ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 717 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14321 - 14340 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14321 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รวม 3 ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560] | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ รวม ๓ ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการหักรายจ่ายของสำนักงานใหญ่และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน การถือเอาผลขาดทุนประจำปีคงเหลือของบริษัทผู้โอนเพื่อประโยชน์ของบริษัทผู้โอนในการหักลดหย่อนภาษี และการเฉลี่ยรายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ กรณีที่บริษัทมีแปลงสำรวจหลายแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ได้ว่า กฎกระทรวงที่ต้องออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น มีจำนวนหลายฉบับ มีความซับซ้อน ประกอบกับต้องใช้เวลาในการพิจารณาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรอความชัดเจนการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมฯ ในการกำหนดให้สามารถนำหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามกฎกระทรวงข้างต้นมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจ และไม่เกิดผลเสียต่อรัฐและผลการประกอบการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรรายงานเหตุผลและความจำเป็นในการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความแตกต่างกัน ตลอดจนข้อดี ข้อเสียเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป รวมถึงควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วนและใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14322 | ขอรายงานผลการดำเนินงานตามภารกิจสำคัญของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร04 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับราบรายงานผลการดำเนินงานตามภารกิจสำคัญของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตามภารกิจสำคัญของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เช่น การขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ การจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพแล้วเสร็จพร้อมให้การรับรองสมรรถนะ การสร้างความร่วมมือกับภาคการศึกษาในการนำระบบคุณวุฒิวิชาชีพไปใช้ การพัฒนาสมรรถนะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ การพัฒนากรอบคุณวุฒิวิชาชีพ จาก ๗ ระดับ เป็น ๘ ระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ และการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนรวมถึงหน่วยงานจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสนับสนุนให้เกิดการยอมรับมาตรฐานอาชีพในระดับสากล เป็นต้น ๒. การดำเนินงานในระยะต่อไป ได้แก่ การสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับคุณวุฒิวิชาชีพ การเชื่อมโยงการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกันและนำไปสู่การปรับหลักสูตรของภาคการศึกษา ตลอดจนศึกษาแนวทางการเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพกับคุณวุฒิการศึกษา การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนคุณวุฒิวิชาชีพในสาขาต่าง ๆ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ การจัดทำและทบทวนมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพที่ได้จัดทำให้เป็นไปตามทิศทางการพัฒนาประเทศที่ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และการสนับสนุนประเทศไทย ๔.๐ การเร่งให้การรับรององค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14323 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล) | สธ | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14324 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างราชอาณาจักรไทย - รัฐอิสราเอล | คค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยการแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยบริการเดินอากาศในจุดระหว่างและพ้นไปจากอาณาเขตของตน ลงนามย่อเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และเห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย-รัฐอิสราเอล ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงข้อตกลงเดิมให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน การปรับปรุงจำนวนความจุความถี่ในการรับขนทางอากาศระหว่างกัน จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนความจุความถี่ เป็นให้ทำการบินได้ไม่เกิน ๒๘ เที่ยว/สัปดาห์ การปรับปรุงสิทธิการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และการปรับปรุงข้อบทให้สามารถทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน (Code Share) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สายการบินทั้งสองฝ่ายสามารถขยายบริการและเครือข่ายการบินเพิ่มมากขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๓ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ และร่างพิธีสารฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14325 | การลงนามพิธีสารฉบับที่ 1 เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อบทที่ ๓๘ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) เพื่อเป็นพื้นฐานทางกฎหมาย (Legal basis) สำหรับรองรับระบบการรับรองถิ่นกำหนดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-Wide-Self-Certification : AWSC) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ โดยสามารถขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้โดยการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางไปขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมาประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14326 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม 2561 | นร11 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีการขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ส่วนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๘ มีสาเหตุสำคัญจาก (๑) อุปสงค์จากต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหมวดยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และ (๒) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๕.