ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 711 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 14201 - 14220 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14201 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายประกอบ วิวิธจินดา และนายเอกภัทร วังสุวรรณ) | อก | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายประกอบ วิวิธจินดา ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม ๒. นายเอกภัทร วังสุวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14202 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง [นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ)] | นร04 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14203 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 69/2561 และครั้งที่ 70/2561 | นร | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๖๙/๒๕๖๑ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๗๐/๒๕๖๑ วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14204 | รายงานความก้าวหน้าการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2561 ภาคเหนือ (ลำไย) และภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง) | กษ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลความก้าวหน้าการบริหารจัดการผลไม้ ปี ๒๕๖๑ ภาคเหนือ (ลำไย) และภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง) โดยคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ ปี ๒๕๖๑ ภาคเหนือ (ลำไย) ผลผลิต ๓๘๑,๔๙๘ ตัน และแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง) ผลผลิต ๕๔๕,๑๖๕ ตัน ซึ่งแสดงรายละเอียดกิจกรรมตั้งแต่เริ่มบริหารจัดการผลผลิตจนสิ้นสุดฤดูกาลผลิต ทั้งนี้ ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ พบว่า ในภาพรวมเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต และยังมีเสถียรภาพด้านราคาตลอดฤดูกาล และคาดการณ์ว่า เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลผลิตผลไม้ในเดือนกันยาน ๒๕๖๑ จะมีมูลค่าการซื้อขายผลไม้ทั้ง ๕ ชนิด ไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับแนวทางพัฒนาช่วงต่อไปจะจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาเป็นรายสินค้า และเน้นการพัฒนาแบบการเข้าถึงแหล่งผลิต ภายใน ๓ ปี รวมทั้งพัฒนาคุณภาพผลไม้ตามระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ มีสัดส่วนเกรด AA : A : B เท่ากับ ๕๐ : ๓๐ : ๒๐ ภายใน ๓ ปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14205 | ร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560-2564 | พม | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานและแผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชน และแผนปฏิบัติการของจังหวัด ท้องถิ่น พร้อมทั้งจัดตั้งงบประมาณในการดำเนินการ และเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาฯ เป็นรายปี ระยะครึ่งแผน และระยะสิ้นสุดแผน โดยแผนพัฒนาฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วยยุทธศาสตร์ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและสร้างภูมิคุ้มกันเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์การส่งเสริมบทบาทและระดมความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาเด็กและเยาวชน และยุทธศาสตร์การพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการตามแผนพัฒนาฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนโดยตรงด้วย เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาการใช้ความรุนแรงและกระทำทารุณต่อเด็กและเยาวชน ปัญหาการสร้างทัศนคติ ค่านิยม และชุดความคิดที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น (๑) หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณากำหนดมาตรการ โครงการ และกิจกรรม ภายใต้ร่างแผนฯ ให้สามารถตอบโจทย์ของข้อสังเกตโดยสรุป (Concluding Observation) และข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการประจำอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งให้กับไทยในการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณี (๒) ควรต้องมีการดำเนินการบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ ควรลดเวลาเรียนและเพิ่มการเรียนรู้ในทักษะพื้นฐานด้านพลศึกษาในกลุ่มเด็กและเยาวชน และควรมีการส่งเสริมบุคลากรด้านพลศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพและสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชนให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม และ (๓) ควรส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีวิธีคิดที่ดีที่เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลสามารถค้นหาศักยภาพตนเองเพื่อจะประสบความสำเร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14206 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Copyright Treaty) | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และให้ส่งสนธิสัญญาฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้สร้างสรรค์ในการนำงานลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดให้คุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการและเจ้าของลิขสิทธิ์ในการส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมบนสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางสากลและสนธิสัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ประกอบการ และประชาชน รับทราบ และภายหลังการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาฯ อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14207 | ร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ และพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยแก้ไขบทนิยาม อำนาจหน้าที่ของหอการค้าและสมาคมการค้า การเลิกหอการค้าและสมาคมการค้า และปรับปรุงบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหอการค้าตามร่างมาตรา ๒๘ (๕) ที่เพิ่มเติมให้หอการค้าสามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือความร่วมมือที่ทำกับราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ทำสัญญาร่วมดำเนินการในโครงการต่าง ๆ กับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขในประเด็นนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์บทบัญญัติที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ท้ายพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ให้กับสมาคมการค้าต่าง ๆ และผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14208 | ขออนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2 | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้ลงนามแล้วในการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเสนอให้มีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเพิ่มมูลค่าการค้า โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น การกระชับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน การจัดทำแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14209 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2561 | ดศ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุ ๑๘ ปี จำนวน ๔๖,๐๐๐ รายทั่วประเทศ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้าน ประชาชนร้อยละ ๖.