ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1730 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34581 - 34600 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34581 | การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย และขอความเห็นชอบในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว เป็นเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓ ๑.๒ ให้ อจน. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ๑.๓ ให้ อจน. เข้าดำเนินการลงทุนตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓๐(๑) เพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจการต่อเนื่องที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย ๑.๔ การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน ให้ อจน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้ อจน. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ อจน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามเงื่อนไขของการบริหารจัดการ ๓. ให้ อจน. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียได้ในระยะยาวต่อไป รวมทั้งการเจรจาทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34582 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 7) | วท | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๗ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. ไปแล้ว ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑, ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓) รวม ๑๓ ห้องเรียน คือ ชั้น ม.๔ ม.๕ และ ม. ๖ ใน ๕ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โรงเรียนดรุณสิกขาลัย โรงเรียน มอ. วิทยานุสรณ์ และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มีเฉพาะชั้น ม.๔ รุ่นที่ ๓) ๒. จัดตั้งคณะกรรมการ ๒ ส่วน ได้แก่ คณะกรรมการบริหารโครงการ วมว. เป็นคณะกรรมการในระดับนโยบาย ทำหน้าที่วางนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานจัดทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ และคณะกรรมการ/คณะทำงานของมหาวิทยาลัย-โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นคณะกรรมการในระดับปฏิบัติการในการบริหาร/กำกับดูแลการจัดทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ๓. ผลการดำเนินงานโดยสรุป ดังนี้ พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๑, ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ของทั้ง ๕ โรงเรียน จัดทำมาตรฐานหลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. จัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. จัดสัมมนา “การบริหารโครงการ วมว.” ดำเนินงานสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนโครงการ วมว. เข้าสู่มาตรฐานระดับนานาชาติ (World Class) และประสานขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีคณะวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ในที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยให้มีการรับนักเรียนโครงการ วมว. เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาโดยวิธีรับตรง
|
||||||||||||||||||||||||
34583 | กิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์และศึกษาดูงานเกี่ยวกับสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islamic Micro Credit) ประเทศอินโดนีเซีย | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์และศึกษาดูงานเกี่ยว
กับสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islamic Micro Credit) ขององค์กรมูฮัมมาดียาห์ ณ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ศูนย์อำนวยการ บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่า ใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี หรือแนว ทางปฏิบัติของทางราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดจำนวนผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศเท่าที่ จำเป็นต่อภารกิจครั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณรายจ่าย ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
34584 | งบประมาณในการดำเนินงานโครงการปฏิรูป พ.ศ. 2554 - 2556 | สช | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินงานโครงการปฏิรูป พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการสุข ภาพแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สังคมเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูประบบและโครงสร้างที่จะนำไปสู่การ สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย และให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้กระบวนการสมัชชาซึ่งเป็น การระดมความคิดเห็นและสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเป็นกลไกการดำเนินงาน ควรคำนึงถึงความเชื่อม โยงและการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นที่มีการดำเนินงานสอดคล้องกัน เพื่อให้การดำเนินงานไม่ เกิดความซ้ำซ้อนและมีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า ไปพิจารณาด้วย ๒. อนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรอง จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๘๗,๔๗๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ ปฏิรูปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทำความตกลงในรายละเอียด การใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็น เหมาะสม และประหยัดก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การใช้จ่าย เงินของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ตามความ เห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
34585 | โครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ | มท | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยให้การไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (กฟภ. ) ดำเนินการโครงการฯ สำหรับครัวเรือนที่มีค่าใช้จ่ายในการปักเสาพาดสายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน ซึ่งมีจำนวน ๙๑,๕๒๗ ครัวเรือน ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. (๗๓ จังหวัด) ทั่วประเทศ ระยะ เวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๔๕ ล้านบาท (โดยมีที่มาจากเงินกู้ในประเทศ ๑,๕๓๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. ๕๑๕ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวง มหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรม การกำกับกิจการพลังงาน และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนเพื่อให้ประชาชนสามารถ บำรุงรักษาอุปกรณ์ด้วยตนเองและช่วยเหลืออายุการใช้งานของอุปกรณ์ดังกล่าว และดำเนินการประเมินผลการ ดำเนินงานโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ เพิ่มเติม และโครงการเร่งรัดขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ภายหลังจากดำเนินโครงการแล้ว