ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1409 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28161 - 28180 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28161 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายเจษฎา ฉายคุณรัฐ และนายมรุต จิรเศรษฐสิริ) | สธ | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายเจษฎา ฉายคุณรัฐ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ๒. นายมรุต จิรเศรษฐสิริ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
28162 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้าของสหภาพยุโรป" | สสป | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้าของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมาคมธุรกิจไม้ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการระยะเร่งด่วน ในระยะ ๒ เดือน (สิงหาคม-กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕) เร่งดำเนินการเปิดเจรจาระหว่างผู้แทนประเทศไทยกับผู้แทนสหภาพยุโรป เพื่อรับทราบแนวทาง การจัดทำข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ เพื่อลดผลกระทบ จากมาตรการที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รับหน้าที่ในการขับเคลื่อน เร่งรัด การดำเนินงานของคณะกรรมการเจรจา EU-FLEGT อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันต่อการบังคับใช้ ๒. มาตรการระยะกลาง ในระยะ ๖ เดือน (ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕-มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖) โดยยกระดับความสำคัญให้คณะทำงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในการเจรจาทำข้อตกลง ให้เป็นภารกิจเร่งด่วน มีบุคลากรเหมาะสมและมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และกรมส่งเสริมการส่งออก เร่งปฏิบัติตามข้อเจรจา พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ต้องดำเนินการมีงบประมาณเพียงพอในภารกิจสำหรับการเจรจาและการปฏิบัติงานตามข้อเจรจา และส่งเสริมให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรับทราบ และเข้าใจสาระสำคัญของข้อตกลง ๓. มาตรการระยะยาว (ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป) โดยเตรียมความพร้อมของประเทศไทยให้พร้อมรับมาตรการที่ประเทศคู่ค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากสหภาพยุโรปจะกำหนดมาตรการในลักษณะเดียวกันมาบังคับใช้ เพื่อให้ประเทศไทยคงศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ได้ยั่งยืน และภาครัฐต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อคุ้มครองและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
28163 | ผลการเยือนราชอาณาจักรสวีเดน ราชอาณาจักรเบลเยียม และสหภาพยุโรป อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเยือนราชอาณาจักรสวีเดน ราชอาณาจักรเบลเยียม และสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๕๖ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลการหารือตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ราชอาณาจักรสวีเดน ประเด็นติดตาม ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาราชอาณาจักรสวีเดนเยือนไทย การแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการวิจัย นโยบายศูนย์กลางทางการแพทย์ การส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าจัดแสดง Fairtrade ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก การส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ๒. ราชอาณาจักรเบลเยียม ประเด็นติดตาม ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรเบลเยียมเยือนไทยอย่างเป็นทางการ การเสด็จฯ เยือนไทยของเจ้าชายฟิลิป มกุฎราชกุมารแห่งเบลเยียม พร้อมคณะนักธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๒ มีนาคม ๒๕๕๖ การลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมไทย-เบลเยียม (Joint Plan of Action between Thailand and Belgium 2013-2020) ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ความร่วมมือด้านการวิจัยและเทคโนโลยี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) และการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการบริการเดินอากาศ ระหว่างบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และ Brussels Airlines (สายการบินแห่งชาติของเบลเยียม) ๓. สหภาพยุโรป ประเด็นติดตาม ได้แก่ การลงนามในร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างประเทศไทยกับประชาคมยุโรปและรัฐสมาชิก (Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation between Thailand and the European Community and its Member States : PCA) การเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป (Thai-EU Free Trade Agreement) การเจรจาข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป การจดทะเบียนสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication-GI) ของ EU แก่สินค้าไทย มาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์/การขึ้นทะเบียนประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเกนสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางสำหรับบุคคลธรรมดาของไทย ความร่วมมือกับสหภาพยุโรปในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเยือนไทยของประธานคณะมนตรียุโรป การบริหารจัดการภัยพิบัติ การบริหารจัดการด้านพรมแดน (ในกรอบอาเซียน) การพัฒนามาตรฐานผลผลิตทางการเกษตรในระบบ Fairtrade/ความร่วมมือของไทยกับองค์การ Fairtrade/การขยายตลาดสินค้า Fair Trade ของไทยในต่างประเทศ การสนับสนุน EU เข้าร่วมใน East Asia Summit (EAS) และการจัดประชุมสุดยอดระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป
|
||||||||||||||||||||||||
28164 | การขยายระยะเวลาดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) | รง | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งนายจ้างได้ยื่นแบบแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว บัญชีรายชื่อและเอกสารต่าง ๆ ไว้กับกรมการจัดหางานแล้ว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีกเป็นเวลา ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certification of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายพร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะกับนายจ้างเดิมต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งนายจ้างได้ยื่นแบบแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว บัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว และเอกสารต่าง ๆ ไว้กับกรมการจัดหางานแล้ว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีกเป็นเวลา ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๒ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการรับตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant-LA) และประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลา ๒ ปี ให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในลักษณะผู้ติดตามแก่บุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคล และสามารถขออยู่ในราชอาณาจักรได้อีกครั้งเดียวระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือสถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาท และสามารถขออยู่ต่อได้อีกครั้งเดียว ค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาท เช่นกัน ทั้งแรงงานต่างด้าวและบุตรของแรงงานต่างด้าว ๑.๓ กระทรวงสาธารณสุขรับตรวจสุขภาพและรับประกันสุขภาพให้กับแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรตามที่นายจ้างได้ยื่นคำร้องขอจ้างแรงงานต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม รวมทั้งรับประกันสุขภาพผู้ติดตามแรงงานต่างด้าว ๑.๔ กรมการจัดหางาน ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อเร่งรัดนายจ้างที่แรงงานต่างด้าวได้ผ่านการตรวจสอบจากประเทศต้นทาง ให้พาแรงงานต่างด้าวไปขอรับหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคล และขอรับอนุญาตทำงาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่จัดตั้งขึ้น รวมทั้งจัดทำข้อมูล (Bio Data) โดยการจัดเก็บภาพใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน ๑.๕ สำนักงานประกันสังคม ดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ เข้าสู่ระบบประกันสังคมตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในกิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม ให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบในลักษณะเช่นเดียวกับแรงงานที่เป็นคนไทย โดยให้เลือกซื้อประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข หรือประกันสุขภาพกับบริษัทประกันเอกชน ๑.๖ กระทรวงการคลัง สนับสนุนงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการขยายระยะเวลาการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูล (Bio Data) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๗ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการออกประกาศขยายระยะเวลาการผ่อนผันฯ ของกระทรวงมหาดไทย และช่วงระยะเวลาระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ให้พิจารณาผ่อนปรนการดำเนินการตามสมควรแก่กรณีกับนายจ้าง แรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินนโยบายบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และภายหลังสิ้นสุดการผ่อนผันฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีนายจ้างที่ลักลอบจ้างแรงงานต่างด้าว ผู้นำพา และผู้ให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สำหรับแรงงานต่างด้าวให้ส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง เพื่อดำเนินการตามกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรอบเวลาการขยายระยะเวลาการดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ การกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี การประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานประเทศต้นทางทราบความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและเจตนารมณ์ของการขยายระยะเวลาดำเนินการ การกำกับดูแลและเร่งรัดการปฏิบัติงานของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโดยเร็วเพื่อลดแรงกดดันจากสังคม และการดำเนินการศึกษากำหนดสัดส่วนความต้องการแรงงานต่างด้าว ทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทยต่อจำนวนแรงงานไทยเป็นรายปี เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดโควตาการนำเข้าแรงงานต่างด้าว และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28165 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางคมขำ ฉัตราคม) | นร06 | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางคมขำ ฉัตราคม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28166 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว เป็นการนำพื้นที่ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน จึงควรเป็นไปตามข้อตกลงยินยอมในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และหน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นหลักการในเบื้องต้น ขณะที่การพิจารณาในรายละเอียดอื่น ๆ อาทิ ราคาประเมินที่ดิน ควรมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามราคาตลาดในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
