ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1720 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34381 - 34400 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34381 | ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับโครงสร้างบริษัท และกองทุนประกันวินาศภัย ให้มีความชัดเจน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธุรกิจประกันภัย และให้ความช่วยเหลือเจ้าหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับโครงสร้างบริษัท และกองทุนประกันชีวิต ให้มีความชัดเจน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธุรกิจประกันภัย และให้ความช่วยเหลือเจ้าหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการกำหนดลำดับบุริมสิทธิในการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัยให้ชัดเจนเช่นเดียวกับการกำหนดลำดับบุริมสิทธิเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ การกำหนดวิธีการและขั้นตอนเพื่อให้ศาลได้รู้ถึงคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล และการกำหนดข้อยกเว้นกรณีให้ศาลงดการพิจารณาคดีที่มีผู้ฟ้องบริษัทสำหรับสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อศาลไว้ก่อน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการใช้สิทธิของโจทก์ที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในการพิสูจน์ถึงความรับผิดของจำเลยอื่น ๆ และพิสูจน์ถึงจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยแต่ละรายนอกจากบริษัทผู้ประกันต้องรับผิดต่อโจทก์ เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ และร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิตฯ ไม่มีผลกระทบต่อการใช้สิทธิของบุคคล เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
34382 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. .... | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
34383 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมอัตราประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรจากอัตราเหมาจ่าย ๓๕๐ บาทต่อเดือนต่อบุตรหนึ่งคน เป็นอัตราเหมาจ่าย ๔๐๐ บาทต่อเดือนต่อบุตรหนึ่งคน ๑.๒ แก้ไขเพิ่มเติมตำแหน่งข้าราชการที่มีหน้าที่รับรองการมีชีวิตอยู่ของบุตรให้สอดคล้องกับระบบจำแนกตำแหน่งข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๓ กำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรอัตราเหมาจ่ายตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ และยังคงมีสิทธิได้รับต่อเนื่องถึงวันที่กฎกระทรวงฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรอัตราเหมาจ่าย ๔๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงฉบับใหม่มีผลใช้บังคับเป็นต้นไปจนครบตามสิทธิ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งข้าราชการที่มีหน้าที่รับรองการมีชีวิตของบุตรสำหรับตำแหน่งประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับปฏิบัติงานขึ้นไป ควรกำหนดเป็น “... หรือตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานที่มีระยะเวลาการปฏิบัติงานมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ...” เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งข้าราชการตั้งแต่ระดับ ๓ ขึ้นไป ตามที่กำหนดไว้เดิม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับเงินสงเคราะห์บุตรที่ปรับเพิ่มขึ้นจะมีผลทำให้กองทุนประกันสังคมมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สำนักงานประกันสังคมควรพิจารณาการบริหารจัดการด้านกองทุนประกันสังคมให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้สถานะการเงินของกองทุนมีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
34384 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (นายจุมพล สงวนสิน) | กษ | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจุมพล สงวนสิน ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กะทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34385 | การบริจาคเงินสมทบกองทุนสิ่งแวดล้อมของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ | ทส | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยบริจาคเงินสมทบกองทุนสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติก่อตั้งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme, : UNEP) เป็นจำนวนเงิน ๒๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๗๔๘,๘๓๕ บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดย ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ ๒๙.๙๕๓๔ บาท) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการบริจาคเงิน ซึ่งเป็นการบริจาคเงินตามความสมัครใจ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34386 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | กษ | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒) เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง สรุปได้ ดังนี้