เสร็จ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการดำเนินโครงการลงทุนขยายเขตระบบไฟฟ้าให้กับครัวเรือนในชนบทใน อนาคต นอกจากนี้ เห็นควรไม่ต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ตาม มาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องจากโครงการฯ จะดำเนินการ ขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าไปตามแนวเขตถนนของกรมทางหลวงชนบทที่มีอยู่เดิม และจะไม่ดำเนินการในเขต พื้นที่หวงห้าม พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือเขตพื้นที่ป่าอื่น ๆ และโดยที่ กฟภ. มีโครงการจำนวนมาก ที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กฟภ. จึงควรวางแผนทางการเงินให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อไม่ก่อให้ เกิดภาระงบประมาณ ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมและกระทรวงพลังงานเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีต้น ทุนขยายเขตด้วยวิธีการปักเสาพาดสายเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จำนวน ๓๙,๐๒๙ ครัวเรือน ต่อไป ด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปตรวจสอบและประเมินผลการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เหมาะ สมในแต่ละพื้นที่ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34586 | กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย | กษ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอาหารแห่งชาติ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้กรอบ ยุทธศาสตร์การจัดการอาหารของประเทศไทยนี้ เป็นแนวทางในการจัดทำคำของบประมาณประจำปีได้ทันตั้งแต่ปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบยุทธศาสตร์ การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยผนวกเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และให้หน่วย งานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการอาหารแห่ง ชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนัก งบประมาณ เกี่ยวกับการสนับสนุนการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งในการผลิต และการนำผลผลิตทางการเกษตร ไปแปรรูปและต่อยอดการสร้างรายได้ให้ชุมชน การเพิ่มแนวทางดำเนินงาน โดยยกระดับความสามารถของหน่วย งานที่ทำการจัดเก็บรวบรวมและอนุรักษ์ทรัพยากรเชื้อพันธุกรรมพืชและสัตว์ ทั้งที่ได้จากธรรมชาติและจากผลการ วิจัยใหม่ ๆ การเพิ่มกลยุทธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของภาชนะและวัสดุสัมผัสอาหาร การให้ความสำคัญกับการ วางแผนและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชา สังคมเพื่อให้มีอาหารที่ปลอดภัยเพียงพอต่อประชาชนทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ การจัดทำระบบฐานข้อมูล และบัญชีทรัพยากรด้านอาหารที่มีความทันสมัย สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยว ข้องรวมทั้งเร่งรัดให้มีคลังข้อมูลด้านสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดทำแผนปฏิบัติการ ที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและจัดทำตัวชี้วัดความสำเร็จทั้งในเชิง ภาพรวมของกรอบยุทธศาสตร์และผลการดำเนินงานของหน่วยงานหลักและหน่วยงานตามเป้าหมายและแนวทาง การดำเนินงานที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34587 | การยกเลิกการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน | กต | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเลิกการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ที่ ๑๙๔๐ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน และให้แจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน การตามมาตรการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน ตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงฯ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวง คมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความ มั่นคงแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอก เงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
34588 | การขออนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพกู้เงินชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชน | คค | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตร การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๖๐๔.๙๙๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และ ค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงินต้น ดอก เบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน เพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของ ประชาชนของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ วงเงิน ๑,๒๕๙.๓๖๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตรวจสอบวงเงินชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครอง ชีพของประชาชนในระยะที่ ๓ และระยะที่ ๕ ให้ตรงตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและกู้เงินชดเชยให้กับ ขสมก. ต่อไป เพื่อมิให้เป็นภาระทางการเงินแก่องค์กร รวมทั้งช่วยให้ ขสมก. สามารถบริหารความเสี่ยงในการจัดการสภาพคล่อง ทางการเงินขององค์กรได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ภาระหนี้ของ ขสมก. ที่ดำเนินการกู้ เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพตามมติคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินทั้ง สิ้น ๖,๐๙๘.๙๐๖๕ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑- ๒๕๕๔ แล้ว จำนวน ๒,๗๘๕,๕๙๑ ล้านบาท สำหรับส่วนที่เหลือจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อ ชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายใด ๆ อันเกิดจากการกู้เงินให้ ขสมก. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
34589 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรสำหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ ระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน ในท้องที่ 45 จังหวัด | มท | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรสำหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ ระหว่างวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึงปัจจุบัน ในท้องที่ ๔๕ จังหวัด มีสาระสำคัญคือ ให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร ขอมีบัตรใหม่ หรือขอเปลี่ยนบัตรแก่ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ใน ทะเบียนบ้าน ในท้องที่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัย) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึงปัจจุบัน รวม ๔๕ จังหวัด จากภายในกำหนดหกสิบวัน เป็นภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตร ใหม่หรือเปลี่ยนบัตร และให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับอำนาจ ของคณะรัฐมนตรีที่จะมีมติอนุมัติในหลักการเพื่อออกประกาศในท้องที่จังหวัดอื่นที่ยังไม่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทก ภัย) รวมทั้งให้มติคณะรัฐมนตรีครอบคลุมถึงภัยธรรมชาติประเภทอื่นที่ไม่ใช่อุทกภัย เช่น วาตภัย ด้วย ได้หรือไม่ ไปพิจารณาด้วย หากเห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะมีมติอนุมัติในหลักการเพื่อออกประกาศในท้องที่จังหวัดอื่น ที่ยังไม่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ก็อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาจัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้มี หลักการตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34590 | ขออนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยสำหรับนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ชดเชยให้การประปานครหลวง และขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณ รวมทั้งขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อชดเชยรายได้ค่าน้ำตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 3 | มท | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ การประปานครหลวง (กปน.) ได้ทดรองจ่ายไปก่อนแล้ว จำนวน ๒,๓๘๑,๘๑๔.