ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1726 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34501 - 34520 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34501 | การมอบหมายให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่และการบังคับบัญชา (จำนวน 7 ราย 1. นายศักดา หาญบุญตรง ฯลฯ) | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการมอบหมายให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๗ ราย ที่อยู่ในบังคับบัญชาของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ปฏิบัติหน้าที่และมอบอำนาจการบังคับบัญชา ดังนี้
๑. นายศักดา หาญบุญตรง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๒. นายจิตติชัย แสงทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๓. นายอภิชัย เตชะอุบล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๔. นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๕. รศ.ประกอบ จิรกิติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๖. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ๗. นายไพโรจน์ ศรศิลป์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)
|
||||||||||||||||||
34502 | การบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันและการจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และ การจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญด้านต่าง ๆ ที่ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประเมินผลและศึกษาไว้แล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการดำเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธ ศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนภาคใต้ ยุทธศาสตร์การป้องกันและ บรรเทาอุบัติภัยทางถนน ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพน้ำ) ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพอากาศและ หมอกควัน) ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ยุทธศาสตร์พลังงานผสม ยุทธศาสตร์เอดส์ และยุทธศาสตร์การปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศ (ตามรายงานผลการวิจัย เรื่อง Doing Business ของ ธนาคารโลก) โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในยุทธศาสตร์ต่าง ๆ นำยุทธศาสตร์ไปดำเนินการให้เกิดผลร่วมกัน มีการกำหนดตัวชี้วัดและประเมินผลสำเร็จร่วมกัน ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญอื่น ๆ ที่มีผลกระทบสูงที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ อีกจำนวน ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการการท่องเที่ยวและบริการ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ยุทธศาสตร์การกระจาย อำนาจ ยุทธศาสตร์การบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในประชาคมอาเซียน และ ยุทธศาสตร์เยาวชนไทย โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์ กำหนดเป้าหมายความ สำเร็จและตัวชี้วัดร่วมกัน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์สำคัญต่าง ๆ ประชุมร่วม กับคณะกรรมการเจรจาข้อตกลงและประเมินผลเพื่อบูรณาการระหว่างกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงนำร่องที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธาน ก.พ.ร. เพื่อบูรณาการ การทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และกำหนดตัวชี้วัดในระดับกระทรวง ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ในภาพรวมที่เห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพหลักในการหารือรายละเอียดยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด ร่วม รวมทั้งกำหนดแนวทาง/มาตรการ และเกณฑ์การประเมินผลของตัวชี้วัดร่วม เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กับยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแนวทางดังกล่าว และเห็น ควรมีหน่วยงานหรือกลไกหลัก เช่น คณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่กำกับ ดูแล และประเมินผลในภาพรวมของ ตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้การบูรณาการการทำงานของส่วนราชการต่าง ๆ สามารถ ดำเนินการไปได้ในทิศทางที่สอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์กับเป้าหมายในภาพรวมอย่างแท้จริง ไป พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
34503 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ เกี่ยวกับการ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน) โดยสรุป คือ ให้จำกัดประเภทของข้อพิพาทที่ควร หรือไม่ควรใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท เช่น ข้อพิพาท ทางปกครอง ขนาดของโครงการ แหล่งเงินของโครงการ เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความในทางปฏิบัติ ตามมาได้ และเปิดกว้างให้สัญญาระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้วิธีอนุญาโตตุลาการได้ แต่หากสัญญาทาง ปกครองหรือสัญญาสัมปทานใดที่รัฐเห็นว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงของประเทศแล้ว อาจพิจารณาสงวนสิทธิ์ในการไม่ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญา โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นกรณีไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างขีดความ สามารถของบุคลากรด้านกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสัญญาที่มี ประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให้กระทรวง ยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุ ญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ที่ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการทำสัญญา การบริหาร สัญญาและการตั้งอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทของสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ให้แล้ว เสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
