ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1407 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28121 - 28140 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28121 | รายงานผลการประกวดราคาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ | สผ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบราคาค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ในวงเงินรวม ๑๒,๒๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลประกวดราคาที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๒๓๖,๓๑๑,๔๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๘๐๔,๗๐๘,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๙,๒๓๘,๙๘๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยอนุมัติให้ขยายเวลาดำเนินการถึงปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างฯ ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิม และระยะเวลาในการดำเนินงานก่อสร้าง ๙๐๐ วัน ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ อย่างเคร่งครัด การรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการก่อสร้างฯ โดยแจ้งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28122 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28123 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28124 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทาน ที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทาน ที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก ในท้องที่ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว ในท้องที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน และตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
28125 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๐๒๐ ในท้องที่ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28126 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ) (นายครรชิต พุทธโกษา) | วช | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายครรชิต พุทธโกษา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28127 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และร่างกฎกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง รวม 3 ฉบับ | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และร่างกฎกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตรทั้งระบบ โดยการทำฝน กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของประเทศ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนและการดัดแปรสภาพอากาศ ตลอดจนการให้บริการด้านการบินและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการเกษตรและอื่น ๆ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๒ ให้แบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้แก่ สำนักงานเลขานุการกรม กองบริหารการบินเกษตร กองปฏิบัติการฝนหลวง และกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง ๑.๓ ให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดี โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตัดอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตร ของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ออกจากสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ๒.๑ ให้ยกเลิก (๙) ของข้อ ๒ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๒ ให้ยกเลิก (๑๖) ของ ก. ราชการบริหารส่วนกลาง ของข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๓ ให้ยกเลิกข้อ ๑๙ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นส่วนราชการในกลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต โดยให้ยกเลิกความใน (ข) ของข้อ ๘ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(ข) กลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต ๑. กรมชลประทาน ๒. กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ๓. กรมพัฒนาที่ดิน ๔. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” |
|||||||||||||||||||||||||||
28128 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างรายการอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว 1 หลัง บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ขออนุมัติปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้องานที่เพิ่มขึ้น | ศย | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๔๖,๙๙๖,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๕๑,๖๒๖,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๖๓๐,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๘๖๕,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๙๕๗,๖๐๐ บาท โดยมีค่าควบคุมงานที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๙๒,๖๐๐ บาท ๓. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างและควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก ๑๒๐ วัน ไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการ ๔. สำหรับงบประมาณค่าก่อสร้างและควบคุมงานที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๗๒๒,๖๐๐ บาท เห็นสมควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28129 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี มีผลใช้บังคับ | ศย | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี เป็นผู้ลงนามสนธิสัญญาฯ โดยสาระสำคัญของสนธิสัญญาฯ เป็นการกำหนดเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างภาคีทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ๑.๑.๑ ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือกันในการส่งเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน และการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศทางกฎหมายและข้อมูลคดีที่เปิดเผยต่อสาธารณะในคดีแพ่งและพาณิชย์ ๑.๑.๒ คนชาติของภาคีแต่ละฝ่ายจะได้รับความคุ้มครองทางการศาลเช่นเดียวกันกับที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งให้แก่คนชาติของตน รวมถึงนิติบุคคลซึ่งก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายของภาคีฝ่ายหนึ่ง และมีภูมิลำเนาอยู่ในอาณาเขตของภาคีฝ่ายนั้น ๑.๑.๓ ภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือหากเห็นว่าจะกระทบต่ออธิปไตย ความมั่นคง หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาล ๑.๑.๔ การดำเนินการตามคำร้องขอต้องไม่เป็นเหตุให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่ การส่งเอกสารโดยเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายด้วยวิธีการส่งเอกสารเป็นพิเศษ หรือการสืบพยานหลักฐานที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือล่าม ๑.๑.๕ เจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุลของภาคีแต่ละฝ่ายอาจส่งเอกสารทางการศาลให้แก่คนชาติของตนหรือสอบปากคำคนชาติของตน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งและจะใช้มาตรการบังคับอย่างใด ๆ มิได้ ๑.๑.๖ พยานบุคคลอาจปฏิเสธที่จะเบิกความ หากเป็นผู้มีเอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน หรือมีหน้าที่จะปฏิเสธการเบิกความ ๑.๑.