ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 713 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14241 - 14260 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14241 | สรุปผลการประชุมThailand - Myanmar Bilateral High Level Meeting | สธ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุม Thailand-Myanmar Bilateral High Level Meeting ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบให้จัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ (Mobile medical services) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นของประชาชนในรัฐยะไข่ของเมียนมา โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็นสองระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ฝ่ายไทยจะส่งทีมแพทย์ไปร่วมกับทีมแพทย์เมียนมาจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในรัฐยะไข่ และระยะยาว ฝ่ายไทยจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเชิงระบบและการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพของเมียนมา ๒. ที่ประชุมเห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วม ปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ (Joint Action Plan 2019-2021) ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีสาขาความร่วมมือใน ๗ สาขา ได้แก่ (๑) การป้องกัน ควบคุม และเฝ้าระวังโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังข้ามพรมแดน (๒) ความร่วมมือและกฎระเบียบด้านอาหารและยา (๓) การสร้างความเข้มแข็งด้านห้องปฏิบัติการและการควบคุมการติดเชื้อ (๔) การพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ (๕) การแพทย์ดั้งเดิม (๖) การส่งเสริมสุขภาพของประชาชน และ (๗) การพัฒนาระบบให้บริการสุขภาพแก่ผู้โยกย้ายถิ่น โดยใช้งบประมาณจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14242 | การปรับปรุงคำอธิบายประกอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี | ทส | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำอธิบายประกอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดปัตตานีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าปัตตานีมีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าปัตตานีเกี่ยวกับการปรับปรุงคำอธิบายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี เพื่อให้มีความครบถ้วน โดยยังคงขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานีบริเวณเดิม ซึ่งคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า [รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานกรรมการ] ได้มีมติเห็นชอบรายละเอียดข้อมูลคำอธิบายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานีด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14243 | ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณคลองบางนาง แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) โดยอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับป่าชายเลน | พน | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้ กฟผ. ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) เนื้อที่ประมาณ ๒,๓๐๕ ตารางเมตร ทั้งนี้ ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงพลังงานกำชับให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการขุดลอกดินเพื่อคลองชักน้ำและก่อสร้างทำนบกั้นชั่วคราวระหว่างก่อสร้างบ่อพักน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14244 | ขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581 อัตรา) | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบอัตรากำลังและแผนการสรรหาในระยะ ๑๐ ปี ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จากเดิม ปี ๒๕๖๑-๒๖๗๐ เป็น ปี ๒๕๖๒-๒๕๗๑ ๒. เห็นชอบให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ (เรื่อง ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๒,๑๐๐ ล้านบาท และเรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพิ่มเติมของการรถไฟแห่งประเทศไทย) โดยให้สามารถรับพนักงานเพิ่มได้เฉพาะในปีแรกของกรอบอัตรากำลังฯ (ปี ๒๕๖๒) จำนวนไม่เกิน ๑,๙๐๔ อัตรา แล้วให้ รฟท. นำกรอบอัตรากำลังฯ แผนฟื้นฟูกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของ รฟท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังในภาพรวมให้ชัดเจน ก่อนดำเนินการสรรหาพนักงานเพิ่มในปีแรกต่อไป ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางในการบริหารทรัพยากรบุคคลให้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การกำหนดมาตรการและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยการเพิ่มรายได้ ประหยัดรายจ่ายในด้านอื่น ๆ รวมถึงควบคุมการทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุดและการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้เป็นไปเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การบริการประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการพิจารณาบรรจุอัตรากำลังตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและบริหารจัดการพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเร่งรัดติดตามการลงทุนให้เป็นไปตามแผน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14245 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐมาลี | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๓๒ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เกี่ยวกับสาธารณรัฐมาลี ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการคงมาตรการลงโทษต่อสาธารณรัฐมาลี ทั้งการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สินบุคคลหรือองค์กรที่สนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ขัดขวางกระบวนการสันติภาพตามที่ระบุไว้ในข้อมติที่ ๒๓๗๔ (ค.ศ. ๒๐๑๗) โดยให้ขยายมาตรการดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินให้เป็นไปตามรายการล่าสุด เพื่อดำเนินมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน ตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2374) ภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” ซึ่งคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยข้อมติ UNSC ที่ ๒๓๗๔ (ค.ศ. ๒๐๑๗) จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษเป็นระยะ รวมทั้งเฝ้าระวังบุคคลและองค์กรเหล่านี้ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกรรมใด ๆ ในประเทศไทย ตลอดจนแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14246 | โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม | มท | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) จากเดิมก่อสร้างในที่ดินบริเวณโคกภูกระแต เป็นก่อสร้างในที่ดินของ กปภ. สาขานครพนม วงเงินเต็มโครงการ ๗๖.