ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1722 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34421 - 34440 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34421 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (โดยเพิ่มกรรมการอีกจำนวน 9 คน) | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ โดยเพิ่มกรรมการอีกจำนวน ๙ คน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐ จำนวน ๓ คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ๒. ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน ๖ คน ได้แก่ นายอัษฎางค์ สีหาราช พระมหาสุภาพ พุทธวิริโย ดร.แสวง รวยสูงเนิน นายวิจิตร บุญสูง นายธีระ วงษ์เจริญ และนายพงศา ชูแนม
|
||||||||||||||||||||||||
34422 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำ กปภ. กรณีเงินเดือนเต็มขั้น | มท | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่หน่วยงานและลูกจ้างประจำการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กรณีเงินเดือนเต็มขั้น ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้น แต่เงินเดือนเต็มขั้น ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่กำหนดโควตา) ๑.๒ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้นครึ่ง แต่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของจำนวนพนักงานเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๓ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนสองขั้น แต่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนพนักงานเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๔ กรณีไม่ได้รับพิจารณาให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ ให้เบิกจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างในอัตราขั้นสูงของตำแหน่งระดับเดิม ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวไม่ถือเป็นค่าจ้าง และมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ๒. ให้ผู้ว่าการ กปภ. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับกรณีประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดยังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคและบริโภค และปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34423 | ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับโรงพยาบาลมาบตาพุด ขนาด 200 เตียง | สธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติมกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถปรับเกลี่ยอัตรากำลังจากอัตราว่างของกระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่กว่า ๑,๔๐๐ อัตรา มาดำเนินการแทนการขอกำหนดอัตราตั้งใหม่ได้ เนื่องจากได้นำอัตราว่างจำนวน ๑,๒๐๐ อัตรา ไปดำเนินการทดแทนตำแหน่งใหม่ และตำแหน่งที่มีการย้าย โอน แล้ว ทำให้ต้องสงวนอัตราว่างอีกจำนวน ๒๐๐ อัตราไว้สำหรับบรรจุแพทย์และเภสัชกรที่จบใหม่ด้วย ๒. อนุมัติการกำหนดตำแหน่งข้าราชการเพิ่มใหม่สำหรับโรงพยาบาลมาบตาพุด จำนวน ๒๓๘ อัตรา เป็นกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34424 | การเปลี่ยนแปลงเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองเนเปิลส์ สาธารณรัฐอิตาลี | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองเนเปิลส์ สาธารณรัฐอิตาลี จากเดิมมีเขตกงสุลครอบคลุม ๓ แคว้น ได้แก่ แคว้นกัมปาเนีย แคว้นบาซีลีกาตา แคว้นกาลาเบรีย และ ๑ เมือง คือ เมืองบารี เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุม ๔ แคว้น ได้แก่ แคว้นกัมปาเนีย แคว้นบาซีลีกาตา แคว้นกาลาเบรีย และแคว้นปูลยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองบารี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34425 | การขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณหมอน 21 - 22 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณหมอน ๒๑ - ๒๒ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยดำเนินการพัฒนาพื้นที่บริเวณหมอน ๒๑ - ๒๒ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน (จุดตัดระหว่างถนนพญาไทกับถนนพระราม ๔) เนื้อที่ประมาณ ๑๓ ไร่ ๑ งาน ๔๗.๕ ตารางวา ตามแผนแม่บทการพัฒนาประโยชน์ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูง เพื่อนำรายได้ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการ รวมทั้งพิจารณาแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณโดยรอบโครงการที่เหมาะสม และกำหนดเป็นเงื่อนไขใน TOR ให้เอกชนจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมายและการพัฒนากิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการอย่างเคร่งครัด และเพิ่มเติมในเรื่องการสร้างพื้นที่กิจกรรมร่วมของชุมชน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่เมือง และการให้โอกาสผู้อยู่อาศัยเดิมได้รับสิทธิที่จะเช่าเพื่อประกอบกิจการค้าหรืออยู่อาศัยในโครงการ เพื่อลดผลกระทบและกระแสการต่อต้านจากการพัฒนาโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34426 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดผู้มีสิทธิขอรับเงินกองทุนและหลักเกณฑ์การยื่นขอรับเงินกองทุน ๑.