28167 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 7 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Draft Joint Statement of the Seventh Summit of Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงาน IMT-GT ของไทย เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Draft Establishment Agreement of Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Subregional Cooperation : CIMT) ๓. เห็นชอบการเสนอชื่อนายไพโรจน์ โพธิวงศ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ประสานความร่วมมือกรอบแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Subregional Cooperation : CIMT) ต่อที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงาน IMT-GT ในรอบการดำรงตำแหน่งของฝ่ายไทย ระยะห้าปี (ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐) โดยเริ่มเข้าศึกษาและทดลองงานได้ทันทีเมื่อมีการลงนามการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
28168 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสีย ค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 | คค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28169 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๘๔.๓๓๑๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๖,๐๘๖.๐๔๖๘ ล้านบาท และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๑๑,๖๐๗.๙๔๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๓.๓๓ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการเบิกจ่าย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายครบถ้วน จำนวน ๔๓ หน่วยงาน เบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน และเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ณ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๕๘๔.๓๓๑๖ ล้านบาท คงเหลือ ๔๑๕.๖๖๘๔ ล้านบาท ๑.๔ ส่วนราชการฯ แจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๓๓๒.๕๙๒๔ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง/งานดำเนินการเอง/หมดความจำเป็น และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว ๒. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณดำเนินการตามขั้นตอนเงินประจำงวดที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐแจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายวงเงินรวม ๓๓๒.๕๙๒๔ ล้านบาท เพื่อกำหนดไว้ในงบกลาง รายการเดิม สำหรับรองรับโครงการ/รายการอื่น ๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐยังมีความจำเป็นในการเสนอขอรับจัดสรรตามขั้นตอนต่อไป ๓. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ประสบอุทกภัยตามข้อเสนอของจังหวัด (โครงการขุดลอกบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย และให้สำนักงบประมาณดำเนินการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน ๙๗.๙๙๗๐ ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
28170 | โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถโดยสารประจำทาง การพัฒนาอู่จอดรถ และโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จะต้องมีการพิจารณาถึงแหล่งเงินในการดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความเหมาะสมต่อวินัยการเงินการคลัง และแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา นอกจากนี้ บทบาทของ ขสมก. ในปัจจุบันที่เป็นทั้งผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ปฏิบัติ (Operator) ควรจะต้องมีการพิจารณากำหนดบทบาทของ ขสมก. ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ให้ ขสมก. กู้เงิน หรือให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๗ (๗) และค้ำประกันเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับประเด็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ การประสานกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดซื้อจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่จะสามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อรถโดยสารในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศทุกรายที่สนใจสามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ การแต่งตั้งผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคและในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดหารถโดยสาร การประสานกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในรายละเอียดของแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการต่อไปได้ และพิจารณาปรับรูปแบบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยอาจกำหนดประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับบริการดังกล่าวที่ชัดเจน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัดผลการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการ เช่น ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง เป็นต้น และปริมาณผู้โดยสาร เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ๑.