ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 712 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 14221 - 14240 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14221 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ จังหวัดขอนแก่น (นายสมบัด เพ็งพะจัน) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมบัด เพ็งพะจัน (Mr. Sombath Phengphachanh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายบุนสี วงบัวสี (Mr. Bounsy Vongbouasy) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14222 | รัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย (นายเยฟเกนี โตมีฮิน) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเยฟเกนี โตมีฮิน (Mr. Evgeny Tomikhin) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายคีริลล์ มีไฮโลวิช บาร์สกี (Mr. Kirill Mikhailovich Barsky) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14223 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด นัซมุล เคาไนน์) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด นัซมุล เคาไนน์ (Mr. Md. Nazmul Quaunine) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศประจำประเทศไทย คนใหม่โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางซะอีดะฮ์ มุนา ตัสนีม (Mrs. Saida Muna Tasneem) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14224 | ขออนุมัติให้ความช่วยเหลือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) | คค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) เป็นกรณีเฉพาะ ในวงเงิน ๒๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับวงเงินงบประมาณในการซ่อมแซมบูรณะนั้น ขอให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) คำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณและเร่งดำเนินการขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ขอให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขความตกลงว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหารและการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าเฉพาะคราว โดยไม่มีพันธกรณีหรือเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว กระทรวงคมนาคมจึงอาจพิจารณามีหนังสือแจ้งฝ่าย สปป.ลาว ตามนัยดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และควรใช้ประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในครั้งนี้เพื่อหารือและเร่งรัดประเด็นการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนตามข้อตกลงที่ได้ร่วมดำเนินการระหว่างกัน เช่น การเพิ่มเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ไว้ในเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14225 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ 32 | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดมะละแหม่ง รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมี พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ ๓ และ พลโท มินหน่อง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้บังคับหน่วยที่ประจำการตามแนวชายแดน เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองกองทัพ ๒. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันกรณีเรือล่ม/เรือสูญหายใกล้กับเขตแดนทางทะเล การปราบปรามการค้ามนุษย์ โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน โครงการผืนป่าอาเซียน ความร่วมมือด้านสังคม สาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้และยกระดับความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยฝ่ายเมียนมายินดีที่จะจัดให้มีการลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน ๓. ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะขยายความร่วมมือในการจับกุมผู้กระทำผิดคดียาเสพติดและยกระดับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สำนักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (Border Liaison Office) ๔. ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีต่อความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างเป็นธรรมในแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก รวมทั้งความสำเร็จของคณะสำรวจของทั้งสองฝ่ายในการตรวจสอบหลักเขตแดน หลักอ้างอิงเขตแดน และการสร้างหลักเพิ่มเติม (จำนวน ๑๘ หลัก) บริเวณแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก และทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีในการบังคับใช้แนวทางด้านเทคนิคในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำเมยและน้ำแม่กระบุรี โดยตกลงที่จะให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนในท้องถิ่นของตนปฏิบัติตามหลักการที่ได้ตกลงไว้ในแนวทางด้านเทคนิค นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสันปันน้ำ หรือคุณลักษณะทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเห็นพ้องที่จะนำประเด็นการดูดทรายจากแม่น้ำเมย ปัญหาเกาะของแม่น้ำเมย ปัญหาบ้านแม่โกนเกน ปัญหาคอกช้างเผือก ปัญหาของ ๓ เกาะที่ปากแม่น้ำกระบุรี การก่อสร้างบริเวณช่องทางพระเจดีย์สามองค์ และการวางกำลังฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ดอยลางซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนและการยึดถือแผนที่คนละฉบับเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ๕. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เรือประมงไทยเข้าไปทำประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำเมียนมา ๖. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่ออาชญากรรมข้ามแดน และการเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยพกพาอาวุธและกระสุนเข้าไปในเมียนมา รวมทั้งการนำเข้าและส่งออกสินค้าทุกประเภทผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา (แม่สอด-เมียวดี) โดยจะมีการประสานข้อมูลต่าง ๆ ผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14226 | การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. | นร51 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำปีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๕๓) เห็นชอบอัตรากำลังประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒๐๐ อัตรา และมีมติ (๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) แต่งตั้งให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ที่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน/คณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม และ/หรือคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้ และต่อมาคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้มีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นการปรับปรุงภายใต้กรอบอัตรา จำนวน ๒๐๐ อัตรา โดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐที่เห็นว่า การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ควรพิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างการบริหารงานของ กอ.