ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 716 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14301 - 14320 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14301 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 2 | ทส | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๒ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งสิ้น ๒๓ คน ประกอบด้วย (๑) รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานอนุกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ (๓) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (๕) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (๖) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (๗) ผู้แทนกระทรวงพลังงาน (๘) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (๙) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๒ โดยจะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาค ด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรให้มีการเพิ่มแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและด้านสังคม และแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ในกรอบท่าทีของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14302 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | วท | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยทั้งสองฝ่ายประสงค์ให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือ ๘ สาขา ได้แก่ ๑) อาหารและการเกษตร ๒) วิทยาศาสตร์สุขภาพและชีววิทยาศาสตร์ ๓) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ๔) เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ การจัดการด้านดิจิทัลและข้อมูล ๕) สิ่งอำนวยความสะดวก ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ๖) นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๗) การสำรวจพื้นผิวโลก วิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอวกาศ และ ๘) สาขาอื่น ๆ เช่น การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจในภาคที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ และการสนับสนุนกิจกรรมวิจัยและพัฒนา วิสาหกิจเริ่มต้นและการเป็นผู้ประกอบการและครอบคลุม ๙ รูปแบบ คือ ๑) การกำหนดสาขาโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมในหัวข้อที่สนใจร่วมกัน ๒) การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๓) โครงการวิจัยและพัฒนาร่วม ๔) การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการ และนักวิจัย ๕) การจัดและการร่วมประชุมด้านวิทยาศาสตร์ การประชุมทางวิชาการ การสัมมนา การฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ นิทรรศการ ฯลฯ ๖) การจัดและการร่วมภารกิจการค้า ๗) การอำนวยความสะดวกในการดำเนินการตามแผนงานและโครงการร่วม ๘) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือและการตรวจสอบข้อเสนอสำหรับการพัฒนาต่อไป และ ๙) รูปแบบอื่น ๆ ของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจเห็นพ้องร่วมกัน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนีงสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไวให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14303 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองเพิ่มเติมในที่ประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ 22 | กต | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14304 | ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอาเซียน - สาธารณรัฐประชาชนจีน | วท | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ วันที่ ๑๓-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความมุ่งมั่นในการใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเติบโต และเน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน การสนับสนุนการเติบโตในระดับภูมิภาคโดยใช้นวัตกรรมเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งยังคงสนับสนุนความร่วมมือในรูปแบบหุ้นส่วนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน และกิจกรรมแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14305 | ร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมท้ายร่างพระราชบัญญัติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14306 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สว | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า คณะรัฐมนตรีรับหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและให้ส่งความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ไปเพื่อประกอบการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่เห็นควรแยกเรื่องการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ออกเป็นอีกมาตราหนึ่งต่างหากจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ รวมทั้งแยกเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่อนุญาตจะออกใบอนุญาตให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ออกเป็นอีกมาตราหนี่ง ต่างหากจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ นอกจากนี้ โดยที่ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด มีความมุ่งหมายที่จะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีอำนาจในการกำหนดพื้นที่เพื่อการทดลองหรือทดสอบไม่ว่าจะเป็นการผลิต การทดสอบเกี่ยวกับยาเสพติด การให้เสพหรือครอบครองยาเสพติดเฉพาะกรณีเพื่อการศึกษาวิจัยที่จะนำไปใช้ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือเพื่อลดอันตรายจากยาเสพติดเท่านั้น ไม่ใช่กรณีเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นอำนาจของสาธารณสุขโดยคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น จึงควรกำหนดให้ชัดเจนสำหรับกรณีตามมาตรานี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14307 | มาตรการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว | กก | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” ระหว่างวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑-วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ รวมทั้งการขอเปิดให้บริการพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวในการคืนภาษี (VAT Refund) ในพื้นที่ย่านแหล่งท่องเที่ยว หรือ ห้างสรรพสินค้า สำหรับการซื้อสินค้าออกนอกราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมสรรพากร เรื่อง การแต่งตั้งตัวแทนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว ๑.๒ การเพิ่มความถี่ของการเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางที่ขอรับการตรวจลงตราแบบสามารถเดินทางได้ครั้งเดียว (Single Entry Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จากเดิมที่สามารถเดินทางได้ ๑ ครั้ง เป็นสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ ๒ ครั้ง (Double Entries Visa) ภายใน ๖ เดือน โดยคิดค่าธรรมเนียมอัตราเดิม คือคนละ ๑,๐๐๐ บาท โดยกำหนดระยะเวลาการขอรับการตรวจลงตราที่สถานทูตเป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๑.๓ การให้อนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) แบบอนุญาตครั้งเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวีซ่าอยู่แล้ว (ทั้งแบบ TR และ VoA) โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทย สามารถกลับเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก โดยไม่ต้องขออนุญาตอีกครั้ง และสามารถรักษาสิทธิ์การอยู่ในประเทศไทยตามระยะเวลาคงเหลือที่กำหนดในวีซ่าเดิม ๑.