๔ รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการยกหนี้สินเดิมของ ขสมก. จำนวนไม่เกินร้อยละ ๒๕ ให้ ขสมก. และให้พักหนี้สินในส่วนที่เหลือไว้จนกว่า ขสมก. จะสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมพิจารณาหนี้สินที่จะยกให้ ขสมก. ส่วนที่เหลือและกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาดำเนินการตามเงื่อนไขที่จะยกหนี้ให้ต่อไป และให้ ขสมก. จัดทำประมาณการทางการเงินตามแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แยกภาระหนี้เดิมออก ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๖ ให้กระทรวงพลังงาน ขสมก. และกระทรวงคมนาคม ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์เพื่อรองรับการใช้พลังงานทางเลือกอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๗ เพื่อให้การจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ของ ขสมก. มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาเลือกใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. สามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือเลือกใช้รถโดยสารที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกหรือพลังงานชีวภาพในขั้นการดำเนินงานได้ตามความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้หรือจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อ และให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการชำระคืนต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมการจัดซื้อรถโดยสารธรรมดาไปเป็นรถโดยสารปรับอากาศ รวมถึงการจัดระบบเส้นทางเดินรถ การปรับอัตราค่าโดยสาร การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านพลังงานทางเลือกที่ใช้กับรถโดยสาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อการให้บริการ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย การจูงใจให้มีการใช้รถโดยสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น การประหยัดพลังงาน รวมทั้งการลดปัญหาการจราจรและลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม และให้รายงานผลการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยหากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถโดยสารตามโครงการดังกล่าวไปจากที่ได้อนุมัติไว้ตามข้อ ๑ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
28171 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 4/2556 | อื่นๆ | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบคู่มือปฏิบัติงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวง กรม หรือหน่วยงานที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอื่นใดที่มีอำนาจหน้าที่ในลักษณะเดียวกันหรือดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันกับคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ และยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอื่นดังกล่าวเพื่อให้การดำเนินงานมีเอกภาพตามหลัก Single Command ๑.๓ เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติให้กับคณะกรรมการทั้ง ๔ คณะ ตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) ได้แก่ ๑.๓.๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กนป.) มีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๒ คณะกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กอป.) มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๓ คณะกรรมการบริหารและดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกระทรวง จำนวน ๒ คณะ (กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ๑.๓.๔ คณะกรรมการปฏิบัติการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกรม จำนวน ๓ คณะ (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) และระดับจังหวัด จำนวน ๗๗ คณะ ๒. เห็นชอบแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) (ภายใต้ยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอนุมัติกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าว ในระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ประกอบด้วย การดำเนินการใน Module AO ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (๘ ลุ่มน้ำหลัก) วงเงิน ๕,๗๙๐.๑๘๕๓ ล้านบาท และใน Module BO (๑๗ ลุ่มน้ำ) วงเงิน ๔,๒๐๙.๘๑๔๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๖) และอนุมัติวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๐๘๕.๓๓๖๑ ล้านบาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตรวจสอบกล้าไม้แต่ละประเภทที่คงเหลืออยู่จริง รวมทั้งค่าพิกัดของตำแหน่งพื้นที่ปลูกป่า เพื่อใช้ประกอบในการเสนอขอรับจัดสรรเงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเอาระบบ Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้ในการตรวจ ติดตาม และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกและการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่นำมาปลูกในโครงการฯ รวมทั้งควรพิจารณานำพันธุ์ไม้เศรษฐกิจหรือพันธุ์ไม้เฉพาะที่ใช้ประโยชน์ในงานพิธีสำคัญมาร่วมปลูกด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28172 | การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | อก | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแต่งตั้งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น “หน่วยงานแต่งตั้ง (Designating Body)” ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของประเทศไทยตามพันธกรณีตามความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28173 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อการ Refinance หนี้เงินกู้สกุลเงินเยนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการกู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๕,๖๔๐.๔๔ ล้านบาท เพื่อใช้ในการ Refinance หนี้เงินกู้สกุลเงินเยน [หนี้เงินกู้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA)] จำนวน ๔ สัญญา ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้และชำระหนี้เงินกู้สกุลเงินเยนแทน กฟภ. และจัดทำสัญญาชำระเงินคืนระหว่างกระทรวงการคลังกับ กฟภ. โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ กฟภ. ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
