทำโครงการในปีต่อไป ๑.๒ แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๘ โครงการ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๓๗๑.๔๓๔ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง (๒) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่า (๓) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กให้วิสาหกิจชุมชน (๔) โครงการสนับสนุนเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกให้ด่านที่มีการนำเข้ามันสำปะหลัง (๕) โครงการกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน (๖) โครงการแปรรูปมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (๗) โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (มันเส้นสะอาด) และ (๘) โครงการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่าย เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ควรคำนึงถึงต้นทุนเงินและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้าและคำนึงถึงศักยภาพของลูกค้า ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรนำระบบการพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตต่อไร่และลดพื้นที่เพาะปลูก โดยในระยะแรกอาจพิจารณาจัดทำแปลงเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เกษตรกร และให้ประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพและคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสามารถเข้าร่วมโครงการของ ธ.ก.ส. ได้อย่างทั่วถึง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินโครงการให้ทั่วถึงเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังในปีต่อไป และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17725 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.1 การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” เป็น “โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๑ การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในวงเงินค่าจ้าง ๑,๗๐๖.๗๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ด้วยความละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ รวมถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ และให้ความสำคัญกับการกำกับและบริหารโครงการฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)] โดยเฉพาะกรณีการจัดตั้งองค์กรพิเศษ เพื่อให้สอดรับกับแผนการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17726 | ขออนุมัติการแสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือกับ OECD ในการดำเนินโครงการ Country Programme ในโอกาสที่เลขาธิการ OECD เยือนไทย | กต | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแสดงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการร่วมมือในการดำเนินโครงการ Country Programme (CP) และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) เป็นผู้ลงนามแทนรัฐบาลไทย ในโอกาสที่นาย Angel Gurria เลขาธิการ OECD จะเดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการ CP ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมเป็นผู้ประสานงานกับ OECD ในการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ CP และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุเจตจำนงของการดำเนินความร่วมมือกับ OECD ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17727 | ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร11 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) แก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานด้านน้ำและดินให้เอื้อต่อการประกอบอาชีพ การดำรงชีพ และการพัฒนาเศรษฐกิจของภาค (๒) ดูแลช่วยเหลือคนจน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี พึ่งพาตนเอง พึ่งพาครอบครัว และพึ่งพากันในชุมชนได้ (๓) ยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคไม่ต่ำกว่าระดับประเทศ (๔) เชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าของระบบเศรษฐกิจภาคเข้ากับระบบเศรษฐกิจของประเทศ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ (๕) พัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และมีบทบาทสนับสนุนประเทศเป็นศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อเสนอแผนงาน/โครงการในเบื้องต้นที่นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ไปพิจารณาและจัดทำเป็นแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือแบบบูรณาการให้มีความสมบูรณ์ภายใต้กระบวนการและกลไกการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการระดับภาค ๖ ภาคที่จะมีการจัดตั้งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17728 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร11 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ (๑) การพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ (๒) ผลการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มเติมจากสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการน้ำ (๒) การพัฒนาการเกษตร (๓) การพัฒนาฝีมือแรงงาน (๔) การแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิต (๕) การบริหารจัดการด่านศุลกากรและการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษบริเวณชายแดน และ (๖) การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรี่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17729 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17730 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17731 | การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัดได้ดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง หรือบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านไว้แล้ว และล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เห็นชอบในหลักการให้จังหวัดของไทยสามารถดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัด/เมือง/มณฑลของทุกประเทศได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] ดังนั้น จึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทย (ทุกจังหวัดที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์แล้ว) พิจารณาดำเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การสถาปนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายอย่างเหมาะสม และมีความต่อเนื่อง เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดแสดงและซื้อขายสินค้า การจัดประชุม/สัมมนาและแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17732 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในประเทศเวียดนามและเมียนมา และพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าว รวมทั้งให้เร่งพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวสู่ประเทศไทยด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานงานกับอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อรวบรวมข้อมูลการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดด้วย และนำข้อมูลไปใช้ในการพิจารณาแนวทาง/มาตรการส่งเสริม SMEs ในพื้นที่ต่อไป ๒.