๗ เมื่อรวม ๑๑ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๑ รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๐ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๖.๔ ในเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการชะลอตัวลงของรายรับจากนักท่องเที่ยวในเกือบทุกภูมิภาค ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์สูงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๑ ซึ่งเป็นการขยายตัวในหมวดพืชผลสำคัญและหมวดปศุสัตว์ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาค ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออก ทั้งนี้ ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศปรับทิศทางนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๗) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจรายเดือนของประเทศในภาพรวม โดยครอบคลุมถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการเกษตร การค้า การลงทุน เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเฉพาะในคราวที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสาธารณชนในวงกว้างเท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14327 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การสร้างประชาคมอาเซียน ที่ประชุมฯ ได้สนับสนุนข้อเสนอของไทย เช่น การจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการหารือและการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนที่กรุงเทพมหานคร ในปี ๒๕๖๒ (๒) ประเด็นด้านความมั่นคงในภูมิภาค ได้แก่ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ที่ประชุมฯ ยินดีต่อพัฒนาการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีน และความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำประมวลแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ประเทศส่วนใหญ่ยินดีกับพัฒนาการเชิงบวกในควบสมุทรเกาหลี และความสำเร็จของการประชุมสุดยอดของผู้นำกาหลี รวมทั้งยินดีต่อการให้คำมั่นของเกาหลีเหนือในการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ และสถานการณ์ในรัฐยะไข่ เมียนมาย้ำว่าปัญหาในรัฐยะไข่ไม่ใช่ปัญหาด้านมนุษยธรรมและไม่ได้มีรากฐานจากความขัดแย้งทางศาสนา แต่เป็นปัญหาด้านการเมือง ความมั่นคง และการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนยินดีต่อความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบริหารจัดการภัยพิบัติร่วมกับกลไกที่นำโดยรัฐบาลเมียนมา (๓) ประเด็นด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเทศส่วนใหญ่แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการปกป้องทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าการส่งเสริมระบบการค้าแบบพหุภาคีบนหลักกติกา โดยเฉพาะระบบการค้าภายใต้องค์การการค้าโลกเป็นเรื่องจำเป็น และ (๔) ไทยได้รับการชื่นชมว่าได้ทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรปได้อย่างดี โดยจะรับหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียต่อจากเวียดนาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการนำเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14328 | ข้อสังเกตตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย พ.ศ. .... | กต | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับพันธกรณีตามความตกลงในการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับการอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทยหรือไม่ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14329 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๘ แห่ง ให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพื่อให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งไม่เกิดช่องว่างในการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณากำหนดยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๘/๒๕๕๘ เรื่อง การให้กรรมการหรือคณะกรรมการตามกฎหมายบางฉบับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ไว้ในร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งให้พิจารณาขอบเขตของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14330 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล | ทส | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล (Special ASEAN Ministerial Meeting on Marine Debris) ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ ๕-๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ โรงแรมในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และให้จัดประชุมฯ ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมกำหนดเป้าหมายและนโยบายแบบบูรณาการและกรอบแนวทางความร่วมมือข้ามภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงการจัดการขยะจากแหล่งทั้งบนบกและในทะเล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ในการประชุมฯ จะมีการรับรองร่างปฏิญญาเพื่อการแก้ไขปัญหาขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันยกร่างให้แล้วเสร็จก่อนการประชุมฯ รวมทั้งจะมีการนำผลลัพธ์ของการประชุมไปเสนอต่อที่ประชุมผู้นำ G20 ต่อไป ทั้งนี้ ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดขอบเขตของการแก้ไขปัญหาขยะทะเลให้ชัดเจน โดยเฉพาะขยะทะเลที่เป็นพลาสติกและโฟม ซึ่งเสื่อมสลายยากและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14331 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย | ทส | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ และเห็นชอบให้จัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษฯ ภายใต้กรอบวงเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งการจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อประมวลสถานการณ์การลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย การร่วมกันกำหนดแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และการรับรองแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย เป็นต้น โดยการประกาศข้อริเริ่มของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษฯ จะถูกบรรจุไว้ในถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมอาเซียนด้านอาชญากรรมสัตว์ป่าและพืชป่าข้ามชาติซึ่งเป็นหนึ่งในผลที่คาดว่าจะได้รับจากการจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษฯ จึงควรมีการจัดทำรายละเอียด แผนงาน แผนงบประมาณ และกรอบระยะเวลาการจัดตั้งให้ชัดเจน รวมทั้งควรกำหนดประเด็นการหารือและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมายร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่ชัดเจน เพื่อใช้โอกาสดังกล่าวในการแสวงหาแนวทางขับเคลื่อนร่วมกันที่สามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษฯ ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14332 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร12 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอกรอบการประเมิน เกณฑ์การประเมิน และรอบระยะเวลาในการประเมินส่วนราชการและจังหวัด ตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยได้ปรับปรุงใน ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ ๑.๑ กรอบการประเมิน องค์ประกอบในการประเมินยังคงมี ๕ องค์ประกอบเช่นเดิม ประกอบด้วย (๑) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจพื้นฐาน (Functional base) (๒) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจยุทธศาสตร์หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ (Agenda base) (๓) การดำเนินงานตามหลักภารกิจพื้นที่/จังหวัด กลุ่มจังหวัด (Area Base) (๔) ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนานวัตกรรม (Innovation base) และ (๕) ศักยภาพในการดำเนินการของส่วนราชการตามยุทธศาสตร์ชาติ (Potential base) โดยได้ปรับปรุงประเด็นการประเมินในองค์ประกอบที่ ๑ โดยเพิ่มเติมประเด็นการประเมินด้านการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อให้สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า ในปัจจุบันส่วนราชการหลายแห่งมีการดำเนินงานตามภารกิจหลักโดยบูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน ๑.๒ เกณฑ์การประเมิน ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน เป็นการคำนวณคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละของทุกองค์ประกอบ ๑.๓ รอบระยะเวลาในการประเมิน ได้ปรับปรุงรอบระยะเวลาในการประเมิน โดยกำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดต้องประเมินปีละ ๑ รอบ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น ควรให้หน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประเมินส่วนราชการมีการกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินส่วนราชการร่วมกัน ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งผลการพิจารณาการประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการเบื้องต้นต่อส่วนราชการ ก่อนนำเสนอผู้ประเมิน และในส่วนของกรอบการประเมินผลของจังหวัด ควรพิจารณาความสำเร็จของการผลักดันเป้าหมายสำคัญในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาภาคประกอบด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14333 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง และร่างปฏิญญาชาร์ม เอล เชค (Sharm El-Sheikh Declaration) | ทส | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๔-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ๒. เห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาชาร์ม เอล เชค (Sharm El-Sheikh Declaration) โดยไม่มีการลงนาม ซึ่งร่างปฏิญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เป็นการแสดงเจตจำนงร่วมกันระหว่างผู้แทนรัฐภาคีฯ ในการดำเนินการอนุรักษ์ ใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองปฏิญญาชาร์ม เอล เชค ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยฯ และร่างปฏิญญาดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14334 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้ใช้สิทธิเฉลี่ยเดือนละ ๑,๒๕๕,๗๑๗ คน จำนวนธุรกรรมรวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๖๘,๒๖๙ รายการ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑,๘๙๒ ล้านบาท ส่วนการตรวจสอบผู้มีสิทธิที่มีพฤติกรรมการใช้สิทธิไม่เหมาะสม (Fraud Detection) ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ พบว่า ผู้ใช้สิทธิเข้าเงื่อนไขพฤติกรรมเสี่ยง จำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๘๑ ราย (ไม่นับคนซ้ำที่เข้าแต่ละเงื่อนไข) คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๙๕,๑๗๓,๙๖๔.