28174 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นางจุฑา โรจน์กิตติคุณ | กค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ นม. ๒๖๐๘ น.ส.๓ ก. เลขที่ ๕๙๔๑ ตำบลท่าอ่าง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา คืนแก่นางจุฑา โรจน์กิตติคุณ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28175 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นางพิมพร พุฒิทานันท์ | กค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ปข. ๕๒๑ ตามหลักฐานเดิม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๑๙๘๐ ตำบลกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ประมาณ ๙๘ ตารางวา ปัจจุบันเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ปข ๐๕๕๓ ออกให้ ณ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๔๔ เนื้อที่ประมาณ ๙๗.๑ ตารางวา คืนแก่นางพิมพร พุฒิทานันท์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28176 | การจัดตั้งกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ | กต | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยเพิ่ม “กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ” ขึ้นใหม่ ๑.๒ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗ ๑.๓ โอนภารกิจของสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศให้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างมาตรา ๔ ของร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กำหนดให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นการยุบสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศไปโดยผลของกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศอีกต่อไป และเห็นควรแก้ไขร่างมาตรา ๕ เป็น “ให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง อัตรากำลัง และภาระผูกพันทั้งปวงของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗ ไปเป็นของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
28177 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต | พณ | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต วงเงินทั้งสิ้น ๙,๙๑๘,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๓๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์แคนาดา เท่ากับ ๒๙ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๘,๕๐๐ ดอลลาร์แคนาดา หรือเท่ากับ ๘๒๖,๕๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
28178 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... | ทส | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” “คณะกรรมการ” และ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการ คนที่ ๒ ปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านกฎหมาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และกำหนดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระคราวละสี่ปี และกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๔ กำหนดให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมีอำนาจหน้าที่ ได้แก่ กำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศให้ครอบคลุมมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ กำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๒๑ (United Nations Conference On Sustainable Development : UNCSD) แผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) แผนการปฏิบัติการโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg Plan of Implementation : JPOI) และข้อตกลง/ผลลัพธ์จากการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และเป้าหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการประชุมสุดยอดของโลกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการประชุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๕ กำหนดให้ค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และที่ปรึกษา ให้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรอบแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นต่อไป ควรบูรณาการกับยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เพื่อให้การพัฒนาที่ยั่งยืนมีความสมดุลครอบคลุมทุกมิติและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนตัวแทนของภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (Partnership) ในการผลักดัน/ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และควรปรับปรุงหมวดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยระบุให้การกำหนดนโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้นโยบาย กรอบทิศทาง และยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และยุทธศาสตร์ประเทศ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานรัฐและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม นอกจากนี้ การดำเนินงานของคณะกรรมการ ควรให้ครอบคลุมประเด็นที่มีความเร่งด่วน อาทิ การกำหนดแนวทางและท่าทีการเจรจาในการเข้าร่วมกระบวนการหารือในระดับรัฐบาลเพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ทันตามกรอบเวลาที่เวทีระหว่างประเทศกำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