๑. ควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไม่ให้ทำความเสียหายกับผลผลิตและท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ในพื้นที่ ๒๐ จังหวัด โดยประชุมชี้แจงให้ความรู้ในการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังและสนับสนุนสารเคมีในการฉีดพ่นเพื่อลดประชากรของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และจากการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา สามารถควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังได้โดยในพื้นที่ดำเนินการไม่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๒. ป้องกันการแพร่กระจายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไปยังแหล่งปลูกมันสำปะหลังอื่น ในพื้นที่ ๔๕ จังหวัด โดยถ่ายทอดความรู้เรื่องการแช่ท่อนพันธุ์ การผลิตแมลงช้างปีกใสควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง การตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน และจากการติดตามสถานการณ์การระบาด พบว่ามีพื้นที่ที่พบเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ ๒๓,๖๓๐ ไร่ ในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนจึงไม่พบการระบาดทำความเสียหายให้กับมันสำปะหลัง ๓. สำหรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธีและใช้ในกรณีที่จำเป็นเร่งด่วน นั้น กรมส่งเสริมการเกษตรได้แนะนำให้เกษตรกรใช้สารเคมีอย่างถูกต้องเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องการลดประชากรของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และการแช่ท่อนพันธุ์ในการป้องกันการแพร่กระจายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ส่วนการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ใช้ศัตรูธรรมชาติคือ แมลงช้างปีกใสเป็นหลัก รวมทั้งติดตามและเฝ้าระวังการระบาดโดยมีศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเป็นผู้ดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
34387 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการ คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... | กก | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการ คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดอัตราการรับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ๒. กำหนดอัตราการรับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งของประธานอนุกรรมการ รองประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ๓. กำหนดให้กรณีที่กรรมการหรืออนุกรรมการซึ่งเป็นการแต่งตั้งโดยตำแหน่งไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ แต่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นเข้าร่วมประชุมแทน โดยทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานการมอบหมาย ให้ถือว่าผู้ได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการ หรืออนุกรรมการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับกรรมการ หรืออนุกรรมการ ๔. กำหนดให้ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ได้รับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานของคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยให้นำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ และระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งออกตามความในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม และกำหนดให้กรรมการที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการพลเรือนตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง และให้อนุกรรมการที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการพลเรือนตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น สำหรับประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการ รองประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการที่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้รับตามสิทธิของตนที่มีสิทธิได้รับจากทางราชการ
|
|||||||||||||||||||||
34388 | การขอตั้งงบประมาณเพื่อจัดตั้งหน่วยระวังภัยทางเศรษฐกิจของอาเซียน | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔,๔๙๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปชำระเงินสำหรับการจัดตั้งหน่วยระวังภัยทางเศรษฐกิจของอาเซียน (Macroeconomic and Finance Surveillance Office :MFSO ได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่และวิเคราะห์องค์ความรู้จาก MFSO และหน่วยงานอื่น ๆ ของอาเซียนภายหลังจากมีการจัดตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว เช่น สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ ซึ่งจะมีการจัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+๓ (เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓) เพื่อสร้างองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประเทศไทยในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
34389 | แนวทางการดำเนินการโฉนดชุมชน | นร | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร พิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ใช้พื้นที่ในการจัดทำเป็นโฉนดชุมชนให้เป็นที่ยุติในระดับกระทรวง และกรุงเทพมหานคร เพื่อรับผิดชอบในการจัดให้มีโฉนดชุมชนต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนเสนอ ๒. โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ประชาชน/กลุ่มประชาชนเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันในบางกรณี เช่น กรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่สหกรณ์การเช่าที่ดินคลองโยง จำกัด จังหวัดนครปฐม เป็นต้น ยังมีปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับภาระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||
34390 | ขอพระราชทานชื่อกองทุน (กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา) และการขอลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินบริจาค | ศธ | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการจัดกิจกรรมระดมทุนรับบริจาคเพื่อเป็นทุนประเดิมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ การดำเนินงาน รวมทั้งการระดมทุนเพื่อสมทบทุนกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการระดมทุน กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานของรัฐต้องถือปฏิบัติตามข้อ ๒๐ (๑) - (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบในหลักการการขอพระราชทาน ชื่อ “กองทุนครูของแผ่นดิน” สำหรับกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับทุนประเดิมที่มีผู้บริจาค โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๑ (เรื่อง การขอพระราชทานนามอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ และการก่อสร้างอาคารของทางราชการ) โดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๓. การพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ผู้ที่บริจาคเงินสมทบกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๔. ให้ผู้บริจาคเงินให้แก่กองทุนฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยสามารถนำเงินที่บริจาคหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่จ่ายไปแต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิหรือเงินได้สุทธิ แล้วแต่กรณี ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนการใช้มาตรการการลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินบริจาคให้กับกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
34391 | ขอยกเลิกโครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สินและรับทราบแนวทางการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ทก | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สิน) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ CDMA ในส่วนกลาง ได้แก่ สัญญาทำการตลาดวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digtal AMPS 800 Band A กับ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด และสัญญาเช่าและว่าจ้างให้ปรับปรุง เปลี่ยน ซ่อมแซม บำรุง และดูแลจัดการเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital AMPS 800 Band A กับ บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด เนื่องจากสัญญาดังกล่าวเป็นการดำเนินการภายในของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่เคยนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ จึงเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ในการพิจารณายกเลิกสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการสมควรพิจารณาถึงผลประโยชน์และความเสียหายของรัฐ โดยพิจารณาสัญญาแต่ละฉบับเป็นรายฉบับว่าสัญญาฉบับใดดำเนินการถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
34392 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด และการสนับสนุนการดำเนินงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) และการสนับสนุนการดำเนินงาน ก.ธ.จ. ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้กำหนดกรอบแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๓๐ โดยเน้นให้ ก.ธ.จ. สอดส่องในเรื่องการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการตามเจตนารมณ์ที่ปรากฏในเหตุผลท้ายพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่กำหนดให้ ก.ธ.จ. ทำหน้าที่สอดส่องการปฏิบัติงานเพื่อให้การบริหารงานแบบบูรณาการของจังหวัดเป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบ ซึ่งนอกเหนือจากกรอบแนวทางดังกล่าว ก.ธ.จ. ยังสามารถรับเรื่องอื่น ๆ จากประชาชน หรือเรื่องที่ ก.ธ.จ. สอดส่องพบว่า หน่วยงานของรัฐ/เจ้าหน้าที่ของรัฐมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งก็จะดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๘ ต่อไป ๒. การดำเนินงานของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักบริหารงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ส.ก.ธ.จ.) ในฐานะหน่วยงานภายในสำนักตรวจราชการที่รับผิดชอบในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ได้ดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้แก่ จัดทำกรอบแนวทางในการสอดส่องงาน/โครงการของ ก.ธ.จ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ดำเนินการสรรหา ก.ธ.จ. กรณีมี ก.ธ.จ. พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จัดทำแผนการดำเนินการและจัดกิจกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของ ก.ธ.จ. จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของ ก.ธ.จ. และการบริหารงบประมาณ และจัดทำโครงการอบรม/สัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับ ก.ธ.จ. เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้วางแผนที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ปาฐกถาและบรรยายพิเศษไว้ในการสัมมนานโยบายเสริมสร้างธรรมาภิบาลของรัฐบาลเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ เช่น การสอดส่อง เสนอแนะ ของ ก.ธ.จ. จะให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบริหารงานที่ต้องคำนึงถึงหลักการในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มีความโปร่งใส และมีการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติราชการ และการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่าง ก.ธ.จ. ด้วยกันเอง และเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายการสอดส่องการดำเนินการของหน่วยงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
34393 | รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีโดยคณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (รายงานครั้งที่ 5) | นร | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีโดย ปคค. (รายงานครั้งที่ ๕) โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปคค. ได้มีการประชุมทั้งสิ้น ๒๖ ครั้ง (๒๖ มกราคม - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเรื่องที่ ปคค. ติดตามในที่ประชุม จำนวน ๑๐๘ เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๖๔ เรื่อง ด้านสังคม จำนวน ๒๕ เรื่อง และด้านการบริหารและอื่น ๆ จำนวน ๑๙ เรื่อง โดยมีเรื่องสำคัญที่สมควรรายงานความคืบหน้าในการดำเนินของของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว จำนวน ๑๕ เรื่อง และเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๑ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||