๒ พบเห็นปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้านด้วยตนเอง ร้อยละ ๔๓.๘ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ขณะที่ร้อยละ ๕๐.๐ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ส่วนการซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๒.๗ พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ง่าย ร้อยละ ๓๒.๒ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๖๔.๘ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด รวมทั้งพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๕.๖ พบเห็น ร้อยละ ๔๓.๓ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่ยังมีพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด และร้อยละ ๕๑.๑ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่ยังมีพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด สำหรับความพึงพอใจและความเชื่อมั่นต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า จากคะแนนเต็ม ๑๐ ประชาชนมีความพึงพอใจ ๗.๐๕ คะแนน และมีความเชื่อมั่น ๖.๙๘ คะแนน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14210 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 25 | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาว่าด้วยการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่สืบเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum : ARF) ครั้งที่ ๒๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยในการประชุมดังกล่าวได้เสนอให้มีการพิจารณารับรองร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดให้กลุ่มศึกษาฯ จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และข้อเสนอในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ กฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำงานของกลุ่มศึกษาฯ เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม การบริหารจัดการ และการเผยแพร่เอกสาร เป็นต้น ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งสาธารณรัฐสิงคโปร์ในฐานะประธานการประชุม ARF และประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14211 | (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่ง ภาคการจัดการของเสีย และภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | วท | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งประเทศสมาชิกทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทยได้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์ฯ แล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยเอกสารผลลัพธ์ฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14212 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม 2561 | นร11 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น มูลค่าการส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัว ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำของรัฐบาลปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น และส่งผลให้ดัชนีรายได้ของเกษตรกรโดยรวมขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรยังปรับตัวลดลง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ๒. เศรษฐกิจโลก ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาคตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการผลิตและอุปสงค์ในประเทศ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนซึ่งยังขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออกซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในหลายประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14213 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เห็นสมควรแก้ไขเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับหลักความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนกรณีที่อาจมีการร้องเรียน กล่าวหา หรือฟ้องร้องตุลาการศาลปกครองอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ นั้น สมควรที่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ รวดเร็ว เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นความลับ โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครอง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้สำนักงานศาลปกครองเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14214 | ขอความเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน | พม | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Balaclava Declaration on Women’s Economic Empowerment and Gender Equality as a Pre-requisite for Sustainable Development) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีด้านการค้าการลงทุนและบทบาทของสตรีกับสมดุลทางเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) โดยประเทศไทยได้เห็นชอบในหลักการของปฏิญญาฯ แล้วในการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง การเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐมอริเชียส ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะดำเนินการรายงานความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีไปยังเลขาธิการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย เพื่อรับรองปฏิญญาฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14215 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 | รง | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ด้วยแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กองทุนมีสินทรัพย์ จำนวน ๕๔,๑๗๐.๓๙ ล้านบาท หนี้สิน จำนวน ๒,๕๔๓.๒๘ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน จำนวน ๕๑,๖๒๗.๑๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กองทุนมีรายได้ จำนวน ๖,๑๓๓.๕๗ ล้านบาท ค่าใช้จ่าย จำนวน ๑,๘๘๒.๕๗ ล้านบาท รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายก่อนรายการเงินทดแทนที่เกิดขึ้นจากการตั้งสำรองเงินทดแทนสำหรับการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว จำนวน ๔,๒๕๑ ล้านบาท หักด้วยเพิ่มสำรองเงินทดแทนสำหรับการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว จำนวน ๘.