ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 886 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17701 - 17720 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17701 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการบริหาราหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17702 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลิตแรงงานในสาขาที่ต่างประเทศมีความต้องการ เช่น แม่ครัว คนเลี้ยงเด็ก คนดูแลคนชรา นั้น ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการผลิตแรงงานมีฝีมือกลุ่มดังกล่าวเพื่อให้มีโอกาสไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะพ่อครัว แม่ครัว หรือลูกจ้างร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศสามารถประกอบอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติที่มีความเป็นไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้รวมถึงอาชีพการนวดแผนไทยด้วย โดยประสานงานกับกลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGO) ที่เกี่ยวข้องมาร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุผลและได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดีแล้ว นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาขยายผลการดำเนินการโครงการในระยะต่อไปโดยให้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่โครงการตลอดจนแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมทั้งความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศในประเด็นต่าง ๆ เช่น รูปแบบการปฏิบัติงาน หน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้การขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม (๒) การผันน้ำระหว่างแม่น้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น การผันน้ำจากเขื่อนป่าสักไปยังอ่างเก็บน้ำลำตะคองซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อับฝน (๓) การสร้างหรือขยายเส้นทางระบายน้ำ เช่น โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (จังหวัดชลบุรีและเมืองพัทยา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้ ๔.๑ เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงถนนสายหลักที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหรือระบายน้ำไม่ทันภายในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและพัทยาเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในขณะฝนตก รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ต่อไป ๔.๒ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการสร้างถนนเลียบชายทะเลเพิ่มเติมให้เชื่อมต่อกับถนนเลียบชายทะเลที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นเส้นทางคมนาคมสายรองสำหรับการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความแออัดของการจราจรบนถนนสายหลัก ๕. ตามที่ส่วนราชการได้มีการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ในการแถลงผลงานประจำปีของรัฐบาลนั้น ขอให้ส่วนราชการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้พร้อมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หากมีกำหนดการที่ชัดเจนและเหมาะสมแล้ว สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะได้ประสานแจ้งส่วนราชการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17703 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดระยอง พ.ศ. ....) | มท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดระยอง จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17704 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพิจิตร พ.ศ. ....) | มท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดระยอง จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17705 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ) | มท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดระยอง จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17706 | ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ประชานิเวศน์ 3) | พม | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ประชานิเวศน์ ๓) จำนวน ๕๕๖ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๔๖๔.๔๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๔๑๓.๘๒ ล้านบาท เงินรายได้ จำนวน ๕๐.๕๙ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาและเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๑๓.๘๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินโครงการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือกำหนดให้นิติบุคคลชุมชน กคช. จัดให้มีระบบขนส่งเพื่อขนส่งผู้อยู่อาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด และจัดเตรียมแผนการบริหารจัดการชุมชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาพลักษณ์ตราสินค้าของ กคช. ในการพัฒนาที่พักอาศัยลักษณะผสมผสานกลุ่มรายได้ในอนาคต รวมทั้งควรควบคุมการขายโครงการฯ และการโอนลูกหนี้ในระยะที่กำหนด รวมถึงควบคุมค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ อย่างรัดกุมเพื่อให้มีความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางการบริหารความเสี่ยงในกรณีไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และกำหนดเงื่อนไขการป้องกันการเก็งกำไรเพื่อให้โครงการฯ บรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยในการมีที่อยู่อาศัยใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการดำเนินโครงการฯ ให้ กคช. คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบของที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานด้วย ๒.๒ ให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การซื้อ การบริหารโครงการ และการทำสัญญาซื้อขายให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริงและป้องกันการนำกรรมสิทธิ์ไปขายต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๒.