34394 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษ สายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2553 | คค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอมติที่ประชุมคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถีในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
34395 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย | นร | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการช่วยเหลือค่าประกอบอาชีพของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนเฉพาะบุคคลที่มีการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์แล้ว จำนวน ๒,๔๖๔ คน โดยให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๕๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่จะตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีรายชื่อเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือค่าประกอบอาชีพของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จำนวน ๖,๗๒๙ คน มอบหมายให้ กอ.รมน. เร่งรัดตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีรายชื่อดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34396 | ร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... | วช | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ มีกฎหมายว่าด้วยสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) และให้ ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวง สาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับ การกำหนดให้มีสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีสถานะเป็นนิติบุคคล ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ได้มีมติเห็นชอบในหลัก การว่าไม่ควรมีข้อกำหนดในรายละเอียดให้มีการจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ หรือกำหนดตำแหน่งไว้เป็นการตาย ตัวในกฎหมาย เพราะจะเป็นการใช้กฎหมายบังคับเพื่อให้มีการจัดตั้งส่วนราชการเพิ่ม หรือขยายจำนวนอัตรา ตำแหน่งต่าง ๆ และในการขอจัดตั้งส่วนราชการเพิ่มใหม่ยังขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานออกไปอีกระยะ หนึ่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จึงเห็นควรชะลอการพิจารณาการจัดตั้งส่วน ราชการดังกล่าวไว้ก่อนนอกจากนี้ การจัดตั้งสถาบันฯ ตามร่างมาตรา ๒๑ มิได้กำหนดให้สถาบันฯ เป็นหน่วย รับงบประมาณภายใต้กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดร่างมาตรา ๘๕ ว่า ด้วยการโอนบรรดากิจการทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ฯลฯ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ไปเป็นของสถาบันฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่อง นี้ ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีผลให้หลักการของร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ไว้แล้วเปลี่ยนแปลงไปก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการดำเนิน การจัดตั้งสถาบันฯ จะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ประกอบกับรายได้จากการดำเนินการของหน่วย งานนี้ไม่ต้องนำส่งเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดิน ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการวางระบบกลไกในการประเมิน ผลและติดตามการดำเนินการของสถาบันฯ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ รวมทั้งควรมี การกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อสะท้อนถึงประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการจัดตั้ง หน่วยงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
34397 | การขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบอันเป็นการลดต้นทุนการจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินตามแผนการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ และเพื่อช่วยลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติหลักการ ๒.๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ๒.๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือของเจ้าหนี้อื่นที่เจรจาและตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงินออกไปอีก สำหรับส่วนของหนี้ที่ได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒.๒ เห็นชอบในหลักการ ๒.๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๒.๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
|
|||||||||||||||||||||
34398 | การดำเนินงานสนับสนุนการจัดตั้งคณะทำงานการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด | มท | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรองประธานกรรมการและรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน คนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน [รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)] รายงานผลการประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. ให้มีการจัดตั้งทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับจังหวัด ๒๕ จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุตรดิตถ์ สระบุรี ราชบุรี ชลบุรี อุดรธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครศรีธรรมราช และตรัง และขยายผลในจังหวัดที่มีสถิติอุบัติเหตุสูงในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก ๑๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก สุพรรณบุรี ลำพูน ขอนแก่น ลพบุรี เพชรบูณ์ จันทบุรี นครปฐม นครสวรรค์ ลำปาง นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ๒. ให้ส่วนราชการหลักที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการสืบสวนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมีหนังสือสั่งการเพื่อให้หน่วยงานในระดับพื้นที่ทั้ง ๒๕ จังหวัด ให้การสนับสนุนการทำงาน และให้ ๒๕ จังหวัด มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานการสืบสวนอุบัติเหตุระดับจังหวัด ๓. ขอรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการจากงบกลางสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และจัดทำคำขอจากงบประมาณปกติสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ สสส. และ กปถ. ให้การสนับสนุนการทำงานด้านการสืบสวนอุบัติเหตุตามความจำเป็นอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดอัตราการเสียชีวิตในจังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงต่อไป ๔. ให้มีการทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนางานด้านการสืบสวนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุระหว่างศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สสส. กปถ. และมหาวิทยาลัยที่ดำเนินงานด้านการสืบสวนอุบัติเหตุ ซึ่งได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๕. ให้เพิ่มผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมเป็นคณะทำงานการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งรายชื่อผู้แทนเพื่อให้ฝ่ายเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจัดทำคำสั่งแต่งตั้งเพิ่มเติมต่อไป ๖. เห็นชอบในหลักการให้มีการทำแผนที่นำทางของการพัฒนางานด้านการสืบสวนอุบัติเหตุใน ๑๐ ปีข้างหน้าเพื่อให้สอดคล้องกับทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน
|
|||||||||||||||||||||
34399 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2553 | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๗๑๘ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๑,๓๓๔ โครงการ วงเงิน ๑๕,๓๕๒.๖๐ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๓๔๘ โครงการ วงเงิน ๓๓๔,๖๐๗.๘๔ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๘๘๓ โครงการ วงเงิน ๑๘,๒๒๒.๙๑ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๙๗ โครงการ วงเงิน ๘,๔๖๖.๔๑ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๕๘๖ โครงการ วงเงิน ๙,๗๕๖.๕๐ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๘,๕๐๑ โครงการ วงเงิน ๓๑๖,๓๘๔.๙๓ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๘,๕๐๑ โครงการ วงเงิน ๓๐๗,๖๘๗.๘๒ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๒,๒๖๕ โครงการ วงเงิน ๕๓,๗๐๗.๗๐ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๑,๗๖๗ โครงการ วงเงิน ๒๑๑,๘๘๑.๐๒ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๔,๔๖๙ โครงการ วงเงิน ๔๒,๐๙๙.๐๑ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๖,๒๓๖ โครงการ วงเงิน ๒๕๓,๙๘๐.๑๒ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
34400 | รายงานผลการเดินทางเยือนเอเชียใต้ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) (ระหว่างวันที่ 19 - 23 ธันวาคม 2553) | พณ | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการเดินทางเยือนประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลักดันการเจรจา BIMSTEC FTA สรุปผลการเยือนได้ ดังนี้
๑. การเยือนบังกลาเทศ มีข้อหารือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างไทยกับบังกลาเทศเป็น ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ปัญหาอุปสรรคการค้าในการส่งออกไปบังกลาเทศ การรื้อฟื้นการประชุม JTC ที่ว่างเว้นมานาน ๒๑ ปี การผลักดันการจัดทำ BIMSTEC FTA เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกภายในภูมิภาค การร่วมลงทุนและร่วมโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม โดยเฉพาะโครงการทางหลวงระยะทาง ๓๐๐ กิโลเมตรจากธากาถึงจิตตะกอง การร่วมมือกันพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยงเอเชียใต้และอาเซียนเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบคมนาคมทางถนนระหว่างอินเดีย-บังกลาเทศ-พม่า และไทย เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าให้มีความคล่องตัวและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ทางบกระหว่างอินเดีย-บังกลาเทศ-พม่า-ไทย และทางน้ำในอ่าวเบงกอล ๒. การเยือนอินเดีย มีข้อหารือเกี่ยวกับการร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาสาขาก่อสร้างในอินเดีย เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองธุรกิจในรัฐต่าง ๆ การอำนวยความสะดวกการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจไทยในสาขาก่อสร้าง การพัฒนาความร่วมมือด้านระบบโลจิสติกส์การค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ การกำหนดการประชุม BIMSTEC Business Forum และ BIMSTEC Economic Forum ที่ไทยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมทางบก ไทย-พม่า-อินเดีย ผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย รวมทั้งความร่วมมือเพื่อให้ภาคเอกชนไทยในสาขาก่อสร้างซึ่งมีศักยภาพสูงได้เข้าไปรับเหมางานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียซึ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษ ๓. การเยือนศรีลังกา มีข้อหารือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการค้าของไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้มากกว่า ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การเร่งผลักดันการเจรจาจัดทำ BIMSTEC FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การเสนอให้มีการจัดการประชุม Sub-Committee on Trade Related Matters ครั้งที่ ๒ ที่ได้ว่างเว้นมาเป็นเวลา ๖ ปี การร่วมกันผลักดันความร่วมมือเชื่อมโยงโลจิสติกส์รอบอ่าวเบงกอล เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในภูมิภาคให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเชิญศรีลังกาเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC Business Forum และ BIMSTEC Economic Forum ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และการหารือกับภาคเอกชนศรีลังกาเรื่องความร่วมมือระหว่างกันในสาขาใหม่ ๆ เช่น การก่อสร้าง อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง เป็นต้น
|
.....