๔ แก้ไขหลักการกฎกระทรวงมหาดไทยในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา ๓๐ วัน (ผ.๓๐) ซึ่งจะเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือพรมแดนที่เป็นเขตติดต่อกับพรมแดนทางบก สามารถเข้ามาในประเทศไทยด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปีปฏิทิน ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย กำหนดมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว และจัดให้มีการติดตามและประเมินผลความคุ้มค่าของมาตรการดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางในการทบทวนและปรับปรุงมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ควรพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ มิให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14308 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | กษ | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มภายในประเทศ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้เงินงบกลางสำหรับโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าตามข้อ ๑.๑ และปรับเปลี่ยนชื่อ จาก โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เป็น มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ๑.๓ เห็นชอบให้ปรับกรอบระยะเวลาและเงื่อนไขราคาของกิจกรรมการผลักดันการส่งออกตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ตามที่คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดเสนอ สำหรับการบริหารและกำกับดูแลการผลักดันการส่งออกให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) ที่ กนป. แต่งตั้งต่อไป ๑.๔ มอบหมายคณะกรรมการจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พิจารณาความเหมาะสมของราคาขั้นต่ำในการรับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกร เพื่อเผยแพร่เป็นข้อมูลด้านการตลาดให้แก่เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่อไป ๒. มาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ (ด้านพลังงาน) เห็นชอบให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล (บี ๗) จากอัตราส่วนผสมร้อยละ ๖.๕-๗.๐ เป็นร้อยละ ๖.๘-๗.๐ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางส่งเสริมและมาตรการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี ๒๐ ในรถบรรทุกและรถยนต์ขนาดเล็ก ๓. มาตรการกำกับดูแลให้เป็นไปตามข้อ ๑ และข้อ ๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร ๑ กรมการค้าภายใน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ รวม ๑๓ คน โดยให้เพิ่มองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการ จำนวน ๔ ท่าน คือ ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จำนวน ๑ ท่าน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน ๓ ท่าน รวม ๑๗ ท่าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14309 | ร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14310 | สนธิสัญญาว่าด้วยสิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WCT) [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WCT) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14311 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561) | นร | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14312 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหาราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อเตรียมการป้องกันอุทกภัย โดยดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมก่อนเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งให้เฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน พร้อมเตรียมแผนรับมือปัญหาอุทกภัยในพื้นที่อื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ทั้งนี้ ให้กำชับให้ผู้ให้ความช่วยเหลือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และคำนึงถึงความปลอดภัยของตนด้วย ๒. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรจะดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปี พ.ศ. ๒๕๖๒) ให้แก่ประชาชนดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา และให้นำเสนอแผนงาน/โครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วเพื่อพิจารณาความเหมาะสม สอดคล้องในภาพรวมให้แล้วเสร็จทันภายในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ และสามารถดำเนินการให้มีผลในทางปฏิบัติต่อไปได้ทันในช่วงเวลาปีใหม่ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14313 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร) [(สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา ๔๙ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14314 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561)] | นร05 | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14315 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อปรับปรุงมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนหรือไม่เอื้อต่อการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในร่างประกาศฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด เนื่องจากองค์ประกอบคณะกรรมการฯ มีเพียงผู้แทนของส่วนราชการประจำจังหวัดพังงาเท่านั้น ทำให้ผู้แทนของสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นส่วนราชการในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลโบราณสถานในเขตพื้นที่จังหวัดพังงาไม่สามารถเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการฯ ได้ และควรพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของภาคเอกชน เช่น การเพิ่มประเภทโรงงานในบัญชี ๑ ท้ายประกาศฯ โดยรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14316 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายชยันต์ เมืองสง) | กษ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชยันต์ เมืองสง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านควบคุมการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14317 | การปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์สำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) | นร13 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาการบริการด้านการระงับข้อพิพาททางเลือกว่า ปัจจุบันไทยมีสถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่หลายแห่ง เช่น สถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจากการหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศมีความต้องการตรงกันที่จะขอให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของอาเซียนในด้านการอนุญาโตตุลาการ แต่เนื่องจากบุคลากรด้านการอนุญาโตตุลาการของไทยยังขาดแคลนและขาดความชำนาญและความเชี่ยวชาญในการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทอย่างรอบด้าน ดังนั้น หากมีการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายในสาขาดังกล่าว จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและดึงดูดชาวต่างชาติที่จะเข้ามาดำเนินงานเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท รวมทั้งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแก่บุคลากรไทย ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงว่า เนื่องจากเรื่องต่าง ๆ ที่เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไทยจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ประเทศสิงคโปร์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาดังกล่าวเพื่อให้ไทยสามารถดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้เอง รวมทั้งเป็นการฝึกทักษะและเพิ่มศักยภาพของบุคลากรไทยด้วย ๒. เห็นชอบการปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์ ภายใต้การตรวจลงตราประเทศคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ทั้งนี้ ให้คงหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้คนต่างชาติ (ผู้ได้รับสิทธิหลัก) ต้องไม่ทำงานต้องห้าม ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นเดิม และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติและนิยามที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลได้อย่างจริงจัง ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นรับทราบหลักเกณฑ์และแนวทางในการขอรับการรับรองในเรื่องที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง ควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ รวมทั้งวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14318 | ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | ดส | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยขึ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของภาคเอกชนผู้ประกอบกิจการดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกในการผลักดันนโยบายภาครัฐ เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัมนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นควรให้ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของสภาดิจิทัลฯ ให้ครอบคลุมถึงการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลให้ชัดเจน และการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยให้มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสับสนในการดำเนินการตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานในภายหลัง และข้อสังเกตเกี่ยวกับบทนิยามที่ยังไม่มีความชัดเจน การจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ และความเป็นนิติบุคคลของสภาดิจิทัลฯ อำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลฯ และคณะกรรมการสภาดิจิทัลฯ มีความซ้ำซ้อนกัน และยังขาดเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสภาดิจิทัลฯ และการกำหนดต้องสอดคล้องกับมาตรา ๗๗ วรรค ๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่มีความเห็นเพิ่มเติมว่า สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัลทั้งในภาครัฐและผู้ประกอบการธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยโดยให้มีมาตรฐานขององค์ความรู้และทักษะด้านดิจิทัลเพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรที่จะรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณาให้มีการแต่งตั้งประธานคณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพื่อให้การประสานการดำเนินการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14319 | ร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. .... | นร09 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย ได้แก่ การตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย และการตรวจสอบเนื้อหาของร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับระบบอนุญาต ระบบคณะกรรมการ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย และหลักเกณฑ์การกำหนดโทษทางอาญา หลักเกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย และการเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งนี้ ตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ประกอบกับมาตรา ๒๕๘ ค. ด้านกฎหมาย (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายกำหนดนั้น ควรกำหนดกรอบและแนวทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม อาทิ การพิจารณาวัตถุประสงค์ของการตรากฎหมาย ภาระของประชาชน ภาระที่เกิดขึ้นแก่รัฐและทรัพยากรที่ใช้ในการบังคับการตามกฎหมาย และเมื่อพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้บังคับแล้วคณะกรรมการพัฒนากฎหมายควรเร่งกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ได้ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งควรจัดให้มีระบบการติดตามและตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายให้ทันต่อสถานการณ์ หากมีกรณีที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติและประชาชน เพื่อหน่วยงานของรัฐสามารถยกเลิก ปรับปรุง หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือกระทำการอื่นใดที่เกี่ยวข้องได้ทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีขั้นตอนให้ต้องปฏิบัติจำนวนมาก เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติให้เป็นไปตามร่างกฎหมายดังกล่าว และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณะทราบด้วย นอกจากนี้ การดำเนินการให้เกิดผลลัพธ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวอาจพัฒนาต่อยอดจากระบบการรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ www.Lawamendment.go.th ซึ่งมีการใช้งานตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ จนถึงปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14320 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกรรมที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตน พ.ศ. .... และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีการแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตาม มาตรา 16 รวม 3 ฉบับ | ปง | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ และร่างประกาศ จำนวน ๑ ฉบับ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ที่ทำกับสถาบันการเงินในส่วนที่เป็นธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกรรมที่เป็นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทโอนเป็นที่สาธารณประโยชน์ รวมทั้งธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย เป็นธุรกรรมที่ไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรายงาน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกรรมเพื่อสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินที่ต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตน ๑.๓ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีการแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทข้อมูลและหลักฐานที่ลูกค้าต้องแสดงตนกับสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพ เพื่อกำหนดมาตรการให้สามารถพิสูจน์ทราบตัวตนของลูกค้า กำหนดประเภทข้อมูลแสดงตนอิเล็กทรอนิกส์ที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพได้รับจากลูกค้า ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงการพัฒนาระบบการกำกับตรวจสอบให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่ (Fintech) และสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งควรมีการประชาสัมพันธ์ให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ทราบถึงผลกระทบจากการประกาศใช้ร่างกฎกระทรวงทั้ง ๒ ฉบับ และร่างประกาศดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....