๒๗ บาท สำหรับปัญหาอุปสรรค จากการติดตามการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ได้แก่ (๑) การใช้งานเครื่องรับรายการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) สัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เสถียร ส่งผลให้การประมวลผลเกิดความล่าช้า (๒) เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมผ่านเครื่อง EDC และการใช้งาน KTB Corporate Online ตลอดจนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับแนวทางการบันทึกและจัดส่งข้อมูลค่ารักษาพยาบาลผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว และ (๓) ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลกับผู้มารับบริการ ๒. สั่งการให้ส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลที่กรมบัญชีกลางจัดส่งให้เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่าผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ขอให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการทุจริต ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14335 | ขอความเห็นชอบต่อการเสนอให้ไทยเป็นที่ตั้งศูนย์บริการด้านธุรการระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (Global Shared Service Center) | กต | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเสนอให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งศูนย์บริการด้านธุรการระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (Global Shared Service Center : GSSC) โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากได้รับเลือก ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการส่งแบบแสดงเจตจำนงของประเทศไทยในการรับเป็นศูนย์ GSSC แก่สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ โดยระบุรายละเอียดที่ประเทศไทยจะสนับสนุน ได้แก่ การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าบ้าน การอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จากประเทศที่สามทำงานได้ และการให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์ GSSC จำนวน ๒๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี ระหว่างปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ๑.๓ ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามท้ายแบบแสดงเจตจำนงที่จะส่งให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ภายในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับระยะเวลาและวงเงินตามสัญญา ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ทราบถึงการจัดตั้งศูนย์ GSSC ในประเทศไทย และประโยชน์ที่จะได้รับโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว และหากได้มีการจัดตั้งศูนย์ GSSC ดังกล่าวในประเทศไทย ควรมีการติดตามประเมินผลเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศในครั้งต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14336 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๑๙ ฉบับ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามหรือรับรองเอกสาร จำนวน ๑๕ ฉบับ เช่น ร่างปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติว่าด้วยความช่วยเหลือทางกงสุลโดยคณะทูตของรัฐสมาชิกอาเซียนในประเทศที่สามแก่คนชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสาร จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารแนวคิด-ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารแจ้งตอบรับไปยังสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามเอกสารในนามอาเซียน จำนวน ๓ ฉบับ เช่น ร่างข้อตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการประยุกต์ใช้ ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14337 | ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการรับรองวันเยาวชนอาเซียนเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ (ASEAN Declaration on the Adoption of the ASEAN Youth in Climate Action and Disaster Resilience Day) | พม | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบถ้อยคำและสารัตถะในร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการรับรองวันเยาวชนอาเซียนเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ (ASEAN Declaration on the Adoption of the ASEAN Youth in Climate Action and Disaster Resilience Day) และให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นการเน้นความสำคัญของการเฉลิมฉลองเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ในหมู่เยาวชนและสร้างความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยืนยันภารกิจสำคัญของประเทศสมาชิกอาเซียนและวิสัยทัศน์ตามประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ๒๐๒๕ ด้านการจัดการภัยพิบัติของอาเซียน เพื่อที่จะทำให้มีมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้สามารถคาดการณ์ ตอบสนอง จัดการปัญหา ปรับตัวและสร้างใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้เยาวชนร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สำหรับงบประมาณปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14338 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจว่า ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการจราจรในบริเวณต่าง ๆ ที่มักประสบปัญหาการจราจรติดขัดอยู่เป็นประจำ โดยให้พิจารณารูปแบบในการดำเนินการให้เหมาะสมและมีทัศนียภาพที่ดี เช่น การสร้างอุโมงค์ทางลอด ทางยกระดับ เพื่อให้สามารถระบายความหนาแน่นของการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณการติดสะสม นั้น ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ครอบคลุมถึงการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่ง และการจัดหาพื้นที่จอดรถของประชาชนที่มาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เพื่อเดินทางต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้นำแผนแม่บทดังกล่าวฯ เสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14339 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14340 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561) | นร | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติใน ๓ ประเด็น คือ การจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ การพิจารณาให้ความเห็นกรณีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกัน และการพิจารณาแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรี ไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
|
.....