ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1723 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34441 - 34460 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34441 | ผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาปัจจัยการผลิตต่อราคาสินค้า | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาปัจจัยการผลิตต่อราคาสินค้า ดังนี้
๑. ผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ๑.๑ การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ เป็นวันละ ๑๕๙.๐๐ - ๒๒๑.๐๐ บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒๓ - ๑.๗๙๔ โดยสินค้าเครื่องแบบนักเรียนได้รับผลกระทบสูงสุดร้อยละ ๑.๗๙๔ ๑.๒ การปรับสูงขึ้นของน้ำมันดีเซล โดยปรับราคาสูงขึ้นเป็นลิตรละ ๒๙.๙๙ บาท ทำให้ต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคในส่วนของค่าใช้จ่ายผลิตและค่าขนส่งสูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๐๓๘ - ๐.๗๔๗๕ โดยสินค้าปูนซีเมนต์ได้รับผลกระทบสูงสุดร้อยละ ๐.๗๔๗๕ หรือถุงละ (๕๐ กิโลกรัม) ๐.๘๑ บาท ๑.๓ การปรับสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบในช่วงตรึงราคาสินค้า ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งส่วนที่นำเข้าและผลิตในประเทศมีราคาสูงขึ้น โดยในส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูงขึ้น ได้แก่ เหล็กแท่งยาว เหล็กกล้าแผ่นไม่เป็นสนิมรีดร้อน ทองแดง และแม่ปุ๋ยยูเรีย สำหรับวัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ยางแผ่นดิบ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำนมดิบ มะพร้าวผลแก่ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้ามีราคาสูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๓ - ๔๙.๘๐ ๒. ผลกระทบจากการปรับสูงขึ้นของค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาน้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรในส่วนของค่าไถพรวน ค่าวิดน้ำเข้านา ค่ารถเกี่ยว ค่าอบลดความชื้น และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสินค้าพืชไร่ (ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง) พืชผักและผลไม้ ตลอดจนปศุสัตว์ โดยต้นทุนข้าวเปลือกสูงขึ้นร้อยละ ๓.๐๗ หรือสูงขึ้นตันละ ๒๓๔.๐๐ บาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๓ หรือสูงขึ้นตันละ ๑๖๐.๐๐ บาท มันสำปะหลัง ต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ ๓.๔๒ หรือสูงขึ้นตันละ ๔๐.๐๐ บาท ต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงขึ้นตัวละ ๙.๔๐ บาท สูงขึ้นกิโลกรัมละ ๐.๐๘ บาท รือสูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๔
|
||||||||||||||||||||||||
34442 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายวรรณธรรม กาญจนสุวรรณ และนางสาวอารดา มีเพียร) | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายวรรณธรรม กาญจนสุวรรณ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ตั้งแต่วัน ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ๒. นางสาวอารดา มีเพียร ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
34443 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2553 | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๗๑๐ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๑,๓๖๗ โครงการ วงเงิน ๑๖,๐๘๔.๙๒ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๓๔๓ โครงการ วงเงิน ๓๓๓,๘๗๕.๕๒ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๓,๑๔๕ โครงการ วงเงิน ๑๙,๓๓๕.๖๐ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๔๗๘ โครงการ วงเงิน ๑๑,๖๘๐.๐๒ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๖๖๗ โครงการ วงเงิน ๗,๖๕๕.๕๘ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๘,๑๙๘ โครงการ วงเงิน ๓๑๔,๕๓๙.๙๒ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๘,๑๙๘ โครงการ วงเงิน ๓๐๖,๒๘๗.๔๔ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๒,๑๔๖ โครงการ วงเงิน ๕๕,๐๔๒.๘๒ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๑,๕๘๓ โครงการ วงเงิน ๒๐๙,๑๔๗.๔๓ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๔,๔๖๙ โครงการ วงเงิน ๔๒,๐๙๗.๑๙ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๖,๐๕๒ โครงการ วงเงิน ๒๕๑,๒๔๔.๖๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
34444 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34445 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) | ทก | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อเป็นหน่วยงานกลางเฉพาะที่ทำหน้าที่วิจัย พัฒนา จัดทำมาตรฐาน ดำเนินการปฏิบัติการ และบริหารจัดการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
34446 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2552 | พม | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเสนอรายงานสถาน
การณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) สรุปได้ ดังนี้ ๑. ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ ตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ๗.๖ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๕ ของประชากรทั้งหมด และคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ จะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ ๑๗.๘ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๒๕ (๑ ใน ๔) ของประชากรทั้งหมด ๒. สุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๒ พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ประเมินว่ามีสุขภาพปานกลางถึงดีมาก ประมาณร้อยละ ๗๐ – ๘๐ ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เมื่ออายุมากขึ้นจะ ประเมินสุขภาพตนเองไม่ดีลดลงตามช่วงอายุ โดยผู้สูงอายุชายประเมินสุขภาพตนเองว่าปานกลาง ดี และดีมากสูง กว่าผู้สูงอายุหญิง ๓. การดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ยังเป็นบทบาทหน้าที่ซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐ และการ ดำเนินงานด้านนโยบายการดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ในด้านการจัดสวัสดิ การด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ กองทุนสวัสดิการชุมชน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กองทุนผู้สูงอายุ การให้เงินช่วย เหลือแก่ผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาส และประสบความเดือดร้อน การช่วยเหลือค่าจัดการศพแก่ผู้สูงอายุที่เสียชีวิต และ ด้านการดูแลด้านสุขภาพ และสังคมในครอบครัวและชุมชน ได้แก่ การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน (Home Health Care) วัดส่งเสริมสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุในชุมชน การดูแลที่บ้านสำหรับผู้สูงอายุกลุ่มพึ่งพา เป็นต้น ๔. ภาวะการทำงานของประชากร พ.ศ. ๒๕๕๒ พบว่าผู้สูงอายุที่ทำงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๓๗.๒ โดยสัดส่วนการทำงานของผู้สูงอายุชายจะสูงกว่าหญิง การทำงานของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุยังคงทำงาน ในด้านเกษตรกรรม แต่มีแนวโน้มการทำงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ ๔๑.๔ สถานภาพการทำ งาน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ ๖๒.๑ ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง และมีสัดส่วนการเป็นลูกจ้างเอกชนลด ลงร้อยละ ๑๒.๗ แต่ผู้สูงอายุที่เป็นลูกจ้างรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔ ด้านรายได้เฉลี่ยและชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้น โดยผู้สูงอายุมีรายได้เฉลี่ย ๖,๘๓๑ บาทต่อเดือน และชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น ๔๓.๖ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ๕. การเข้าถึงข้อมูลการศึกษาและการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต มีผู้สูงอายุเข้ารับการศึกษาตามอัธยาศัย จำนวน ๑๕๙,๒๒๑ คน โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุผ่านทางช่องรายการสถานี โทรทัศน์ ETV การรับฟังรายการวิทยุ การชมนิทรรศการ การใช้บริการห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และเว็บ ไซต์ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีผู้สูงอายุเข้ารับการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา จำนวน ๗,๒๘๓ คน และผู้สูงอายุที่ต้องการเพิ่มวุฒิการศึกษา โดยเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา มี จำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีการศึกษา ๒๕๕๒ มีจำนวน ๓,๖๒๓ คน ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาต่อระดับปริญญา ตรี การศึกษาต่อเนื่อง (หลักสูตรระยะสั้น) ๖ ศักยภาพของผู้สูงอายุด้านการประกอบอาชีพและเพิ่มรายได้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ เกษตรกรรม สำหรับศักยภาพผู้สูงอายุด้านการพัฒนาตนเองและกลุ่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีผู้สูงอายุที่เป็นแบบอย่าง ที่ดีที่ได้รับการยกย่องเชิดชูจากสังคม ได้แก่ การประกาศสดุดีเกียรติคุณเป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ศิลปินแห่งชาติ ได้ รับรางวัลเชิดชูผู้ทำความดี และได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และศักยภาพด้าน การอนุรักษ์และการถ่ายทอดภูมิปัญญา มีโครงการคลังปัญญาผู้สูงอายุ ครูภูมิปัญญาไทย วุฒิอาสาธนาคาร สมอง อาจารย์วัยเกษียณในสถาบันอุดมศึกษา และโครงการถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ |
||||||||||||||||||||||||
34447 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 สิงหาคม 2553) | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์
สินทางปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ สามารถ จับกุมได้ ๓๙๘ คดี ยึดของกลางได้ ๓๗๘,๖๗๖ ชิ้น |
||||||||||||||||||||||||
34448 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 22 | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๒ (The
22nd APEC Ministerial Meeting) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ – ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมืองโยโกฮามา ประเทศ ญี่ปุ่น โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมเห็นชอบรายงานการประเมินผลการบรรลุเป้าหมายการเปิดเสรีการค้าการลงทุนตามเป้า หมายโบกอร์ในปี ๒๐๑๐ (ปี ๒๐๒๐ สำหรับเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนา) ของสมาชิกพัฒนาแล้ ว ๕ เขตเศรษฐกิจ (แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา) และสมาชิกกำลังพัฒนาที่อาสาเข้าร่วมประเมินผล ในปีนี้อีก ๘ เขตเศรษฐกิจ (ชิลี เปรู เม็กซิโก ฮ่องกง จีนไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) โดยเห็นว่า การ เปิดเสรีในประเทศเหล่านี้มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ (significant progress) แต่มีหลายเรื่องที่ยังมีปัญหาอยู่ เช่น อัตราภาษีสูงในสินค้าเกษตร สิ่งทอ เสื้อผ้า มีการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีอย่างแพร่หลาย