34504 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 9/2553) | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ตามผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อทภ.) โดยให้ อทภ. รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการทุจริตในการช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เช่น การสวมสิทธิ์ และการจ่ายเงินชดเชยด้านการเกษตร เป็นต้น โดยให้ อทภ. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดขั้นตอนแนวทางการรับรอง ตรวจสอบ และการรับรองความเสียหาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจน และจัดทำประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เร่งรัดให้จังหวัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านที่พักอาศัยและเครื่องมือประกอบอาชีพตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ กรณีบ้านเสียหายทั้งหลังชดเชยให้หลังละ ๓๐,๐๐๐ บาท กรณีบ้านเสียหายบางส่วนชดเชยหลังละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และกรณีเครื่องมือประกอบอาชีพเสียหายชดเชยให้ครอบครัวละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ๓. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยใน ๑๖ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ตาก นครนายก นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ มหาสารคาม สระแก้ว สิงห์บุรี สุรินทร์ หนองบังลำภู และอุทัยธานี ซึ่งขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือกรอบจำนวนครัวเรือนของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี รวมจำนวนทั้งสิ้น ๔๖,๔๙๔ ครัวเรือน โดยให้ ปภ. ประสานกับธนาคารออมสินดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สำหรับกรณีมีผู้ประสบภัยได้ร้องขอสิทธิเพิ่มเติมเนื่องจากตกสำรวจ ให้หน่วยงานในพื้นที่ส่งเรื่องให้ ปภ. ภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ส่วนกรณีประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่ประสบอุทกภัย แม้ที่พักอาศัยจะไม่ถูกน้ำท่วมเนื่องจากอยู่ในที่สูง แต่ได้รับผลกระทบไม่สามารถเดินทางไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานในพื้นที่ใช้ดุลพินิจพิจารณาเบื้องต้นว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือไม่ อย่างไร สมควรได้รับการช่วยเหลือเพราะเหตุใด ๔. เห็นชอบแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย ของคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย คณะที่ ๑ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ พื้นที่ภาคใต้ และคณะที่ ๓ พื้นที่ภาคกลาง โดยให้คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง ๓ คณะ รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. ที่เห็นว่าการดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูควรดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกจังหวัดภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยการช่วยเหลือจะต้องดำเนินการให้ตรงจุดที่เกิดความเสียหาย และครบถ้วนทุกมิติ จุดใดที่ได้รับความเสียหายมาก งบประมาณในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะดำเนินการ ให้จังหวัดเสนอเรื่องต่อ คชอ. เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป ๕. เห็นชอบการปรับเวลาการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เป็น วันปฏิบัติราชการ ระหว่างเวลา ๐๗.๓๐-๒๐.๐๐ น. แต่สามารถติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๖. ให้กรมชลประทานและ ปภ. เข้าไปดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี กรณีแพและเครื่องสูบน้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากกรณีน้ำในแม่น้ำมูลล้นตลิ่งไม่สามารถเปิดใช้งานได้
|
||||||||||||||||||
34505 | รายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนิน งานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ กรณีผลการดำเนินการตรวจสอบข้อ มูลร้อยละ ๑๐๐ ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่มีผลการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร มีความแตกต่างกัน เกินกว่าร้อยละ ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ดังนี้ ผลการแปลข้อมูลพื้นที่การ ปลูกข้าวปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ จากภาพถ่ายดาวเทียมทั้งประเทศ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๔,๘๖๒,๐๓๐ ไร่ มาเปรียบ เทียบกับพื้นที่การขึ้นทะเบียน ผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว โดยข้อมูล ณ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๖,๕๘๖,๙๗๖ ไร่ พบว่ามีความแตกต่างกันจำนวน ๑,๗๒๔,๙๔๖ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๓๙ ของ ผลการขึ้นทะเบียนผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว ๒. เพื่อประโยชน์ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยการนำข้อมูลภาพ ถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการสอบทานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในครั้งต่อไป มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการฯ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการและนำสาเหตุที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนมาพิจารณาในการประเมินผล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
34506 | แต่งตั้งข้าราชการ (นายสมชาย หาญหิรัญ) | อก | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมชาย หาญหิรัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||
