ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1721 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34401 - 34420 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34401 | ห้ามมิให้นำเข้าไปหรือจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทในอุทยานแห่งชาติ | ทส | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่อง ห้ามมิให้นำเข้าไปหรือจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทในอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในอุทยานแห่งชาติ และป้องกันมิให้เกิดการส่งเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่นักท่องเที่ยว และรบกวนสัตว์ป่า ตลอดจนสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34402 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 6 ราย 1. นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ฯลฯ) | กต | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ) จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สืบแทนนายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา ๒. นายสมปอง สงวนบรรพ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ๓. นายอภิชาต เพ็ชรรัตน์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน เนการา บรูไนดารุสซาลาม สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายพิทักษ์ พรหมบุบผา ที่เกษียณอายุราชการ ๔. นางกุณฑลี ประจิมทิศ ดำรงตำแหน่งเอกอัคราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายสุวิทย์ สายเชื้อ ที่เกษียณอายุราชการ ๕. นายปัญญรักษ์ พูลทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ ๖. นายกำธร สิทธิโชติ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู สืบแทนนายอุดมผล นินนาท
|
||||||||||||||||||||||||
34403 | การดำเนินโครงการ "2554 ปีแห่งความปลอดภัย" | คค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผน “คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” ตามโครงการ “๒๕๕๔ ปีแห่งความปลอดภัย ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุในสายทางหลักและสายรองทั่วประเทศ โดยการบริหารจัดการและปรับปรุงถนนตามหลักวิศวกรรมจราจรและงานทาง รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนทั่วประเทศบนถนนนำร่องในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ๒. แนวทางการดำเนินการ ได้แก่ การปรับปรุงเส้นทางให้ดีพร้อมทั้งผิวทาง ไหล่ทาง เครื่องหมาย อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เกาะกลาง ทางเข้าออกของทางร่วมทางแยก เครื่องหมายเตือนบริเวณก่อสร้าง ฯลฯ พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยของถนนทุก ๓ เดือน การให้ความรู้ควบคู่การประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้ทาง ประชาชนสองข้างทาง และชุมชนในพื้นที่ และการให้หน่วยงานโดยเฉพาะตำรวจทางหลวงเข้มงวดกับผู้ขับขี่ และประชาชนต้องเข้าใจ รักษาวินัย ปฏิบัติตามกฎและเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ๓. เส้นทางนำร่อง ระยะแรกกำหนดเส้นทางนำร่อง ๕ สายทาง ใน ๕ ภูมิภาคทั่วประเทศให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” ได้แก่ ภาคกลาง ทางหลวงหมายเลข ๓๐๕ และ ๓๔๒๘,๓๐๕๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) ภาคตะวันออก ทางหลวงหมายเลข ๓ (ถนนสุขุมวิท) ภาคเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๑๒ (สาย East - West) และภาคใต้ ทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) และระยะต่อไป จะพิจารณาแนวสายทางและช่วงกิโลเมตรที่จะกำหนดให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” จังหวัดละ ๑ สาย
|
||||||||||||||||||||||||
34404 | การกำหนดให้มีวันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นวันรัฐพิธี | กห | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดให้วันที่ ๑๘ ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น “วันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” และให้เป็นวันรัฐพิธี โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ พร้อมทั้งกำหนดให้มีพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชวังสราญรมย์ กรุงเทพมหานคร เป็นประจำทุกปี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34405 | การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 และความตกลงเกี่ยวกับการอนุวัติภาค 11 ของอนุสัญญาฯ | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และภาคยานุวัติความตกลงเกี่ยวกับการอนุวัติภาค ๑๑ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ และเห็นชอบคำประกาศตามข้อ ๒๙๘ และคำประกาศตามข้อ ๓๑๐ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และให้เสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตนว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ตนรับผิดชอบหรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ และหากเห็นว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวก็ให้เร่งดำเนินการ โดยอาจจัดทำเป็นแผนพัฒนากฎหมายต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทยเป็นกลไกประสานงานเพื่อการบูรณาการการพัฒนากฎหมายให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ โดยประสานกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากฎหมายตามข้อ ๒ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34406 | การขอใช้พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ | คค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับเรื่อง การให้ระงับการใช้พื้นที่ป่าชายเลนเป็นการเฉพาะราย เพื่อให้กรมทางหลวงชนบทใช้พื้นที่ป่าชายเลนและพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าหลังสอดและป่าควนบากันเกาะ (ป่า C) อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ประมาณ ๑๔.๑๙ ไร่ เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย-เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันนา จังหวัดกระบี่ ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกรมพัฒนาที่ดินในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาที่ดินที่เห็นว่า หากกระทรวงคมนาคมมีความประสงค์จะขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ถาวรและป่าสงวนแห่งชาติจะต้องพิจารณาดำเนินการขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงชนบทปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และความเห็นชองคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและโครงการร่วมกับเอกชนด้านคมนาคม อย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการใช้ประโยชน์ที่ดิน การควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนยานพาหนะให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของเกาะลันตา ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย-เกาะลันตาใหญ่ ตามผลการประกวดราคา ในวงเงิน ๔๑๕,๙๙๘,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ให้แล้ว จำนวน ๘๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๒๗,๙๘๘,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