การเปิดเสรีการค้า บริการยังไม่มากพอ เป็นต้น โดยเอเปคจะกำหนดกลไกทบทวนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในอนาคต ๒. ที่ประชุมเห็นพ้องว่าการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย - แปซิฟิค (Free Trade Area of the Asia-Paci fic : FTAAP) ควรใช้วิธีสร้าง building block จาก RTAs/FTAs Partnership Agreement) โดยเอเปคจะมีบทบาทเป็น ที่บ่มเพาะทางความคิด (intellectual incubator) สำคัญของการเจรจาเหล่านี้และการเจรจา FTAAP (หากมีขึ้นใน อนาคต) ทั้งนี้ FTAAP ควรเป็นความตกลงที่ครอบคลุมประเด็นอย่างกว้างขวาง (comprehensive) มีมาตรฐานและ คุณภาพสูง (high quality) และรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนในอนาคต (next generation trade and investment issues) เช่น โลจิสติกส์ การปฏิรูปโครงสร้าง โดยมอบหมายให้เอเปคไปดำเนินการอย่างเป็น รูปธรรมเพื่อให้ประสบผลในการทำ FTAAP ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34449 | รายงานข้อมูลสถานประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3/2553 | รง | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานข้อมูลสถานประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับ
ผลกระทบจากอุทกภัย และการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ ๓ /๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. การดำเนินการสำรวจและรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการและลูกจ้างในทุกจังหวัดที่ประสบภัย ตั้ง แต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ถึงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ปรากฏว่ามี ๓๑ จังหวัด และ ๒ เขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร มีสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทั้งหมด ๒,๑๐๑ แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ ๑๘๔,๕๓๗ คน จำแนกเป็น สถานประกอบการและลูกจ้างที่ประสบภัย จำนวน ๒,๑๐๑ แห่ง ลูกจ้าง ๑๔๓,๐๙๗ แห่ง และสถาน ประกอบการที่ไม่ประสบภัยแต่ลูกจ้างไม่สามารถไปทำงานได้ จำนวน ๕๖๘ แห่ง ลูกจ้าง ๔๑,๔๔๐ คน ๒. การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ มีดังนี้ ๒.๑ กระทรวงแรงงานได้รับจัดสรรงบประมาณ ตามโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓๙,๘๓๘,๘๐๐ บาท โดยได้จัดสรรงบ ประมาณให้กับจังหวัดที่เสนอแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ จังหวัดละไม่เกิน ๑ ล้านบาท จำนวน ๕๗ จังหวัด ๒.๒ จัดกิจกรรมคาราวานฟื้นฟูผู้ประสบภัย กระทรวงแรงงาน “ถึงที่ ถึงใจ เราไม่ทิ้งกัน” เพื่อให้ การช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดตามภารกิจของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ภายใต้กิจ กรรมต่าง ๆ ได้แก่ มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ซ่อมแซมบ้านเรือน ยานพาหนะ เครื่องจักรการเกษตร และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ กิจกรรมจัดบริการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ บริการจัด หางานโดยรถโมบายบริการจัดหางานเคลื่อนที่ รับขึ้นทะเบียน/รับรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน และกิจ กรรมให้คำปรึกษาลูกจ้าง/นายจ้างที่ได้รับผลกระทบ ๒.๓ จัดโครงการแรงงานพบประชาชน จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยการบูรณา การของส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานภาคเอกชนร่วมกันจัดนิทรรศการต่าง ๆ เพื่อให้ บริการประชาชนในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ แจกถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย กิจกรรมการนัดพบแรง งาน ให้บริการซ่อมแซมสิ่งของที่เสียหายจากเหตุอุทกภัย บริการให้คำปรึกษาและแนะนำข้อกฎหมาย และกิจ กรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ |
||||||||||||||||||||||||
34450 | รายงานประจำปี 2552 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
34451 | บัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบเอนกประสงค์ (Smart Card) | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอว่า ได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34452 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. .... | สธ | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้สถานบริการสาธารณสุข สถานศึกษา และสถานศึกษาพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาจัดให้มีการปรึกษาหรือบริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ การสอนเพศศึกษา และผู้ให้การปรึกษาและบริการต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการที่หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา และนายจ้างภาคเอกชน ต้องปฏิบัติต่อหญิงมีครรภ์ ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงาน หรืออยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษา ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ๑.