๓ ให้พิจารณาจัดสรรกำไรจากการดำเนินโครงการฯ อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในโครงการอื่น ๆ ของ กคช. เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีที่อยู่อาศัยในเขตเมืองได้ในลักษณะเช่าหรือเช่าซื้อ และเพื่อเชื่อมโยงกับการดำเนินนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17707 | การนำแนวคิด Tech Visa ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาปรับใช้กับประเทศไทย | กต | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๒) รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) และ (๓) แนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และบุคลากรจากต่างชาติ (SMART Visa) รวมทั้งเรื่อง การนำแนวคิด Tech Visa ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาปรับใช้กับประเทศไทย ซึ่งมีแนวทางดำเนินการ ได้แก่ การกำหนดวีซ่าประเภทใหม่ การกำหนดกลุ่มบุคคลเป้าหมายตามสาขาที่ประเทศไทยต้องการ การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย และการพัฒนา One Stop Service Center ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติดังกล่าวต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถเปิดให้เสนอขอ SMART Visa ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17708 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ชัยภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์และสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17709 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | มท | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลเหนือเมือง ตำบลในเมือง ตำบลดงลาน ตำบลรอบเมือง ตำบลขอนแก่น อำเภอเมืองร้อยเอ็ด และตำบลนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม และโรงงานประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน เป็นต้น รวมทั้งเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17710 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเมืองเพีย อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเมืองเพีย อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูปที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17711 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา (๑) สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางรวม ๑๙๖ กิโลเมตร ลงนามในสัญญารวม ๔๐ สัญญา ผลงานก่อสร้างร้อยละ ๑๑.๕๙ เร็วกว่าแผนงานร้อยละ ๐.๓๒ (ตามแผนงานร้อยละ ๑๑.๒๗) และ (๒) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทางรวม ๙๖ กิโลเมตร ลงนามในสัญญารวม ๒๑ สัญญา อยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญา ๔ สัญญา ผลงานก่อสร้างร้อยละ ๒.๕๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๔๖ (ตามแผนงานร้อยละ ๙.๐๐) ๒. การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (0peration and Maintenance) คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี โดยเอกชนเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้างรวมถึงรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทั้งหมด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17712 | ผลการดำเนินงานการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเนื่องจากพายุตาลัสและพายุเซินกา ครั้งที่ 1 | กษ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเนื่องจากพายุตาลัสและพายุเซินกา ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ชี้แจงแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการ การช่วยเหลือเยียวยาฯ ผ่านระบบประชุมทางไกล (web conference) แก่จังหวัด ๒. เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือแจ้งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ เรื่อง การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเนื่องจากพายุตาลัสและพายุเซินกา พร้อมทั้งแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการ การช่วยเหลือเยียวยาฯ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบเพื่อพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ๓. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานพื้นที่ประสบอุทกภัย ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ ๕ กรกฎาคม ถึง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๔๔จังหวัด ๔. จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ ๕ กรกฎาคม ถึง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๓๓ จังหวัด ๕. สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการ การช่วยเหลือเยียวยาฯ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยมีจังหวัดประกาศให้เกษตรกรยื่นแบบความจำนง จำนวน ๕ จังหวัด อยู่ระหว่างเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดลงนามในการประกาศยื่นแบบความจำนง จำนวน ๒๒ จังหวัด และยังไม่ดำเนินการ ๖ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17713 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560) | นร | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๒/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17714 | ขอความเห็นชอบต่อร่างพิธีสารการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจไทย - สาธารณรัฐเช็ก ครั้งที่ 2 | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจไทย-สาธารณรัฐเช็ก ครั้งที่ ๒ (Draft Protocol of the 2nd Session of the Joint Commission on Economic Cooperation between the Kingdom of Thailand and the Czech Republic) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ รวมทั้งประเด็นที่จะมีการแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยจะมีการรับรองร่างพิธีสารฯ ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างพิธีสารฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรปรับปรุงร่างพิธีสารฯ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17715 | การประชุมคณะกรรมการร่วม ภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยรับรองข้อกำหนดขอบเขต (Terms of Reference : ToR) ของการทบทวนทั่วไปความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น ในการประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) ภายใต้ JTEPA (JC-JTEPA) ครั้งที่ ๔ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ส่วนประเด็นการขออนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม JC-JTEPA ครั้งที่ ๔ นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรระบุให้ชัดเจนว่า ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการว่าด้วยการทบทวนทั่วไปรายงานผลการทบทวนทั่วไปพร้อมข้อเสนอแนะแก่คณะกรรมการร่วมแล้ว ภารกิจของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะสิ้นสุดลง โดยหากทั้งสองฝ่ายมีมติร่วมกันให้มีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไข JTEPA เห็นควรใช้คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วภายใต้ JTEPA เป็นกลไกหลักในการทบทวนเพื่อแก้ไขเนื้อหาในความตกลงในส่วนที่รับผิดชอบ ส่วนร่างข้อกำหนดขอบเขต (ToR) สำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรพิจารณาปรับปรุงกระบวนการทบทวนให้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน รวมทั้งการดำเนินความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ภายใต้ JTEPA ควรพิจารณาปรับกรอบการดำเนินการในสาขาต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และควรนำผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ได้ลงนามกันไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมถึงข้อวิพากษ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตกลงดังกล่าวมาทบทวนใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17716 | การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | มท | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ซึ่งกำหนดประเด็นการติดตามการดำเนินความร่วมมือ จำนวน ๑๕ ประเด็น โดยไม่กล่าวถึงประเด็นอ่อนไหวที่มีผลต่อความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่รัฐบาลทั้งสองยังมิได้เคยทำความตกลงกันไว้ รวมทั้งไม่มีการจัดทำความตกลงใด ๆ ในการประชุม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกการประชุมฯ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในส่วนของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสตึงเมนัม/สตึงเมตึก นั้น เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีความจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการใช้น้ำ การขายและรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน จึงมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการตามขั้นตอนและข้อกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดเพื่อใช้ในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการปรับแก้ไขถ้อยคำและเพิ่มข้อความบางประการในร่างบันทึกการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17717 | เอกสาร Busan Declaration ที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกรอบเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 8 ที่สาธารณรัฐเกาหลี | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างเอกสาร Busan Declaration ที่จะรับรองในที่ประชุม Foreign Ministers’ Meeting of the Forum for East Asia-Latin America Cooperation (FEALAC FMM) ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีภาคผนวก ๒ ฉบับ คือ (๑) ร่าง New FEALAC Action Plan เป็นแผนปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของ FEALAC ประกอบด้วย ๓ เสาหลัก ได้แก่ การเสริมสร้างกรอบการบริหารเชิงสถาบันของ FEALAC การส่งเสริมประสิทธิผลของคณะทำงานและโครงการ และการขยายความเป็นหุ้นส่วนกับองค์การระดับภูมิภาคและองค์กรระหว่างประเทศ และ (๒) ร่าง FEALAC Troika-Operational Modalities เป็นเอกสารที่กำหนดโครงสร้างของ Troika ประกอบด้วย ประเทศผู้ประสานงานก่อนหน้าปัจจุบัน ประเทศผู้ประสานงานในปัจจุบัน และประเทศผู้ประสานงานในอนาคต ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม FEALAC FMM ครั้งที่ ๘ และร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17718 | การเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐ (ขออนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา ของกรมทางหลวง) | กค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) โดยเอกชนเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้าง รวมถึงรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) โครงการทั้งหมดทั้งในส่วนของงานโยธาที่รัฐเป็นผู้ลงทุนและงานส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยเอกชนได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด และมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน ๓๐ ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับค่าตอบแทนที่เอกชนจะได้รับเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด ต้องไม่เกินจำนวน ๓๓,๒๕๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M6 (O&M) และจำนวน ๒๗,๘๒๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M81 (O&M) รวมถึงกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนให้มีความเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน และกรณีการปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อตกลง ๑.