๒๕ บาท ตามนโยบาย ๖ มาตรการ ๖ เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน คืนให้ กปน. ต่อไป ๑.๒ ขยายกรอบวงเงินงบประมาณของมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ ๓ (๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) จำนวน ๓,๕๖๓,๓๐๐ บาท จากกรอบวงเงินเดิมที่ได้รับจัดสรร จำนวน ๓๘๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๓๙๒,๐๖๓,๓๐๐ บาท ๑.๓ ให้ กปน. กู้เงินในประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อชดเชยรายได้ค่าน้ำจากการ ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ ๓ วงเงิน ๓๙๒,๐๖๓,๓๐๐ บาท โดยกระทรวง การคลังค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายใน การกู้เงินทั้งจำนวน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในการพิจารณาการชดเชยรายได้ให้ถูกต้องตรงกันและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งพิจารณา สนับสนุนเงินชดเชยรายได้ให้แก่รัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวโดยเฉพาะต้นเงิน กู้และดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้กระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34591 | ขออนุมัติหลักการการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ | กษ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการในการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด โดยมอบ หมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวควรมาจากทุกส่วนที่ เกี่ยวข้องเพื่อดูแลและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดให้เกิดความบริสุทธิ์ โปร่งใส เป็นที่ ยอมรับของเกษตรกรและประชาชนโดยทั่วไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์กระบวนการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรในทุกระดับเพื่อให้เกษตรกรและองค์กรเกษตรกรได้รับทราบ เข้าใจขั้นตอน ความ สำคัญของสภาเกษตรกรแห่งชาติที่มีต่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรม รวมทั้งควรปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ของหน่วยงานเพื่อนำมาจัดสรรในกิจกรรมที่มีความจำเป็นและเร่งด่วนสำหรับการดำเนินการจัดตั้งสภาเกษตรกร แห่งชาติและขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคเพื่อให้มีส่วนร่วมสนับสนุนบุคลา กรและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง และแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาล ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนการดำเนินงานจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรอง จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน ๓๕๗,๗๔๐,๗๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปดำเนินการ โดยเบิกจ่ายในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
34592 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง
เศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติของคณะทำงานร่วม ภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๔๘ และส่งเสริมอุตสาห กรรมแปรรูปไม้ยางพารา ในการปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนด ระเบียบ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบ มาตรการระยะยาวที่ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแนวทางการยกเลิก อัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาล ที่กำหนดให้กองทุนฯ ชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๑/๒๕๔๒-๒๕๕๑/๒๕๕๒ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้เสร็จสิ้นภาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ที่เหมาะสมใหม่สำหรับช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) รับไปพิจารณาเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนา อุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคงอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลที่ ๘.๕๐ บาท/ลบ.ม. และเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินสำหรับโครงการที่จะได้รับการช่วยเหลือ และอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล พ.ศ. .... โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๖๐ วัน ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการประกาศนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ปี ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับ ลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐ และการกำหนดระยะเวลาการประกาศนโยบาย และมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี แล้วเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในคราวประชุมวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๖. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาประกอบการจัดตั้งสำนักงานเฉพาะกิจด้าน การเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในเรื่องโครงสร้างและรูปแบบ การทำงานของสำนักงานฯ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งทำความ เข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในเรื่องการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป ๗. มอบหมายให้ประธานผู้แทนการค้าไทยประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องของแนวทางการ ปฏิบัติตามประกาศ ฉบับที่ ๖ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับภาคเอกชน ส่วนการจัดตั้งคณะ ทำงานร่วมระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อดำเนินการทบทวนบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ให้ใช้ช่องทางของคณะ อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวง สาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรวิเคราะห์ประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ ชัดเจน เพื่อให้สามารถ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๘. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงแผนการดำเนินโครงการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ผู้ประกอบกิจการและธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม โครงการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34593 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาจ้างก่อสร้างงานโยธา สัญญาจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมโครงการสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) โดยเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชียและธนาคารโลก | คค | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาจ้างก่อสร้างงานโยธา และสัญญา จ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมโครงการ สำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) โดยเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชียและธนาคารโลก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นว่า ข้อ สัญญาโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการเป็นข้อกำหนดวิธีปฏิบัติในกรณีที่มีข้อโต้แย้งในการดำเนินการตามสัญญาหาก เกิดข้อพิพาทขึ้น โดยมีการนำเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดและอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดแล้ว หากคู่ สัญญาฝ่ายหนึ่งเห็นว่า คำชี้ขาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำ หรือวิธีการอันมิชอบ หรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญา ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการตามพระ ราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ และศาลมีอำนาจในการทำคำสั่งบังคับตามคำชี้ขาด หรือปฏิเสธไม่รับ บังคับตามคำชี้ขาดนั้นได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34594 | ขอปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ | ยธ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงยุติธรรมปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ
โดยให้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) โดยให้ปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นไปตามมติคณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ และครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่ง ส่วนราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... ด้วยแล้ว ทั้งนี้ การยุบรวมสำนัก/กอง ตามที่คณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ให้คงกรอบอัตรากำลังเพิ่มใหม่จำนวน ๓๐๐ อัตรา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขออนุมัติการปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษขออัตราข้าราชการ และพนักงานราชการ) และคงภารกิจเดิม รวมทั้งคงสิทธิประโยชน์ของข้าราชการไม่ให้น้อยไปกว่าเดิมด้วยโดยให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วนต่อไปเพื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เริ่มปฏิบัติ งานตามโครงสร้างที่ปรับปรุงนี้ก่อน หากมีปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินการประการใด ให้นำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
34595 | การขยายเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ในพื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา) | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ (เขตพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา) ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ และร่างข้อกำหนด จำนวน ๑ ฉบับ (การขยายเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔) ตามที่ กอ.รมน. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒.๒ ร่างประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๒.๓ ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓. เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลส่งให้ กอ.รมน. เพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว ตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34596 | การแก้ไขปัญหากรณีการละเมิดสิทธิในที่ดินชาวม้ง ตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีการละเมิดสิทธิในที่ดินชาวม้ง ตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน จำนวน ๑๑๔ ราย ในวงเงิน ๑๕๓,๐๗๑,๒๐๐ บาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34597 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๔,๑๔๘.๖๘ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการจัดมหกรรมเศรษฐกิจนานาชาติ (Thailand International Creative Economy Forum : TICEF) ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการดังกล่าว วงเงิน ๑๒.๑๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาปรับแผนการใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบรายจ่ายอื่น โครงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในวงเงิน ๗๗.๒๙ ล้านบาท โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดค่าใช้จ่าย ตลอดจนเรื่องเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๔. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และจัดสรรวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๒๗๑,๙๘๕.๐๖ บาท สำหรับโครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
34598 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 308/2553) และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค (คำสั่ง นร ที่ 309/2553) | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๐๘/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และ ที่ ๓๐๙/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และอนุมัติให้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และอนุมัติให้มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ยกเว้นในส่วนที่ ๒ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๐๘/๒๕๕๓ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้ตัด “๑.๑.๗ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” ออก เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ในกำกับการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อยกเว้นดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34599 | ขออนุมัติถอดถอนกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงเรคยาวิก (นายจาร์ตัน บอร์ก) | กต | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติถอดถอนนายจาร์ตัน บอร์ก (Kjartan Borg) ออกจากตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติ
มศักดิ์ประจำกรุงเรคยาวิก สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการ ต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34600 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายปรีชา วัชราภัย) | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายปรีชา วัชราภัย ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
.....