๒ กำหนดขั้นตอนการพิจารณาแผนงานหรือโครงการ หลักเกณฑ์ และวิธีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณากลั่นกรองทางวิชาการ การกลั่นกรองทางวิชาการ การพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เสนอขอรับเงินกองทุน และอำนาจในการอนุมัติเงินกองทุนของคณะกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้งานจากโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนให้ตกเป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณากลั่นกรองการจัดสรรเงินกองทุนและการอนุมัติเงินกองทุน ควรคำนึงถึงหลักความโปร่งใสและเป็นธรรม และควรเพิ่มเติมการรายงานผลการดำเนินงานและการติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินกองทุน ส่วนการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนนั้น ต้องพิจารณาโครงการที่เสนอต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์กองทุนเป็นสำคัญ โดยปรับร่างข้อ ๑๐ วรรคสอง เป็น “การพิจารณาอนุมัติเงินตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และต้องเป็นประโยชน์สูงสุดที่สังคมจะได้รับตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติเป็นหลัก” นอกจากนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ มีความเกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาความเชื่อมโยงให้สอดคล้องกันด้วย รวมทั้งกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาไว้เป็นรายการหนึ่งในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในวงเงิน ๕ ล้านบาท ไปก่อน จนกว่าร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... จะมีผลใช้บังคับ โดยที่ร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนให้แก่ผู้รับเงินกองทุน อาจทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการเงินกองทุน ๕ ล้านบาท ได้ จนกว่าร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีฯ จะมีผลใช้บังคับ จึงเห็นควรอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณากำหนดให้มีบทบัญญัติเพื่อรองรับในกรณีร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีฯ ยังไม่มีผลใช้บังคับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
34427 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองพลับ และตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองพลับ และตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองพลับ และตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองพลับ และตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34428 | การเยือนสาธารณรัฐอิตาลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2553) | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประสานงานและติดตามความคืบหน้าผลการเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน - ๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยวัตถุประสงค์ของการเยือนสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองในสหภาพยุโรป และเพื่อแสวงหาความร่วมมือใหม่และเรียนรู้แนวปฏิบัติในสาขาที่อิตาลีมีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งเพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยกับกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี และกระชับความสัมพันธ์กับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และโครงการอาหารโลก (WFP) ซึ่งผลการเยือนอิตาลีครั้งนี้ โดยเฉพาะการหารือกับฝ่ายต่าง ๆ ของอิตาลี ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่าสมควรที่จะเพิ่มปฏิสัมพันธ์และการกระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น ทั้งนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนของอิตาลีแสดงความสนใจที่จะลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยฝ่ายอิตาลีกำหนดที่จะนำคณะนักธุรกิจอิตาลีเดินทางมาประเทศไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งการเยือนดังกล่าวจะช่วยกระชับและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน สำหรับการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีมิได้มีการหยิบยกเรื่องความคืบหน้าของผลการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของนาย Fabio Polenghi ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการสอบสวนคดีดังกล่าวเนื่องจากเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนและสาธารณรัฐอิตาลีให้ความสนใจ อีกทั้งฝ่ายไทยได้ให้คำมั่นที่จะแจ้งความคืบหน้าแก่ฝ่ายอิตาลี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้ดำเนินการภายในกรอบของอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ
|
||||||||||||||||||||||||
34429 | โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ | กษ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา ๒๑ ทวิ ในส่วนของการดำเนินงานปีแรกในพื้นที่ ๒ แสนไร่ ในวงเงิน ๕๘๐.๐๕ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการขอแปรญัตติเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลในร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถนำเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาใช้เพื่อการดำเนินโครงการฯ ต่อไปได้ เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ๓. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ พร้อมทั้งเป้าหมายและค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับเป้าหมายในแต่ละปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๔. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาและงบประมาณการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการบริหารโครงการซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา ๒๑ ทวิ) เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในวงเงินไม่เกิน ๓๓.๘๑๕ ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับระยะเวลาของโครงการฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๕. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาโครงการฯ ให้การส่งเสริมต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๖๒ ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลและทบทวนแผนการดำเนินงานโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ด้านการตลาดยางในระยะยาวและเตรียมมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ หากความต้องการยางพาราจากตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34430 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นค่าชดเชยที่สาธารณประโยชน์ "ดอนหลักดำ" | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณให้แก่โรงเรียนบ้านโนนและโรงเรียนโนนโพธิ์ศรีวิทยาคม จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎร รวม ๑๓ ราย กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโนนเข้าใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์ “ดอนหลักดำ” ในส่วนที่โรงเรียนทั้ง ๒ แห่งเข้าใช้ประโยชน์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและยุติความขัดแย้ง โดยในส่วนของงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ประสานงานในการดำเนินการกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