๒ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับไปประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการผลิตรถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cell Vehicle : FCV) ต้นแบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของสมาคมกีฬาประเภทต่าง ๆ ให้สามารถส่งเสริมและพัฒนานักกีฬาให้มีคุณภาพ และให้มีกระบวนการคัดเลือกผู้มีศักยภาพและความสามารถสูงสุดในแต่ละประเภทกีฬา เพื่อเป็นตัวแทนของชาติเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแนวทางในการนำนักเรียนที่มีความสนใจในด้านกีฬาหรือนักกีฬาของโรงเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นมีพื้นฐานและทักษะที่เหมาะสมมาพัฒนาให้เป็นตัวแทนทีมชาติหรือนักกีฬาอาชีพในอนาคต ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินงานเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๖ เดือน ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแนวทางการเตรียมความพร้อมของข้าราชการให้มีศักยภาพในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติและพัฒนางานให้มากยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมทั้งข้าราชการที่จะบรรจุใหม่และข้าราชการปัจจุบัน รวมถึงการจัดกรอบอัตรากำลังข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรงของหน่วยงานให้เพียงพอและเหมาะสมเพื่อให้สามารถดำเนินการขับเคลื่อนและพัฒนาระบบราชการไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลงานเป็นรูปธรรม รองรับการเข้าสู่ประเทศไทย ๔.๐ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17733 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำกระทรวงแรงงาน (นายสุเมธ มโหสถ) | รง | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุเมธ มโหสถ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำกระทรวงแรงงาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน รับเงินประจำตำแหน่ง ๒๑,๐๐๐ บาท ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๖/๒๕๖๐ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17734 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 50/2560 และครั้งที่ 51/2560 | นร | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๐/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๕๑/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17735 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาตามกรอบอำนาจหน้าที่เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้มีการจำแนกตามระดับรายได้ให้ได้รับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจน และบูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบันมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้เร่งพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการและให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกลุ่มต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเหมาะสมตามระดับรายได้ที่ได้มีการจำแนกไว้ ทั้งที่เป็นมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของประเทศในอนาคตเกินจำเป็น รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้ผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนฯ ได้เข้าสู่ระบบการจัดทำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังพิจารณาส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐที่มีการจัดทำโครงการขนาดใหญ่พิจารณาจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) นั้น ให้ทุกส่วนราชการนำข้อตกลงดังกล่าวไปใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางการติดตามและตรวจสอบภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในงานราชการ เช่น การให้สินบน รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดให้ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปฏิรูปกิจการตำรวจใน ๓ ด้านหลัก คือ (๑) ด้านองค์กร (๒) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๓) ด้านบุคลากร ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา ๙ เดือน โดยให้ศึกษาประเด็นปัญหาของทุกระบบภายใน ๒ เดือนแรก และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอีก ๔ เดือนถัดมา ในส่วน ๓ เดือนที่เหลือจะเป็นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะด้วย นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวจากการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ในแต่ละครั้งด้วย เพื่อจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๒.๔ ในการเสนอโครงการ/มาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของราชการในระยะต่อไป ให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับสภาพสังคมและภูมิศาสตร์ของพื้นที่ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ/มาตรการด้านการเกษตรและการบริหารจัดการน้ำที่ควรส่งเสริมให้เลือกพันธุ์พืชและวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ที่อาจมีความหลากหลาย และต้องพิจารณาถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น แหล่งน้ำธรรมชาติ ฝ่ายน้ำล้น เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาทบทวนโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว และพบว่ามีปัญหาไม่เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ เช่น ฝายชะลอน้ำ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และปรับปรุงให้เหมาะสม และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักประสานกรมประชาสัมพันธ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำวีดิทัศน์สรุปผลงานสำคัญของรัฐบาลเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาลในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) โดยให้มีความยาวประมาณ ๑๕ นาที และมีเนื้อหาที่ประกอบด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและทิศทางการดำเนินการในอนาคตในแต่ละภาคของประเทศที่ครอบคลุมทั้ง ๖ ภาค สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูปประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างให้แล้วเสร็จก่อน เพื่อใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก่อน สำหรับวีดิทัศน์ส่วนที่เหลือให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จสอดคล้องกับกรอบเวลาในการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จะกำหนดในครั้งต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17736 | ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร04 | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๖๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศแล้ว จำนวน ๒๒ เรื่อง ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาขับเคลื่อนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17737 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17738 | รายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 | คค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ซี่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้ว โดย สตง. มีความเห็นว่า งบการเงินของ รฟม. แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17739 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2559 | กค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยเป็นการรายงานภาพรวมธุรกิจประกันภัยเดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๙ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น ๗๗๗,๑๗๑ ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ ๔.๗๖ และผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย (๒) การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย (๓) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และ (๔) การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย รวมทั้งผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้รับคะแนนจากการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการและแผนการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ จำนวน ๔.๓๒๕ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17740 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 2 ฉบับ) (ที่ 37/2560 และ ที่ 38/2560) | สลธ.คสช. | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๗/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา สั่ง ณ วันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๘/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สั่ง ณ วันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