๙๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่ขัดต่อมาตรการที่ใช้ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงการกัดเซาะพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งหากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการผลิตน้ำประปา เพราะในระยะยาวการปล่อยให้พื้นที่ริมตลิ่งถูกกัดเซาะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของดินและการสูญเสียแผ่นดินในบริเวณริมตลิ่งเพิ่มมากขึ้น และเห็นควรให้ กปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เช่น ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต การบริหารจัดการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนด้านการจราจรในช่วงระหว่างก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กปภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14247 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 เรื่อง ขอความเห็นชอบส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ เนื้อที่ 900 ไร่ ให้กรมป่าไม้ เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล | ทส | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ แปลงปลูกปี ๒๕๒๒ และแปลงปลูกปี ๒๕๒๖ ตามที่สำรวจรังวัดได้จริง จำนวน ๗๕๖-๐-๙๖ ไร่ ให้กรมป่าไม้เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เมื่อส่งมอบพื้นที่สวนป่าสมเด็จให้กรมป่าไม้เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนแล้ว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รวมถึงการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีที่ดินทำกิน เพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเห็นชอบอย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่กรมป่าไม้ได้รับมอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแปลงปลูกปี ๒๕๒๒ และแปลงปลูกปี ๒๕๒๖ เนื้อที่รวม ๑๓๔-๓-๐๔ ไร่ ที่จะนำมาสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินเพิ่มเติม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบความพร้อมในด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ เช่น สภาพพื้นที่ การพิสูจน์สิทธิ์ร่องรอยและการเข้าทำประโยชน์ การตรวจสอบคุณสมบัติของราษฎรตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีราษฎรเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ได้ข้อยุติก่อน และเมื่อมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว จึงให้นำพื้นที่ดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14248 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme: ASEAN CIS)] | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme : ASEAN CIS)] มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน โดยให้ผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๑๐.๐ ของเงินได้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนผ่านโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียนและเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการจัดเก็บภาษี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14249 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยขยายความในคำนิยามของ “สถานศึกษาของเอกชน” และ “เงินค่าเล่าเรียน” รวมถึงสิทธิการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตรของข้าราชการที่ประจำในต่างประเทศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และรองรับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดประเภทหลักสูตรต่าง ๆ ให้ครอบคลุมถึงการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรออนไลน์ที่กระทรวงศึกษาธิการหรือสำนักงาน ก.พ. รับรอง เพื่อให้ครอบคลุมกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่รอบด้านยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับหลักสูตรรูปแบบใหม่ดังกล่าว ให้สอดคล้องและเป็นไปแนวทางเดียวกันกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการศึกษาประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบัน รวมทั้งการดำเนินการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระงบประมาณได้ในอนาคต จึงควรที่จะต้องคำนึงถึงกฎหมายวินัยการคลังด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14250 | การขอรับการจัดสรรงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายนำไปชำระหนี้เงินกู้ส่วนต่างราคาอ้อยขั้นต้นและขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2549/2550 | อก | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14251 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๑๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) และที่ ๒๔๒๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยข้อมติที่ ๒๔๑๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) และที่ ๒๔๒๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เป็นข้อมติล่าสุดซึ่งได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามลำดับ เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการลงโทษเซาท์ซูดานออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเป็นการลงโทษทางอาวุธ การห้ามการเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และเพิ่มมาตรการตรวจค้นและมาตรการทางเรือ ๒. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดานเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (http://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2206) และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14252 | แต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (จำนวน 5 คน 1. นางเสาวนีย์ ประทีปทอง ฯลฯ) | พม | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จำนวน ๕ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นางเสาวนีย์ ประทีปทอง ๒. นางธิดา ศรีไพพรรณ์ ๓. ศาสตราจารย์พงษ์ศิริ ปรารถนาดี ๔. นายเฉลิม อินทชัยศรี ๕. นายมงคล สุมาลี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14253 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2561 | กษ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการจัดทำข้อมูลสินค้ามะพร้าว แนวทางการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว การป้องกันการลักลอบและนำเข้ามะพร้าวผิดกฎหมาย การกำหนดให้สินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุม และกำหนดมาตรการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าว การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วน สำหรับเมล็ดถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๓ และการรับซื้อเนื้อมะพร้าวในราคานำตลาดเพื่อแก้ไขปัญหามะพร้าวงอกที่คงเหลืออยู่ในระบบ ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบการบริหารการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว (มะพร้าวผลและมะพร้าวฝอย) เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๒ ภายใต้กรอบ WTO FTA และ AFTA (ยกเว้นการบริหารนำเข้ามะพร้าวผล) ให้มีการบริหารจัดการเช่นเดียวกับปี ๒๕๖๑ ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษามาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ในเรื่องการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับสินค้ามะพร้าว ๒. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการกวดขันจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาค ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง มะพร้าว เป็นต้น ในช่วงฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งประมาณการปริมาณผลผลิตในฤดูกาลหน้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดให้เหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำข้อมูลดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14254 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2561 | นร11 | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14255 | การขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 6 | รง | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของรัฐมนตรีแรงงานกระบวนการโคลัมโบ จำนวน ๓ ฉบับ ที่จะมีการรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญากระบวนการโคลัมโบระดับรัฐมนตรี (Colombo Process Ministerial Declaration) (๒) ร่างเอกสารแนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานกระบวนการโคลัมโบ (Concept note on formation of a CP Coordination Committee : CP CC) และ (๓) ร่างประเด็นสาระสำคัญเพื่อข้อตกลงระดับทวิภาคีด้านแรงงาน (Essential elements for a bilateral labour agreement) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (กลุ่มประเทศผู้ส่งแรงงานในภูมิภาคเอเชีย ๑๒ ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังคลาเทศ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม) และกลุ่มประเทศผู้รับแรงงานในรัฐอ่าวอาหรับ เพื่อที่จะส่งเสริมการบริหารจัดการในการจัดส่งแรงงานไปทำงานในต่างประเทศอย่างเป็นระบบและเป็นธรรม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14256 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก (Memorandum of Understanding on Consultations and Cooperation between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Cooperation of the Republic of Mozambique) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีและพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเมือง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การศึกษา สาธารณสุข กีฬา และวิทยาศาสตร์ (๒) การสนับสนุนการเยือนในระดับที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้มีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนทัศนะในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นทวิภาคี ประเด็นภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ และ (๓) การสนับสนุนให้คณะทูต กงสุล คณะผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ (UN) และองค์การระหว่างประเทศของทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือและประสานงานอย่างใกล้ชิด โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14257 | ขอความเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัยและร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (Global Compact on Refugees : GCR) และร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration : GCM) ที่ผ่านกระบวนการเจรจาแล้ว โดยสาระสำคัญของร่าง GCR มุ่งจัดการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย โดยระบุรายละเอียดแนวทางการตอบสนองความเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของผู้ลี้ภัยอย่างครอบคลุมและคาดการณ์ได้ และการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศและชุมชนผู้รับผู้ลี้ภัยบนพื้นฐานของหลักการความร่วมมือระหว่างประเทศและหลักการการแบ่งเบาภาระและความรับผิดชอบที่เป็นธรรม ส่วนสาระสำคัญของร่าง GCM ระบุเกี่ยวกับรายละเอียดแนวทางบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ เกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายถิ่นฐาน และการส่งเสริมคุณภาพและเพิ่มช่องทางการโยกย้ายถิ่นฐาน ๑.๒ อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๓ ร่วมรับรองร่าง GCR ซึ่งจะมีการพิจารณาพร้อมกับข้อมติประจำปีเรื่องสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๓ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับสูงระหว่างรัฐเพื่อรับรองร่าง GCM ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ที่เมืองมาร์ราเกช ราชอาณาจักรโมร็อกโก ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการรับรองร่างข้อตกลงฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านการบริหารจัดการชายแดน และประเด็นความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งการนำร่างข้อตกลงฯ ทั้ง ๒ ฉบับมาปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ และควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเลือกรับปฏิบัติแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทและศักยภาพ รวมถึงความพร้อมของประเทศไทยอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14258 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๒,๘๙๘,๓๔๗.๒๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๘๗๘,๗๘๙.๖๐ บาท เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากโครงการส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในกรอบทวิภาคี งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการเปิดสถานทูตสถานกงสุล ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป โดยค่าเช่าอาคารที่ขออนุมัติครั้งนี้อยู่ในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินร้อยละห้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. การเช่าอาคารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14259 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | พณ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า ๑๖๐,๐๐๐ ตัน กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ในราคา ๑๘ บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเทและโรงงานสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่ง กฟผ. จะรับมอบน้ำมันปาล์มดิบที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยใช้เงินในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒,๘๘๐ ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าค่าไฟฟ้า จำนวน ๑,๓๕๔ ล้านบาท และ กฟผ. จะขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับส่วนต่างส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๒๙ ล้านบาท กฟผ. จะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐเหลือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนโดยเร็ว เช่น การอนุญาตขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม การอนุญาตการขนส่งน้ำมันปาล์มทางรถบรรทุกจากองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลที่เกี่ยวข้อง การอนุญาตการขนย้ายน้ำมันปาล์มจากพื้นที่ภาคใต้และขนย้ายเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ การขออนุญาตเพิ่มกำลังแรงม้าเครื่องจักรจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชื้อเพลิงไฟฟ้าจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อให้ กฟผ. สามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างรวดเร็วและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุมัติการใช้งบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าและผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันให้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ในเรื่องขั้นตอนวิธีการในกรรรับซื้อ การขนส่ง รวมถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลาของโครงการที่จะให้ กฟผ. ลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน การจัดทำข้อมูลรายละเอียดวงเงินส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก การปลูกพืชเสริม หรือประกอบอาชีพอื่นแทน และการกำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนรับซื้อปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14260 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางชลัยพร อมรวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ ๒. นายชโยดม สรรพศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ ๓. นายประสงค์ วินัยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
|
.....