๔ กำหนดให้กรมอนามัยทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๐ เห็นควรแก้ไข “ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานของรัฐ หรือนายจ้างภาคเอกชน มีหน้าที่ต้องป้องกันไม่ให้มีการกระทำใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ทั้งทางวาจาหรือกริยาอาการ อันเป็นการล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศต่อผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้าง” โดยตัดคำว่า “การก่อความเดือดร้อนทางเพศ” ออก และร่างมาตรา ๑๑ ควรระบุขั้นตอนและวิธีการดำเนินการช่วยเหลือหญิงมีครรภ์ให้ชัดเจน และระบุให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือร่วมกับภาคเอกชน นอกจากนี้ การดำเนินการตามพระราชบัญญัติฉบับนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ จึงควรต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อนที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการและกลไกการบูรณาการ ประสานแผนการทำงานร่วมกัน และการติดตามกำกับ รวมทั้งการกำหนดอัตรากำลังบุคลากรที่จะมาปฏิบัติงานในสำนักงานเลขานุการ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34453 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง | รง | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการให้สัตยาบัน ๒. สำหรับขั้นตอนการลงนามและการให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบอนุสัญญาฯ แล้ว ดังนี้ ๓.๑ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมให้การจัดตั้งสำนักงานทะเบียนกลาง สำนักงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และสำนักงานผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานอยู่ในกระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ๓.๑.๒ ยกเลิกหลักเกณฑ์การจำกัดจำนวน การแต่งตั้ง การจดทะเบียนที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ และยกเลิกกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยกเลิกอำนาจของนายทะเบียนในการสั่งให้พ้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ ๓.๑.๓ ปรับปรุงคุณสมบัติผู้ก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เงื่อนไขการจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงาน คุณสมบัติของการเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน และคุณสมบัติของกรรมการสหภาพแรงงาน ๓.๑.๔ แก้ไขปรับปรุงและยกเลิกการลงโทษการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๓.๒ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๒.๑ แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อตกลงสหภาพการจ้างข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันมิได้ การห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงาน ๓.๒.๒ แก้ไขคุณสมบัติของบุคคลในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน การจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การรับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การเลิกสหภาพแรงงาน ๓.๒.๓ แก้ไขให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานเอกชนสามารถรวมตัวเพื่อจัดตั้งสหพันธ์แรงงานได้ |
||||||||||||||||||||||||
34454 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
||||||||||||||||||||||||
34455 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ. .... | คค | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ. ๒๕๔๗ เสียใหม่ เพื่อให้สามารถกำหนดหมวดอักษรของแผ่นป้ายทะเบียนรถให้เพียงพอต่อจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำหนดลักษณะของแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์เสียใหม่ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนรวมของตัวอักษรและตัวเลขในป้ายทะเบียน จากที่มีอยู่รวม ๖ ตัว ขึ้นเป็น ๗ ตัว การกำหนดระยะห่างระหว่างตัวเลขนำหน้าตัวอักษรประจำหมวดกับตัวอักษรประจำตัว การขยายขนาดแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ให้มีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการใช้อักษรประจำหมวดตัวที่หนึ่งกับตัวที่สองที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือที่ยากต่อการจดจำ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
34456 | ขอเพิกถอนพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ - ปุย | นร | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เพิกถอนพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย บางส่วน เฉพาะตามประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (กพท.) ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เนื้อที่ ๘๑๙-๒-๗๙ ไร่ และพื้นที่ซุ้มประตูด้านหน้าโครงการเนื้อที่ประมาณ ๑-๒-๐๖ ไร่ รวมเนื้อที่ ๘๒๑-๘๕ ไร่ ส่วนพื้นที่สระเก็บน้ำ จำนวน ๓ แห่ง ซึ่งอยู่นอกเขตประกาศ กพท. และส่งน้ำเข้าไปใช้ในโครงการเนื้อที่รวม ๑๘-๒-๑๓ ไร่ นั้น ให้คงไว้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ โดยโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารียังสามารถใช้ประโยชน์จากสระน้ำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ใช้พื้นที่เท่าที่ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ให้มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม และให้ อพท. ยื่นคำขอต่อกรมป่าไม้เพื่อขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้ อพท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำเสนอแผนธุรกิจของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพื่อขอความเห็นจากคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการโครงการและการขออนุญาตใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติสามารถดำเนินการไปพร้อมกันจนบรรลุตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34457 | แหล่งเงินทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ | กค | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้โรงงานยาสูบใช้แหล่งเงินลงทุนจากเงินรายได้ของโรงงานยาสูบในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมของการลดอัตราการนำส่งรายได้แผ่นดินของโรงงานยาสูบ จากอัตราที่กำหนดไว้เดิมร้อยละ ๘๘ ของกำไรสุทธิ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างแผนการลงทุนกับผลประกอบการจริงของโรงงานยาสูบ โดยเริ่มจากการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ การปรับแผนการดำเนินการโครงการฯ โดยยังคงเป้าหมาย วงเงินลงทุน และผลประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เดิม ตามที่โรงงานยาสูบเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ทั้งนี้ หากการปรับแผนการดำเนินการโครงการฯ มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อแผนงานหรือการลงทุนจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ กระทรวงการคลังจะต้องจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำกับดูแลให้โรงงานยาสูบจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงทางการเงินขององค์กรอย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินเพื่อมิให้กิจการประสบปัญหาทางการเงิน รวมทั้งการนำเงินส่งรัฐในระยะต่อไป นอกจากนี้ ในการลดอัตราการนำส่งรายได้แผ่นดินและการปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงการจัดทำงบประมาณเข้าสู่สมดุลภายใน ๕ ปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34458 | เสนอขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่โครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ 2 | กค | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการใช้เงินงบประมาณในการจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน และจัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน ให้กับผู้ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไข จำนวน ๔๗ แปลง เนื้อที่ ๑๒๔-๓-๓๑ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐,๓๘๒,๔๔๓ บาท สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือ (๙ แปลง) ให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ๑.๒ จัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ (น.ส.๓ ก) จำนวน ๑๗ แปลง เนื้อที่รวม ๒๔-๑-๒๒ ไร่ ตามราคาที่คณะทำงานตกลงราคาซื้อขายที่ดินด่านพรมแดนบ้านประกอบ ระยะที่ ๒ กำหนดในราคาตารางวาละ ๘๒๕ บาท (ไร่ละ ๓๓๐,๐๐๐ บาท) รวมกับราคาค่าสิ่งปลูกสร้างและราคาค่าต้นไม้ในที่ดินด้วย ๑.๓ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาและสำนักงานจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการไปก่อน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นข้อกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยไว้ แต่ในกรณีที่รัฐเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องไร้ที่ทำกิน คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือได้ ส่วนกรณีที่รัฐประสงค์จะซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ รัฐต้องคำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ กรณีเจ้าของที่ดินตกลงซื้อขายที่ดินย่อมตกอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในการดำเนินกิจการของรัฐอันเป็นประโยชน์สาธารณะ แม้เจ้าของที่ดินไม่ยินยอมในการตกลงซื้อขาย รัฐสามารถใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของเอกชน แต่รัฐต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถูกเวนคืนนั้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพถนนบริเวณโครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ ๒ ตามแผนงานปรับปรุงด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการเดินทางและขนส่งสินค้าในสายทางดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือสิ่งปลูกสร้าง ผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่สำหรับโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34459 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 พ.ศ. .... | สธ | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้โอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๕๒ พ.ศ. .... ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาว่า
๑. การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว หากสามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาได้ก็ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๕๒ พ.ศ. .... ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. หากจำเป็นต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายระดับใด ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการยกร่างกฎหมาย โดยให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ หากสามารถใช้มาตรการทางบริหารดำเนินการตามหลักการตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามข้อ ๑ หรือ ข้อ ๒ ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
34460 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกด้านระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | กต | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและการลงนามความตกลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกด้านระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และให้สามารถแก้ไขความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมความร่วมมือด้านความมั่นคงไว้ในความตกลงฉบับนี้ เพื่อให้มีสาระครอบคลุมความสัมพันธ์ทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....