34407 | การเสนอร่างยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและประกาศเป็นวาระแห่งชาติ | พม | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม และประกาศให้เรื่องดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญและขับเคลื่อนการดำเนินงานไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ครู ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ในสังคมปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งการให้ความรู้และการเสริมสร้างกลไกที่จะเข้ามาช่วยดูแลพฤติกรรมทางเพศและทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีพัฒนาการในด้านการดูแลตนเอง มีวิจารณญาณในการเลือกรับปรับใช้ค่านิยม และเกิดการเสริมสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสมเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน โดยเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศีลธรรมและจริยธรรมให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่จะช่วยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรและการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของเด็กและเยาวชนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34408 | ขออนุมัติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขง เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 1 และการประชุมคณะทำงาน ภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขง เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 7 | ทส | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขง เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๑ และการประชุมคณะทำงานภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขง เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
34409 | ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552 - 2561 | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปจัดทำแผนปฏิบัติการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาให้ใช้ไอซีทีมาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มศักยภาพบุคลากรครูในสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อบรม/พัฒนาทักษะด้านไอซีทีให้กับครู การพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Literacy) และการรู้เท่าทันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ (Information Literacy) ของประชาชนให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการบรอดแบนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระตุ้นความสนใจและสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนในการเลือกสายวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเลือกที่จะประกอบอาชีพนักวิจัยในอนาคต รวมทั้งการปรับแก้ไขกฎระเบียบและจัดทำมาตรการส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้าย (mobility) หรือแลกเปลี่ยนบุคลากรวิจัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อบุคลากรวิจัยได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและเกิดเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง การจัดทำแผนกำลังคนเพื่อให้ใช้อัตรากำลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาและพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถของกำลังแรงงานโดยเน้นความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและสถานประกอบการเอกชนซึ่งเป็นผู้ใช้กำลังแรงงานส่วนใหญ่ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องกับการปรับบทบาทภารกิจของรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ ควรมีความชัดเจนทั้งในด้านจำนวนและกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน โดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยเข้าร่วมด้วย เพื่อให้สำนักงบประมาณสามารถใช้เป็นกรอบในการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมต่อไป โดยประเด็นการปฏิรูปการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ควรครอบคลุมถึงทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษและการปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมในการศึกษาสายอาชีวศึกษาของนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
34410 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิต ผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | คค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์มีอายุนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ดังนี้ ๑.๑ ใบอนุญาตผลิตอากาศยาน ให้มีอายุสามสิบปี ๑.๒ ใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยานให้มีอายุยี่สิบปี ๑.๓ ใบอนุญาตผลิตชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ ให้มีอายุสิบปี ๑.๔ ใบอนุญาตผลิตบริภัณฑ์ ให้มีอายุสิบปี ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้การขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตอากาศยาน ใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ใบอนุญาตผลิตชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ และใบอนุญาตผลิตบริภัณฑ์ ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีกรมการบินพลเรือนประกาศกำหนดพร้อมเอกสารและหลักฐาน ๒.๒ กำหนดให้อธิบดีกรมการบินพลเรือนตรวจสอบคำขอต่ออายุใบอนุญาตฯ รวมทั้งประเมินความพร้อมทางด้านองค์กร มาตรการควบคุมการกำกับดูแลการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก หากสมควรให้ต่ออายุใบอนุญาตให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบอนุญาต
|
||||||||||||||||||||||||
34411 | ร่างกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 พ.ศ. .... | คค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. ๒๔๙๗ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ แก้ไข ข้อ ๑ แก้ไขเพิ่มเติมหมายเลข สาย ตอนของทางหลวงตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ให้ตรงกับทะเบียนทางหลวง ๑.๒ แก้ไข ข้อ ๓ เพิ่มเติมทางเลือกในการให้บริการผู้ใช้ยานยนตร์ในการชำระค่าธรรมเนียมผ่านทางโดยวิธีติดบัตรอัตโนมัติ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติ เช่น การวางและคืนเงินค่ามัดจำอุปกรณ์ การชำระและหักเงินในบัญชีสำรองค่าผ่านทางล่วงหน้าหรือบัตรที่ใช้แทนเงินสดที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