28179 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 3 | นร11 | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone : DSEZ) และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๖-๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมตกลงร่วมกันให้เร่งจัดตั้งกลไกการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) ในประเทศไทย ในสัดส่วนการถือหุ้นที่เท่ากันระหว่างไทยและเมียนมาร์ เพื่อเป็นหน่วยธุรกิจที่รับสัมปทานพัฒนา DSEZ และทำหน้าที่ระดมทุนมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ ท่าเรือ ถนน นิคมอุตสาหกรรม ไฟฟ้า น้ำ โทรคมนาคม และระบบราง เป็นต้น ๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้ยกระดับกรอบความตกลงโครงการ (Framework Agreement) ซึ่งเป็นการลงนามร่วมกันของ Myanmar Port Authority (MPA) กับ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต์ (ITD) ให้เป็นข้อตกลงสัมปทานโครงการระหว่างคณะกรรมการบริหาร DSEZ และ SPV และมอบหมายให้ SPV เป็นผู้ดำเนินการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาอิสระเพื่อตรวจสอบสถานะการเงินการลงทุน (Due Diligence) ของโครงการต่าง ๆ ในส่วนที่ ITD ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งเป็นผู้ชำระคืนค่าลงทุนแก่ ITD โดยยึดผลการศึกษา Due Diligence เป็นสำคัญ ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้กรอบเงื่อนไขของ Sectoral Agreement ของแต่ละโครงการ ซึ่งจะเป็นข้อตกลงที่จัดทำขึ้นระหว่าง SPV และคณะกรรมการบริหาร DSEZ โดย SPV จะเป็นผู้มอบหมายให้ SPC (Special Purpose Company) เป็นผู้ลงทุน โดยต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร DSEZ ซึ่งรัฐบาลเมียนมาร์รับที่จะให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการพัฒนา DSEZ และโครงการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ที่ประชุมตกลงที่จะมีหนังสือเชิญประเทศญี่ปุ่นเข้าเป็นหุ้นส่วนการลงทุนในโครงการทวาย และเปิดโอกาสให้นักลงทุนประเทศอื่น ๆ ที่มีความสนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ในระยะต่อไป ๔. ที่ประชุมเป็นสักขีพยานการลงนามในหนังสือ ๒ ฉบับ ได้แก่ รายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนา DSEZ และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และบันทึกความเข้าใจเบื้องต้นระหว่าง Myanmar Port Authority และ ITD ซึ่งระบุถึงความเข้าใจร่วมกันของ Myanmar Port Authority (MPA) และ ITD เกี่ยวกับการจัดตั้ง SPV ๕. ที่ประชุมตกลงร่วมกันที่จะกำหนดให้มีคณะทำงานฝ่ายไทยและเมียนมาร์เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการในภาพรวมและรายโครงการ รวมทั้งจัดทำเงื่อนไขของธุรกิจบนหลักการที่ทำให้โครงการมีผลตอบแทนคุ้มค่า สามารถระดมทุนจากสถาบันการเงินได้ เป็นธุรกิจที่แข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและมีความยั่งยืน เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในการจัดตั้ง SPV และจัดทำ Concession Agreement รวมทั้ง Sectoral Agreement สำหรับนำเสนอต่อคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งที่ ๒ ๖. ที่ประชุมเห็นควรเสนอให้มีการประชุม JHC ครั้งที่ ๒ ในปลายเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เพื่อนำเสนอผลการประชุมของ JCC ครั้งที่ ๓ และความก้าวหน้าของการดำเนินงาน
|
||||||||||||||||||||||||
28180 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีหลัง ปี 2555 | กค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๕ โดยศูนย์ข้อมูลฯ
สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ สามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสามารถนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการจัดการอบรมและสัมมนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปสงค์ ด้านอุปทาน ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ และสรุปข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๕ ๒. งานวิชาการ โดยจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล ฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๓ และไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้อง จัดทำสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อรายงานผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัย และจัดทำ REIC Web Poll รายครึ่งเดือน ผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th โดยเน้นคำถามด้านพฤติกรรมการอยู่อาศัย การซื้อที่อยู่อาศัย หรือข้อคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร โดยได้รับความร่วมมือจากสื่อสิ่งพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์ และการเผยแพร่ข้อมูลสถิติและตีพิมพ์บทความหรือสัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อมูลสถิติ และสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ และจัดให้มีการสัมมนาทางวิชาการ และได้จัดให้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำดัชนีราคาบ้านมือสอง (ทรัพย์บังคับคดี) ระหว่างกรมบังคับคดีกับศูนย์ข้อมูลฯ การแถลงข่าวผลการดำเนินงาน และดัชนีอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ ๔. สถานการณ์ด้านตลาดที่อยู่อาศัย ในปี ๒๕๕๕ มีปรากฏการณ์ที่ชัดเจนของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจากส่วนกลาง ๒ ด้าน คือ การเปิดหน่วยในโครงการอาคารชุดจำนวนมาก และการขยายธุรกิจออกไปสู่จังหวัดในภูมิภาค
|
.....