34431 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2553 | ทส | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำรายละเอียดแนวทางที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณา และนำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติต่อไป ๒. ให้นำเรื่องการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาอุทกภัยไปพิจารณาทบทวนเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมงานที่เพิ่มขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ ที่มีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ ๔. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ๕. รับทราบคำสั่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการจัดการประชุมฯ ๖. รับทราบคำสั่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๓ แต่งตั้งผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอนุกรรมการฯ ในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เพิ่มเติม ๗. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการจัดทำแผนพัฒนาการชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ โดยกรมชลประทานเป็นหน่วยงานกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
34432 | การจัดทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำและนำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council-HRC) ภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ในการประชุมคณะทำงาน UPR (Working Group on UPR) สมัยที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๓ - ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา รวมทั้งประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนของไทยที่อยู่ในความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ และอาจถูกซักถามโดยสมาชิก HRC รวม ๑๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าในการสอบสวนกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงในไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ (๒) กรณีการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ โดยเฉพาะคดีของนายสมชาย นีละไพจิตร (๓) กรณีการซ้อมทรมาน โดยเฉพาะคดีของนายยะผา กาเซ็ง (๔) กรณีปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดต่อครูและเด็กนักเรียน (๕) กรณีการเสียชีวิตของชาวมุสลิมในเหตุการณ์ยิงมัสยิดอัลฟูรกัน และกรณีกรือเซะ/ตากใบ (๖) โทษประหารชีวิต (๗) การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยบังคับ (๘) การศึกษาความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและครอบครัว (๙) การถอนข้อสงวนต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนฉบับต่าง ๆ (๑๐) การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘ (๑๑) การปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าว (๑๒) กรณีฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด (๑๓) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการชุมนุม (๑๔) การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๑๕) การปฏิบัติต่อผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าและผู้ลักลอบเข้าเมือง ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการจัดทำข้อมูลและแต่งตั้งผู้แทนระดับสูงร่วมในคณะผู้แทนไทยเดินทางไปนครเจนีวา โดยใช้งบประมาณของต้นสังกัดเพื่อสนับสนุนการนำเสนอรายงานดังกล่าวอย่างเต็มที่ ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานสถานะล่าสุด รวมทั้งประเด็นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ๑๕ ประเด็น โดยเฉพาะการเร่งรัดคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดลอยนวลรอดพ้นจากกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีทราบและพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๔ รวมทั้งให้จัดส่งข้อมูลให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการจัดทำรายงานฯ อีกทางหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขภาพลักษณ์เชิงลบด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของไทย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นควรสนับสนุนประเทศไทยในการแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์และผลักดันประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีระหว่างประเทศต่อไป และในการจัดทำรายงานในส่วนของภาครัฐควรประสานข้อมูลกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้เนื้อหามีความแตกต่างกันมากเกินไป เนื่องจากองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรพัฒนาเอกชนจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาครัฐในการนำข้อเสนอแนะจากกระบวนการภายใต้กลไก UPR ไปปฏิบัติควบคู่กับข้อเสนอแนะจากกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34433 | การเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบความเห็นของ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34434 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2554 | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๔ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เท่ากันกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๓ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงิน ซึ่งจะทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจสามารถคาดการณ์ได้ถึงผลกระทบของนโยบายการเงินที่มีต่อธุรกิจ ตลอดจนส่งผลต่อความเชื่อถือไว้วางใจในการรักษาความแน่นอนในการกำหนดนโยบายของภาครัฐ และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34435 | การถวายพระราชสมัญญา "พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน" เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการถวายพระราชสมัญญา “พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34436 | การปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล (ครั้งที่ 12/2553) | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล กรณีการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๓ โดยกำหนดหลักการเพิ่มเติมในส่วนของเกณฑ์ราคาสำหรับกรณีเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล ให้สามารถเจรจาขายข้าวได้ทั้งในเทอม FOB (Free on Board) และ CFR (Cost & Freight) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการเจรจาให้บรรลุผลสำเร็จ สำหรับการขายข้าวในราคาแบบ CFR ให้ขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศในกรณีที่เป็นความประสงค์ของผู้ซื้อ ทั้งนี้ การขออนุมัติขายให้แยกเป็นราคา FOB และค่าระวางเรือ (Freight) ให้เห็นชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลให้ราคาเทอม CFR สูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องประสานงานกันอย่างบูรณาการเพื่อให้ราคา CFR ของไทยสามารถแข่งขันด้านราคาได้ โดยเพิ่มปัจจัยด้านความแน่นอนในการได้รับสินค้าคุณภาพดี (guaranteed supply and quality) และในการบริหารจัดการของฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างรอบคอบและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการคัดเลือกผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการระวางและขนส่งสินค้าจะต้องรัดกุม ถี่ถ้วน และโปร่งใสเพื่อป้องกันช่องทางการทุจริตต่าง ๆ นอกจากนี้ ควรพิจารณาเลือกบริษัทเดินเรือที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเส้นทางขนส่งสินค้า และควรเจรจาให้ประเทศผู้ซื้อทำประกันภัยการขนส่งสินค้าด้วย โดยอาจนำแนวทางที่ไทยเคยดำเนินการแบบ CFR แล้วในอดีต (คณะกรรมการจัดหาเรือขนส่งข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศ แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๗) มาพิจารณาปรับปรุงและประกอบการพิจารณาในโอกาสนี้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐในราคาเทอม CFR จะต้องไม่กระทบกับราคาข้าวที่พึงขายได้ในราคาเทอม FOB |
||||||||||||||||||||||||
34437 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๗๑๖/๓/๙๐ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ ในส่วนของหลักการของยุทธศาสตร์ และสาระสำคัญของยุทธศาสตร์ ในข้อ ๒.๑ การเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และข้อ ๒.๔ การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ทั้งนี้ สาระสำคัญของยุทธศาสตร์ฯ ในข้อ ๒.๒ การสร้างสังคมสมานฉันท์และความมั่นคงของประเทศ ให้เพิ่มประเด็นการมีบทบาทในการดำเนินกิจกรรมและการให้ความช่วยเหลือร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์การระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้นด้วย ๒. อนุมัติหลักการให้สำนักงบประมาณร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เวียนแจ้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำคำของบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34438 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 | มท | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน เน้นหนักในมาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ในส่วนกลาง จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ระดับจังหวัด และอำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การตั้งจุดสกัดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชน ระดับพื้นที่ ๓. แผนการดำเนินการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนเส้นทางสายหลักและสายรอง ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
34439 | การประเมินสถานการณ์กรณีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 | นร | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และให้กำหนดมาตรการรองรับสถานการณ์ภายหลังการยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ และกฎหมายอื่นๆ ที่มีอยู่เป็นหลัก และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จัดทำแผนรักษาความสงบเรียบร้อย (แผน รส.) โดยมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมเหตุการณ์ตั้งแต่ภาวะปกติในพื้นที่จังหวัดต่างๆ รวมทั้งส่วนกลางให้ยุติตั้งแต่เริ่มแรก และสามารถปรับให้เป็นไปตามสถานการณ์ของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และทันกับเหตุการณ์ (ตามหมวด ๑ และ หมวด ๒ ของพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงฯ) โดยใช้กลไก กอ.รมน. ในการติดตามสถานการณ์และประสานการปฏิบัติ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการตามแผนรักษาความสงบเรียบร้อยให้ กอ.รมน. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34440 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 - 28 กุมภาพันธ์ 2554) | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง และมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ โดยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามหลักการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และให้รัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในช่วงขยายระยะเวลา และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยมาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการพิจารณาให้เงินอุดหนุนที่ชัดเจนและเป็นระบบ และอาจพิจารณาความจำเป็นในการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้สามารถรองรับการอุดหนุนตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
.....