34412 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลวังทอง ตำบลชัยนาม และตำบลดินทอง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34413 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาล | กษ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ กรณีข้าวที่ค้างอยู่ในโกดังกลางของรัฐบาล ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก จำนวน ๕.๖๐๔ ล้านตัน ให้รัฐบาลออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินโครงการรับจำนำเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินและปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกโครงการเป็นรายโครงการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ๑.๒ กรณีการสำรวจผลผลิตของครัวเรือนที่ทำประกันและข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกจริงอันเนื่องมาจากการดำเนินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้รัฐบาลมีมาตรการเสริมเพื่อป้องกันปัญหาการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ และผลผลิตเกินความเป็นจริงหรือเป็นเท็จ และเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ๒.ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจปริมาณและคุณภาพของข้าวเปลือกตกค้าง (Stock) รวมตลอดถึงสถานะของบัญชีของทุกโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. กรณีที่ผลการศึกษาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีข้อมูลบ่งชี้ว่า อาจมีเจ้าหน้าที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการระบายข้าวเปลือกด้วย มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
34414 | การบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งเป็นเอกภาพของหน่วยงานภาครัฐในการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตของโครงการ และเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินภารกิจไม่ซ้ำซ้อนกัน รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรม คุณธรรมของภาครัฐ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาและจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับแนวทางการบูรณาการการป้องกันการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ ๑.๑ การประเมินผลขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ (Pre-implementation Stage) เน้นการพิจารณาความเหมาะสมในการวางแผนโครงการว่ามีการวางกระบวนการ/กิจกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบได้แค่ไหนเพียงใด ก่อนอนุมัติ ๑.๒ การประเมินผลขั้นการดำเนินงาน (Implementation Stage) เน้นการติดตามความก้าวหน้าของโครงการว่าได้ดำเนินการอย่างเหมาะสมเพียงใด และดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด ๑.๓ การประเมินผลขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ (Post-implementation Stage) โดยเน้นที่ผลของการดำเนินการโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันทุจริตหรือไม่ และมีการยกระดับพฤติกรรมของการดำเนินงานของโครงการและหน่วยงานเพียงไร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีการตรวจสอบความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการและความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ดำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการวางแผนโครงการ และในการผลักดันแนวทางการบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐไปสู่การปฏิบัติ ควรนำกลไกและเครื่องมือการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างจริงจัง รวมทั้งควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เช่น กระบวนการดำเนินงาน และการใช้ประโยชน์ร่วมกันของข้อมูล เป็นต้น เพื่อให้เกิดผลในการป้องกันการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๖๐ วัน |
||||||||||||||||||||||||
34415 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Sustainable Port Development in the ASEAN Region ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Sustainable Port Development in the ASEAN Region และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ความเห็นชอบการลงนามแทนคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖ (กรอบการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการและ/หรือสิทธิพิเศษสำหรับโครงการความร่วมมือหรือความตกลงในการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่มิได้เป็นนิติบุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕) โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในนามของรัฐบาลไทย ๒. หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงในเรื่องนั้น ๆ ได้
|
||||||||||||||||||||||||
34416 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลางเพื่อชำระเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | กษ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ใช้จ่ายจากวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๘๖๐ ล้านบาท [ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปี ๒๕๕๒/๕๓) อนุมัติไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับซื้อข้าวเปลือกและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาคุณภาพข้าวเปลือก] เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ จำนวนรวม ๔๒๑,๖๑๕,๙๑๗.๗๙ บาท คืนแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยให้ อ.ต.ก. เร่งประมาณการค่าใช้จ่ายที่คงเหลือจากวงเงินดังกล่าว แล้วนำมาชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยคืนแก่ ธ.ก.ส. โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และหากวงเงินจ่ายขาดดังกล่าวเหลืออยู่ไม่เพียงพอ ให้ อ.ต.ก. นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดจำนวนโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินกู้ ไปพิจารณาด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังประสานกับ ธ.ก.ส. เพื่อพิจารณาผ่อนปรนไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มกรณี อ.ต.ก. ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยได้ทันตามกำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณามาตรการเสริมอื่นเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับโครงการแทรกแซงราคาข้าวเปลือก เช่น การกำหนดแผนการระบายข้าวที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวให้สามารถส่งออกได้มากขึ้นเพื่อช่วยพยุงราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ การพัฒนาระบบตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง และการส่งเสริมการซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เป็นต้น ไปพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34417 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ" | สสป | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงกฎหมาย ๑.