๒ มอบหมายให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ของโครงการ M6 (O&M) และโครงการ M81 (O&M) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางถนนและทางรางเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่าในด้านการเงินและด้านเศรษฐศาสตร์ การพิจารณารายละเอียดค่าตอบแทนให้กับเอกชน การกำหนดเงื่อนไขในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของงานระบบการบำรุงรักษาและเกณฑ์คุณภาพของการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนต้องรับผิดชอบดำเนินการที่ชัดเจน การพิจารณาแนวทางการประเมินข้อเสนอของเอกชนเพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเทคนิคและด้านการเงิน การกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำต้นทุนการลงทุนระบบ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การกำหนดกลไกการปรับอัตราค่าผ่านทางเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลา และการปรับปรุงกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการให้รวดเร็วขึ้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะต่อไป ควรพิจารณารูปแบบการลงทุนที่ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนทั้งระบบ และในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการเงินจากภาครัฐบางส่วนเพื่อให้โครงการมีผลตอบแทนทางการเงินอยู่ในระดับที่เอกชนมีความสนใจเข้าร่วมลงทุน ให้พิจารณาภายใต้ความสามารถในการลงทุนของเงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปใช้ในการบำรุงรักษาโครงข่ายถนนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้พิจารณากำหนดราคาค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17719 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,101.46 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๑๐๑.๔๖ ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย (๑) กรมทางหลวง จำนวน ๗๙ สายทาง ๑๔๑ แห่ง วงเงิน ๑,๖๒๐.๖๗ ล้านบาท และ (๒) กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๔๗ สายทาง ๑๑๔ แห่ง วงเงิน ๔๘๐.๗๙ ล้านบาท โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงถนนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้สามารถลดผลกระทบและความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัยในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกีดขวางเส้นทางน้ำทุกจุดให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มฤดูฝนปี ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17720 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และข้อเสนอแผนงานโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | ทส | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (เลขานุการ กนช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม กนช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยที่ประชุมมีมติสำคัญ เช่น (๑) ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำจัดทำรายละเอียดแผนงาน โครงการ และงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และแผนงานเร่งด่วนเพิ่มเติม และให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน (๒) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสิ่งกีดขวางทางน้ำเร่งรัดการดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ (๓) เห็นชอบการหาพื้นที่บริเวณเนินเขาเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่ให้น้ำไหลลงสู่พื้นที่ราบ (๔) รับทราบแผนการเติมน้ำลงสู่ใต้ดิน และ (๕) รับทราบการโอนกรมทรัพยากรน้ำไป สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบการกำหนดพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Area-based) จำนวน ๘ พื้นที่ ประกอบด้วย (๑) ลุ่มน้ำเลยตอนล่าง (๒) ลุ่มน้ำห้วยหลวง (๓) ลุ่มน้ำแม่น้ำสงคราม (๔) ลุ่มน้ำพุง-น้ำก่ำ (๕) ลุ่มน้ำชีตอนบน (๖) ลุ่มแม่น้ำชีตอนล่าง (๗) ลุ่มน้ำมูลตอนบน และ (๘) ลุ่มน้ำมูลตอนล่าง เพื่อให้มีความชัดเจนในการบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ๑.๓ เห็นชอบให้กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทรัพยากรน้ำเสนอโครงการที่มีความพร้อมเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพิ่มเติม รวม ๓๔๘ โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๘,๘๒๐ ล้านบาท มีพื้นที่ได้รับประโยชน์รวม ๕๔๙,๗๐๐ ไร่ คิดเป็นปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ๑๐๗ ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน ๘ พื้นที่ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. รวบรวมพิจารณาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการและงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๔ เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. รวบรวมแผนงานโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๙) ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยแผนงานดังกล่าวจะต้องสามารถแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่เสี่ยงรุนแรง และร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๕ รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำตามที่ฝ่ายเลขานุการ กนช. เสนอ และให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการแก้ไข จัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ หรือกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดอุทกภัย หากสิ่งกีดขวางดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยกำหนดให้การแก้ไขสิ่งกีดขวางลำน้ำทั้งหมดต้องแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ สำหรับสิ่งกีดขวางทางน้ำ จำนวน ๑๒ แห่ง ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบ กรมทรัพยากรน้ำจะได้ประสานกับทางจังหวัดเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายเลขานุการ กนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรรวบรวมโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามพื้นที่บริหารจัดการน้ำ ๘ พื้นที่ ที่มิได้อยู่ในแผนฯ ที่เสนอในครั้งนี้ โดยจัดเตรียมรายละเอียดโครงการ งบประมาณ และความพร้อมต่าง ๆ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญของโครงการ สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการในเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ หรือกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดอุทกภัยในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนช. รับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