34507 | ขออนุมัติการจัดหาแหล่งเงินสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงาน โยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๗๓๒ ล้านบาท และที่ ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๑,๒๒๑ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๑,๙๕๓ ล้านบาท และรัฐบาลรับภาระ การลงทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยให้สำนักงบประมาณ พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้ทั้งใน ส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลง กับ รฟม. ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำ เงินส่วนต่อขยายทั้ง ๒ เส้นทางในส่วนที่เหลือ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายละเอียดเสนอสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้ รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ การจัดทำแผนธุรกิจในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้า ของโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Gross Cost ต้องมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รูปแบบ การพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผน ธุรกิจดังกล่าว เพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของ ภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
34508 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2553 | กค | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๓๔๑ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๑,๓๙๓ โครงการ วงเงิน ๑๙, ๔๒๙.๗๒ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๐,๙๔๘ โครงการ วงเงิน ๓๓๐,๕๓๐.๗๒ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๓,๒๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๒๙๓.๐๖ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๖๕๘ โครงการ วงเงิน ๙,๔๘๐.๕๕ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๕๗๗ โครงการ วงเงิน ๗,๘๑๒.๕๑ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๗,๗๑๓ โครงการ วงเงิน ๓๑๓,๖๒๕.๘๕ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๗,๗๑๓ โครงการ วงเงิน ๓๐๔,๖๒๕.๘๕ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๘๘๗ โครงการ วงเงิน ๕๖,๘๘๙.๔๘ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๑,๖๒๔ โครงการ วงเงิน ๒๐๖,๒๐๖.๗๕ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๔,๒๐๒ โครงการ วงเงิน ๔๑,๕๒๙.๖๒ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๕,๘๒๖ โครงการ วงเงิน ๒๔๗,๗๓๖.๓๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
34509 | แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2553/54 รอบที่ 1 | กษ | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการผ่อนผันหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ทพศ.๑) ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ ให้แก่เกษตรกรที่ประสบภัยธรรมชาติ ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. ให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว (ทพศ.๑) ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ และอยู่ระหว่างรอการทำประชาคมแต่ประสบภัยธรรมชาติ ให้คณะกรรมการตรวจสอบระดับตำบลตรวจสอบพื้นที่ปลูกของเกษตรกร หากพบเศษซากต้นข้าวในแปลงให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว (ทพศ.๑) ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ ตามขั้นตอนปกติ ๒. ให้ขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมจังหวัดชุมพร ในส่วนของการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การทำประชาคม และการออกหนังสือรับรองให้เกษตรกร เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ และในส่วนการทำสัญญา เป็นสิ้นสุดวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||
34510 | รายงานผลการกำหนดหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีความชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรวดเร็ว และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแนวทาง นโยบาย และมาตรการการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (กภช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๓ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนและประสานงานในบริบทของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยกำหนดให้เป็นการบริหารแบบบูรณาการภายใต้การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและบริหารอย่างประหยัดโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเตือน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในอันที่จะรักษาความปลอดภัยและปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ
|
||||||||||||||||||
34511 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) กับ ธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุดเพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความ จำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๔) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รั บความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารการเงิน โดยเฉพาะการจัดเก็บค่าไฟฟ้าให้มีระยะเวลาที่สอด คล้องกับภาระหนี้ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องชำระ และเร่งจัดเก็บเงินค่าไฟฟ้าที่ลูกหนี้ค้างชำระให้ได้โดยเร็ว สำหรับค่าไฟฟ้าค้างชำระของส่วนราชการ ให้ส่วนราชการเร่งชำระให้ กฟภ. โดยเร็วต่อไป ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
||||||||||||||||||
34512 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (จำนวน 12 ราย 1. นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ ฯลฯ) | พณ | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ นายศักดา ธนิตกุล กระทรวงการคลัง ได้แก่ นายสมชัย อภิวัฒนพร นายสาธิต รังคสิริ นายกฤษฎา อุทยานิน ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นายอนุรุทธิ์ โค้วคาสัย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ นายไพรัช บูรพชัยศรี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล นายสมมาต ขุนเศษฐ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา
|
||||||||||||||||||
34513 | การแข็งค่าของเงินบาท | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท ดังนี้ ๑.๑ รายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศ จำนวน ๖๑,๑๐๖.๒๗ ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับ ประโยชน์สุทธิจากการแข็งค่าของเงินบาท จำนวน ๕,๘๓๔.๑๐ ล้านบาท ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๖๒.๘๐ หรือ จำนวน ๓๘,๓๗๓.๐๒ ล้านบาท เป็นรายจ่ายเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์/ครุภัณฑ์ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ (Import Content) โดยเฉพาะรายการค่าใช้จ่ายในการจัดหายุทโธปกรณ์ ดังนั้นจึงเห็นควรกำหนดแนวทางให้หน่วยงานภาค รัฐที่มีรายการค่าใช้จ่ายจากเงินตราต่างประเทศและได้รับประโยชน์ในกรณีดังกล่าว เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อนำ เงินที่ประหยัดได้ไปดำเนินภารกิจที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงาน โดยเฉพาะ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยอื่น ๆ เป็นลำดับแรก ๑.๒. สำหรับรายจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวน ๑๔,๓๘๐.๕๘ ล้านบาท เช่น นัก เรียนทุนรัฐบาล ค่าใช้จ่ายงบดำเนินงานในต่างประเทศ ค่าบำรุงสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งเงินตราต่าง ประเทศดังกล่าว จะต้องนำไปใช้ในช่วงเวลาที่หน่วยงานภาครัฐดำเนินการจริง ดังนั้น กรณีที่หน่วยงานได้ประโยชน์ จากอัตราแลกเปลี่ยน ก็เห็นควรให้ดำเนินการตามแนวทางเดียวกันกับข้อ ๑ ๒. ทั้งนี้ หากหน่วยงานภาครัฐใดได้ตรวจสอบแล้วพบว่าได้รับประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกรณีข้าง ต้น ก็ได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเช่นกันด้วย
|
||||||||||||||||||
34514 | โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย | กค | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ อนุมัติ และเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการในการจัดตั้งบริษัทในเครือของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เพื่อดำเนิน โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย โดยมีหลักการสำคัญในการจัดตั้งบริษัท ดังนี้ ๑.๑.๑ รูปแบบโครงการ ในเบื้องต้นให้ ปณท จัดตั้งบริษัทในเครือโดยถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ และถือ ปฏิบัติตามแนวทางการจัดตั้งบริษัทในเครือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ รวมถึงการดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งบริษัท ตลอดจนการดำเนินธุรกิจในการให้สินเชื่อส่วน บุคคล ๑.๑.๒ รูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นการให้สินเชื่อตามประเภทกลุ่มเป้าหมายโดยวงเงินกู้และอัตราดอก เบี้ยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณารูปแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งควรมีความหลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สำหรับ การชำระคืนเงินกู้ อาจพิจารณาให้ชำระเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ส่วนหลักประกันในการกู้เงินอาจจะ มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ หรือประเภทของผลิตภัณฑ์ ๑.๑.๓ เขตพื้นที่การให้บริการในเบื้องต้นจะดำเนินการในลักษณะนำร่องให้ทั่วทุกภาคของประเทศ ไทยประมาณ ๑๐ สาขา (กรุงเทพฯ ภาคเหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยให้ บริษัทในเครือของ ปณท มีสิทธิในการใช้สถานที่และเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ของ ปณท ได้ ๑.๑.๔ งบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย ทุนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ๕๐ ล้านบาท ของ ปณท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาจัดหาเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินโครงการฯ ตามความเหมาะสม ๑.๒ อนุมัติร่างบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมและบริหารงานบริษัทในครือของ ปณท ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการไปรษณีย์ เพื่อสินเชื่อรายย่อย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับ ปณท รับไปดำเนินการในการ จัดตั้งบริษัทในเครือและดำเนินการจัดทำรายละเอียดแผนธุรกิจโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ปณท ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนัก งานอัยการสูงสุด และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรจัดทำแผนธุรกิจที่สอดรับกับแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรัด กุมก่อนขยายผลเมื่อมีพันธมิตรร่วมลงทุน และควรประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่นำร่องอย่างใกล้ชิด หาก ประสบปัญหาในทางปฏิบัติทั้งในส่วนของการอนุมัติสินเชื่อและการติดตามหนี้ หรือแนวโน้มที่จะเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ และปรับรูปแบบการดำเนินโครงการโดยเร็ว โดยอาจพิจารณาทางเลือกในการให้ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัท เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในบริษัทในเครือของ ปณท เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินในภาพรวมของ ปณท ต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งบริษัทในเครือตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นกรณีที่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของ ปณท ที่ได้จดทะเบียนไว้ |
||||||||||||||||||