๑ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของสถานบริการที่มีผู้ใช้บริการแออัด หรือมีการจำหน่ายสุรา เช่น การกำหนดจำนวนผู้ใช้บริการ การห้ามใช้วัสดุที่ลามไฟง่ายในการตกแต่งอาคาร การมีระบบป้องกันและบรรเทาภัย เป็นต้น โดยออกเป็นกฎหมายเฉพาะสำหรับควบคุมอาคาร สถานบริการ และอาคารชุมนุมคน และปรับใช้มาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานบริการตามที่วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ (วสท.) กำหนดไว้ ๑.๒ กำหนดให้อาคารสถานบริการทุกประเภทต้องทำประกันภัย ความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก โดยมีบทลงโทษกรณีไม่ทำประกันภัยดังกล่าว ๑.๓ ปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจห้ามบริการที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ๑.๔ ออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๘ ของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ครบถ้วนทั้ง ๑๖ หลักเกณฑ์ และปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ๒. การบังคับใช้กฎหมาย ๒.๑ มีระบบตรวจการใช้อาคารและการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายสถานบริการ และกฎหมายการสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอาคารสถานบริการต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ๒.๒ บูรณาการการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการประสานข้อมูลและพัฒนารูปแบบการตรวจสอบร่วมกัน ๒.๓ มีนโยบายชัดเจนในการปิดสถานบริการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ๒.๔ คุ้มครองแรงงานภาคบริการให้ได้รับสวัสดิการและความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ๓. การมีส่วนร่วม ๓.๑ รณรงค์ให้ประชาชนมีสำนึกเรื่องความปลอดภัย และพัฒนาการเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ ในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าของอาคาร ผู้ใช้บริการ เพื่อให้รู้จักหน้าที่และมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการใช้บริการสาธารณะ ๓.๒ กำหนดให้องค์กรวิชาชีพที่เป็นกลางและไม่แสวงหากำไรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร ๓.๓ กำหนดให้มีการปิดประกาศหรือเผยแพร่ข้อมูลผลการตรวจสอบหรือมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารสาธารณะต่าง ๆ ๓.๔ เผยแพร่ข้อมูลสถานบริการต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตและดำเนินการโดยถูกต้อง
|
||||||||||||||||||||||||
34418 | การทบทวนและวิเคราะห์สถานการณ์โครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง การทบทวนและวิเคราะห์สถานการณ์โครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจลคืนไปได้ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34419 | ขอเปลี่ยนตัวบุคคลเข้ารับการศึกษาประจำปีการศึกษา 2553 - 2554 | กห | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอขอเปลี่ยนตัวบุคคลเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ ๒๓ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ดังนี้
๑. กระทรวงการต่างประเทศ จากเดิมนายทรงศัก สายเชื้อ รองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ เปลี่ยนเป็นนางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๒. กระทรวงมหาดไทย จากเดิมนายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน เปลี่ยนเป็นนายประทีป กีรติเรขา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๓. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากเดิมพลตำรวจตรี ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสันติบาล เปลี่ยนเป็นพลตำรวจตรี สัญชัย สุนทรบุระ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
34420 | ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสวัสดิการแก่ครอบครัวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 77 | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างหลักเกณฑ์ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสวัสดิการแก่ครอบครัวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ๑.๒ ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสวัสดิการแก่ครอบครัวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการกำหนดให้บุคคลในครอบครัวได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ควรกำหนดให้คณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น และการกำหนดให้บุคคลในครอบครัวรวมถึงผู้ที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตายได้อุปการะเลี้ยงดูไว้ได้รับสวัสดิการและสิทธิพิเศษในการสนับสนุนเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพหรือเข้าทำงานในสถานประกอบการของรัฐอาจไม่สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยสวัสดิการฯ ของข้าราชการในภาพรวม รวมทั้งการพิจารณาให้บรรจุทายาทของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตาย ซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจไม่สอดคล้องกับหลักการของระบบคุณธรรมที่ต้องการให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถซึ่งผ่านกระบวนการสรรหาบุคคลเข้ารับราชการเพื่อให้ได้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาปฏิบัติงานในภาคราชการ เป็นต้น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้รับการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษและได้รับการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ไม่น่าจะเป็นการจัดสวัสดิการให้แก่ครอบครัวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จึงอาจจะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกินกว่าที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ และเนื่องจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่แล้ว ซึ่งรวมทั้งกรณีเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติหน้าที่จนถึงแก่ความตายด้วย ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น จึงไม่น่าจะกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นใหม่เพื่อนำมาใช้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นการเฉพาะ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ หากการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีมีผลให้หลักการของร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปจากร่างหลักเกณฑ์ตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
.....