รมน. ในภาพรวม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งระดับสูงโดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรมีผลให้ต้องยุบเลิกตำแหน่งระดับปฏิบัติงาน กอ.รมน. จึงควรพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อให้มีอัตรากำลังที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กอ.รมน. ควรพิจารณาบริหารจัดการอัตรากำลังในภาพรวมที่มีอยู่ให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14227 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน จำนวน ๑ ฉบับ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา จำนวน ๒ ฉบับ และร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน จำนวน ๗ ฉบับ รวมทั้งสิ้น ๑๐ ฉบับ ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจาเพื่อให้อาเซียนมีความเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับอาเซียนในการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาค ๑.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ และรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Defence Ministers’ Meeting : 12th ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ ๕ (5th ADMM-Plus) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14228 | การดำรงตำแหน่งประธาน ก.พ. อาเซียน ของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2563 | นร10 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำรงตำแหน่งประธาน ก.พ. อาเซียน ของประเทศไทย ต่อจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และภารกิจต่าง ๆ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. มีกำหนดรับมอบตำแหน่งดังกล่าวในระหว่างการเข้าร่วมการประชุมผู้นำว่าด้วยความร่วมมืออาเซียนด้านกิจการราชการพลเรือน หรือ ASEAN Cooperation on Civil Service Matters (ACCSM) ครั้งที่ ๑๙ (The 19th Heads of Civil Service Meeting for the ACCSM) ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งการดำรงตำแหน่งประธาน ก.พ. อาเซียน ของประเทศไทยจะต้องมีการเตรียมการเป็นเจ้าภาพและฝ่ายเลขานุการจัดการประชุม ก.พ. อาเซียน ครั้งที่ ๒๐ (The 20th ACCSM Meeting) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) กำหนดแนวคิดหลัก (Theme) ของการประชุมว่า “Accelerating Agile ASEAN Civil Service” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (๒) กำหนดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่ต้องการผลักดันและดำเนินการให้แล้วเสร็จในวาระการดำรงตำแหน่งประธาน ก.พ. อาเซียน และ (๓) กำหนดแผนการจัดประชุมฯ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ จำนวน ๘ คณะ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อดำเนินงานจัดประชุมฯ จำนวน ๒ ครั้ง สำหรับ ๓ คณะ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการประชุมอีก ๕ คณะ จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14229 | การรับรองร่างปฏิญญารัฐมนตรีหัวข้อ "Navigating policy with data to leave no one behind" สำหรับการประชุมคณะกรรมการด้านสถิติภายใต้เอสแคป สมัยที่ 6 | ดศ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีหัวข้อ “Navigating policy with data to leave no one behind” ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมคณะกรรมการด้านสถิติภายใต้เอสแคป สมัยที่ ๖ ในช่วงการประชุมระดับสูง (high-level segment) วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างศักยภาพของระบบสถิติของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะการจัดให้มีการพัฒนาและเสริมสร้างสถิติทางการ (Official Statistics) ที่เชื่อได้และทันต่อเวลา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และการจัดทำนโยบายต่าง ๆ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14230 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมจำนวน ๙,๒๑๗.๒๕๖ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการกู้เงินให้สอดคล้องกับมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ให้กระทำด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ และการกระจายภาระการชำระหนี้ของ ขสมก. ด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้ ขสมก. เร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะแนวทางในการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินอย่างยั่งยืน รวมทั้งให้คำนึงถึงภาระของรัฐบาล เพื่อให้ทราบถึงภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องสนับสนุน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14231 | ร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561)] | นร | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14232 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจำหน่ายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในท้องที่ตำบลคลองประเวศ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561)] | นร | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจำหน่ายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในท้องที่ตำบลคลองประเวศ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14233 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง จำนวน ๗ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ) ๑.๔ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การรวบรวมข้อมูลการทำความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๖ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ และข้อ ๓ ๑.๗ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ให้กระทำในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดหรือหน่วยการปกครองของต่างประเทศที่มีฐานะเทียบเท่าจังหวัดของไทย กรณีการสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ในระดับที่ต่ำกว่าจังหวัดของไทยอาจอนุโลมได้เป็นรายกรณี โดยให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมร่วมกันเป็นรายกรณีไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๓. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) และร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องฉบับมาตรฐาน (ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ที่ยกร่างโดยกระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14234 | รัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย [นางสุจิตรา ทุไร (Ms.Suchitra Durai)] | กต | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุจิตรา ทุไร (Ms.Suchitra Durai) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายภควันต สิงห พิศโนอี (Mr. Bhagwant Singh Bishnoi) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14235 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐอุซเบกิสถานประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายอะซีซ อะลีเยฟ (Mr. Aziz Aliev)] | กต | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอะซีซ อะลีเยฟ (Mr. Aziz Aliev) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐอุซเบกิสถานประจำประเทศไทย สืบแทน นายอิสลาม เบกเมอซาเยฟ (Mr. Islam Bermirzaev) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14236 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายศักดิ์สกล จินดาสวัสดิ์) | รง | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายศักดิ์สกล จินดาสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14237 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) (นายเชวง ไทยยิ่ง) | นร09 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเชวง ไทยยิ่ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14238 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 10 | กก | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๑๐ (10th APEC Tourism Ministerial Meeting : TMM 10) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอิทธิพล คุณปลื้ม) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมภายใต้หัวข้อ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและครบวงจรในยุคดิจิทัลสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” (Harnessing Sustainable and Inclusive Tourism in the Digital Age for the Asia-Pacific) โดยผลการประชุม TMM 10 ที่ประชุมได้ตระหนักถึงบทบาทของการท่องเที่ยวในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่สามารถสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน ชุมชน และประเทศไทย รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันผ่านการบูรณาการระหว่างคณะทำงานด้านต่าง ๆ ในกรอบความร่วมมือเอเปค บทบาทของสตรีกับการท่องเที่ยว ตลอดจนแผนการทำงานปี ค.ศ. ๒๐๑๘ และแผนยุทธศาสตร์ปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๙ เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรองร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เห็นชอบไว้ โดยได้มีการตัดถ้อยคำบางส่วนออกเพื่อให้ข้อความมีความกระชับ ชัดเจน และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ รวมถึงได้เพิ่มเนื้อหาใหม่ด้วย ซึ่งการปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ เป็นการปรับเปลี่ยนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14239 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 10 (10th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) | นร11 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๐ (the 10th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ มีสาระสำคัญเป็นการหารือและร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อผลักดันการดำเนินงานของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และญี่ปุ่น ภายใต้วิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision : MIDV) และร่างวิสัยทัศน์ MIDV ภายหลังปี ๒๕๖๓ (MIDV 2.0) ในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนากฎระเบียบ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งปรับปรุงถ้อยคำในแถลงข่าวร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๐ (Joint Media Statement) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขงกับญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative : MJ-CI) นั้น เนื่องจากข้อเสนอแผนการดำเนินงานดังกล่าว เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและผลักดัน การดำเนินงานการอำนวยความสะดวกการคมนาคมขนส่งและการค้า และการส่งเสริมการวิจัยและสร้างนวัตกรรม เป็นต้น เป็นเพียงแนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายไว้เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14240 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจนบรรลุผล เช่น ทบทวนและปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อตั้งสถานบริการ (Zoning) ครบถ้วนแล้ว ๗๗ จังหวัด และจัดทำโครงการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา และการกระทำผิดกฎหมายตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นต้น สำหรับปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคในการส่งต่อข้อมูลจากตำรวจมายังกรมกิจการเด็กและเยาวชน (บ้านพักเด็กและครอบครัว) ในกรณีที่มีการจับกุมเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง และกรณีเด็กประพฤติตนไม่สมควรเข้าไปใช้บริการในสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ได้แก่ (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ เข้ามาช่วยในการติดตามเยี่ยมบ้านเด็กและเยาวชน และ (๒) ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จัดทำฐานข้อมูลกลางของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง หรือประพฤติตนไม่สมควร หรือเป็นแกนนำในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินการเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละประเภทพื้นที่เชิงบวกควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการส่งต่อข้อมูลให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่สุ่มเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ของสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนมีจิตใจโอบอ้อมอารี ให้ความช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน การจัดตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในสายทาง/บริเวณที่เป็นจุดล่อแหลมหรือจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมขึ้น การตรวจค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีความเสี่ยงในการกระทำผิดกฎหมายอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำผิดและสร้างความเชื่อมั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น
|
.....