๒๕ ล้านบาท รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๔,๒๔๒.๗๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14216 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และบริษัทย่อยปี 2560 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2561 | กค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และบริษัทย่อยสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับงบแสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของ กบข. พร้อมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เช่น (๑) ควรแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้สมาชิกออมเพิ่มได้ร้อยละ ๕๐ และรัฐสมทบให้กับสมาชิกที่ออมเพิ่ม รวมทั้งขอให้ปรับสัดส่วนเงินสมทบของรัฐจากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๔ (๒) ควรให้มีเงินชดเชยสำหรับข้าราชการที่เสียชีวิต (๓) ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่ลาออกจาก กบข. และรับเงินไปแล้ว รวมถึงให้พนักงานมหาวิทยาลัยสมัครเป็นสมาชิก กบข. ใหม่ได้ (๔) ควรจัดสวัสดิการการกู้ยืมให้สมาชิก กบข. ที่ยังไม่เกษียณ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคาร และ (๕) ควรจัดกิจกรรมเดินสายพบสมาชิกในทุกจังหวัด ทุกหน่วยงาน เพื่อให้สมาชิกเข้าใจบริการต่าง ๆ ของ กบข. เช่น บริการออมต่อ ออมเพิ่ม เปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน ไม่ควรคาดหวังให้สมาชิกศึกษาข้อมูล กบข. ด้วยตนเอง เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14217 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานภายในสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยให้เอื้อต่อการบริหารจัดการต่อไป และรับจะไปปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของบุคคลในวงการกีฬามวยให้มีข้อมูลรายละเอียดครบถ้วน รวมทั้งจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบทันสมัยมากขึ้น สำหรับการจัดสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ให้กับบุคคลในวงการกีฬามวยและอดีตนักมวยที่ได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาตินั้น การกีฬาแห่งประเทศไทยมีงบประมาณอุดหนุนเป็นประจำทุกปีในโครงการ ๖ กุมภาพันธ์ วันมวยไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14218 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเพื่อทราบ ๓ เรื่อง ได้แก่ รายงานดัชนีวัดประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ (International Logistics Performance Index : LPI) ปี ๒๕๖๑ รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย และรายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี ๒๕๖๐ (๒) เรื่องสืบเนื่อง ๑ เรื่อง ได้แก่ การปรับลดขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐรายสินค้ายุทธศาสตร์ (น้ำตาล ข้าว ยางพารา สินค้าแช่แข็ง และวัตถุอันตราย) และ (๓) เรื่องเพื่อพิจารณา ๔ เรื่อง ได้แก่ การยกระดับการพัฒนาประสิทธิภาพระบบโครงข่ายการขนส่งสินค้าชายฝั่งของไทย หลักเกณฑ์และวิธีการจัดหาผู้บริหารท่าเรือของรัฐ แนวทางการบริหารจัดการและพัฒนาระบบ NSW และแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กบส. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ และรายงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอ กบส. ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน กบส. เสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมด้านการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ในเรื่องสืบเนื่อง ประเด็นการปรับลดขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐรายสินค้ายุทธศาสตร์ โดยให้มีการพัฒนาระบบ NSW ในการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ Single Form ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนแบบ B2G เพื่อให้สามารถลดเอกสารหลักฐานขั้นตอนและระยะเวลา ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับระบบการยืนยันตัวตน (Authentication) เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่ Authenticate สำหรับนิติบุคคล จึงควรพิจารณานำ National Digital ID มาใช้เป็นระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เป็นต้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารท่าเรือคลองใหญ่ จังหวัดตราด และการก่อสร้างท่าเรือของรัฐโดยกรมเจ้าท่าในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14219 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEM Summit Meeting : ASEM 12) ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกการประชุมเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting : ASEM) ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิก ASEM ให้ความสำคัญ ได้แก่ เสาที่ ๑ การเมืองและความมั่นคง เช่น ความมั่นคงและเสรีภาพทางไซเบอร์และการต่อต้านการก่อการร้าย เสาที่ ๒ เศรษฐกิจและการเงิน เช่น การสนับสนุนองค์การการค้าโลกและระบบการค้าที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์โดยผู้นำมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือในกรอบ ASEM ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและความเชื่อมโยงทางดิจิทัล และยืนยันสนับสนุนการคงไว้และเพิ่มขึ้นของระบบการค้าที่เปิดกว้างแบบพหุภาคีโดยไม่เลือกปฏิบัติ และเสาที่ ๓ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การศึกษา โดยผู้นำย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาที่มีคุณภาพว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเครื่องมือในการสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบและมีภูมิคุ้มกันทางสังคม ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14220 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการบริหารการอุดมศึกษา : การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารการอุดมศึกษา : การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา ซี่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม โดยควบรวมบางส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและสถาบันอุดมศึกษา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นว่า การบริหารจัดการสถาบันการศึกษาควรมีระบบที่ชัดเจน มีความคล่องตัว ควรคำนึงถึงการวางรากฐานการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่วัยเด็กให้เติบโตขึ้นเป็นวัยแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะสากล และองค์ความรู้ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งควรพิจารณากำหนดหลักสูตรที่มีคุณภาพมาตรฐานและหลักสูตรใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อแนวโน้มการจ้างงานและอาชีพในยุค Thailand 4.0 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....