34515 | การขออนุมัติจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และขออนุมัติเงินทุนจดทะเบียนในการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Airport Rail Link) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามพระราช บัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๘) เพื่อให้บริการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ในส่วนของเงินทุนสำหรับการชำระค่าหุ้นก่อนการยื่นจัดตั้งบริษัทดังกล่าว ให้ดำเนินการตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่กันไว้เบิก เหลื่อมปี ในรายการเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทเดินรถ จำนวน ๑๔๐ ล้านบาท ไปใช้จ่ายเป็น ทุนจดทะเบียนตั้งบริษัทในเบื้องต้นก่อน ๓. ให้ ร.ฟ.ท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้พิจารณาทบทวนผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องข้าง ต้นโดยเร่งด่วนเพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยว กับการนำวิธีการแปลงหนี้สินเป็นทุนมาใช้และการนำส่วนที่รัฐรับภาระบันทึกเป็นทุนของหน่วยงานเสมือนเป็น การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แทนการสนับสนุนทุนจดทะเบียน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เพิ่มทุนสำหรับการชำระค่าหุ้นก่อนการยื่นจัดตั้ง บริษัทฯ เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินให้แก่บริษัทฯ ไปพิจารณาดำเนินการ ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
34516 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2552/2553 | อก | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่าย
น้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี ๒๕๕๒/๒๕๕๓ ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการ ประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายเป็นรายเขต ใน อัตราตันอ้อยละ ๙๙๙.๗๑ บาท ณ ระดับค่าความหวาน ๑๐ ซี.ซี.เอส กำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่า กับ ๕๙.๙๘ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตฯ ขั้นสุดท้าย เท่ากับ ๔๒๘.๔๕ บาทต่อตัน อ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ |
||||||||||||||||||
34517 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบล ขอให้พิจารณาเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนของบุคลากรกลุ่มอื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย เนื่องจากมีการยึดโยงกันเป็นระบบ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดและเปรียบเทียบค่าตอบแทนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และบุคลากรส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
|
||||||||||||||||||
34518 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2553/2554 | อก | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล
ทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้ง ๑๒/ ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ในอัตราตัน อ้อยละ ๙๔๕.๐๐ บาท ณ ระดับค่าความหวาน ๑๐ ซี.ซี.เอส. โดยกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๖.๗๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ เท่ากับ ๔๐๕.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ |
||||||||||||||||||
34519 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ย ผ่อนปรน เพื่อนำมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในอัตราตันอ้อยละ ๑๐๕.๐๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุก ตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ จากประมาณการผลผลิตอ้อยเบื้องต้น ที่ ๖๖ ล้านตัน รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ ๖,๙๓๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตาม ปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑ ที่เห็น ชอบให้ปรับขึ้นราคาขายน้ำตาลทรายอีกกิโลกรัมละ ๕.๐๐ บาท เพื่อเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย สำหรับนำไปชำระหนี้ให้แก่ชาวไร่อ้อย โดยให้กองทุนฯ สามารถนำเงินรายได้จากส่วนที่ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย ไปใช้ในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ด้วย ๓. อนุมัติแนวทางการจัดการภาระหนี้ของกองทุนฯ ซึ่งมีอยู่เดิม ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๔.๐๖๒ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) รวมกับที่จะขอกู้เพิ่มจากการประมาณการเบื้องต้นอีกจำนวน ๖,๙๓๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) รวมเป็นเงินประมาณ ๑๐,๙๙๒ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) โดยให้กองทุนฯ ดำเนินการปรับ โครงสร้างหนี้กับ ธ.ก.ส. ให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินของกองทุนฯ |
||||||||||||||||||
34520 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) | กษ | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินงานในการแก้ ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด ออกไปอีก ๑ ปี โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่า การดำเนินการกู้เงิน อ.ค.ส. จะต้องดำเนินการแจ้งสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้ สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามนัยมาตรา ๓๕ (๒) และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ อ.ค.ส. เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในธุรกิจนม โรงเรียนเมื่อเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ อ.ค.ส. ได้รับสิทธิพิเศษในการจัดหานมโรงเรียนสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการตลาด เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันควบคู่กับความสามารถในการเป็นกลไกสนับสนุนการ พัฒนาคุณภาพชีวิตและรายได้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....