๗ สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้แจ้งต่อกันเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านวิถีทางการทูตว่า แต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นตามกฎหมายภายในของตนเพื่อให้สนธิสัญญานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับ ตามแต่จะได้ตกลงกับฝ่ายสาธารณรัฐเกาหลีต่อไป ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานศาลยุติธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันราชอาณาจักรไทย หากผู้ลงนามหนังสือสัญญามิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามต้องได้รับมอบอำนาจโดยหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งออกให้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28130 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๒,๒๗๕,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ รับทราบการจัดสรรงบประมาณในลักษณะงบลงทุนที่สอดคล้องกับแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๓๑,๒๒๙.๙ ล้านบาท จำแนกเป็นรายการตามแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๒๔,๓๘๖.๗ ล้านบาท และเป็นรายการนอกแผนความต้องการลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๖,๘๔๓.๒ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในขั้นตอนและกิจกรรมลำดับที่ ๑๒-๑๕ คือ การนำเสนอรายละเอียดงบประมาณ และการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ สำหรับขั้นตอนและกิจกรรมในลำดับถัดไปยังคงเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาในปฏิทินงบประมาณเดิม ๑.๔ เห็นชอบขั้นตอนและแนวทางการดำเนินงานการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้สำนักงบประมาณ โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีพิจารณาและปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนและกิจกรรมตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ปรับปรุงตามข้อ ๑.๓ ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาทบทวนด้วยว่า การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต้องยึดหลักความสำคัญของภารกิจ อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายรัฐบาล รวมถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยไม่เกิดความเหลื่อมล้ำและซ้ำซ้อน และให้คำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแหล่งเงินนอกงบประมาณ โดยเฉพาะเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28131 | ขออนุมัติกู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร วงเงิน 7,824 ล้านบาท ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๙๑๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนความจำเป็นในการค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำหรับวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ในส่วนที่เหลือ ให้ กทพ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนการดำเนินงานและแผนเบิกจ่ายเป็นลำดับแรกต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28132 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ การแก้ไขปัญหาสมาชิก กบข. ในเรื่องบำนาญ โดย ๑.๑.๑ ข้าราชการ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข.) ๑.๑.๑.๑ สมาชิก กบข. ซึ่งประสงค์จะกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑.๒ ผู้ซึ่งจะต้องออกจากราชการไม่ว่ากรณีใด ๆ ยกเว้นกรณีถึงแก่ความตาย ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อวันออกจากราชการ ๑.๑.๑.๓ การแสดงความประสงค์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือวันออกจากราชการ และให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ทั้งนี้ การแสดงความประสงค์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๑.๑.๑.๔ ข้าราชการตามข้อ ๑.๑.๑.๑-๑.๑.๑.๓ ไม่มีสิทธิได้รับเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว โดยให้ กบข. ส่งเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินสำรอง สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว กบข. จะจ่ายคืนให้แก่ข้าราชการผู้นั้น ๑.๑.๑.๕ การส่งเงินเข้าบัญชีเงินสำรองและการจ่ายคืนเงินสะสมและผลประโยชน์ให้เป็นไปตามที่ กบข. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังซึ่งจะกำหนดให้ กบข. นำเงินประเดิม เงินสมทบ เงินชดเชย และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวที่ได้รับคืนจากสมาชิกส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ทั้งนี้ กบข. จะต้องจัดทำรายงานการนำเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวส่งเข้าบัญชีเงินสำรองต่อกรมบัญชีกลางตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดข้อมูลที่ กบข. จะต้องรายงานให้กรมบัญชีกลางทราบ ๑.๑.๑.๖ หากข้าราชการซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือก่อนวันออกจากราชการ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ ๑.๑.๒ ผู้รับบำนาญ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข. แต่ได้ออกจากราชการแล้ว) ๑.๑.๒.๑ หากประสงค์จะขอกลับไปรับบำนาญตามสูตรเดิม (พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔) ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และผู้รับบำนาญจะต้องคืนเงินก่อน (เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว) ที่ได้รับไปแล้วแก่ทางราชการโดยผู้รับบำนาญจะได้รับบำนาญตามสูตรเดิม ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ โดยวิธีหักกลบลบกัน ๑.๑.๒.๒ การหักกลบลบกัน หากมีกรณีที่ผู้รับบำนาญต้องคืนเงิน ให้ผู้รับบำนาญคืนเงินแก่ส่วนราชการผู้เบิกภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำส่งให้กรมบัญชีกลาง โดยเงินที่ส่วนราชการได้รับคืน ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หากมีกรณีที่ต้องคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ กรมบัญชีกลางจะคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ หากมีเงินเหลือ จะนำส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ๑.๑.๒.๓ ผู้รับบำนาญที่ได้แสดงความประสงค์แล้ว เป็นผู้รับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการ แต่หากผู้รับบำนาญมีกรณีที่ต้องคืนเงิน ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว ๑.๑.๒.๔ หากผู้รับบำนาญซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และหากมีกรณีต้องคืนเงิน ให้ส่วนราชการผู้เบิกแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อถอนเงินที่ผู้รับบำนาญคืนให้แก่ส่วนราชการผู้เบิก เพื่อคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด จะกำหนดเรื่องการดำเนินการถอนเงินคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญที่ตายไปก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ๑.๒ เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว รวมทั้งเงินบำนาญส่วนเพิ่ม จากการดำเนินการตามแนวทางที่ให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. โดยสมัครใจสามารถเลือกกลับไปรับบำนาญตามระบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28133 | การประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 47 | ศธ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๗ (47th SEAMEO Council Conference : SEAMEC) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้
๑. Mr. Truong Tan Sang ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้กล่าวเปิดการประชุม โดยย้ำความสำคัญด้านภูมิศาสตร์และการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตในการพัฒนาทวีปเอเชียและโลก โดยการศึกษาและการฝึกอบรมนับเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่สำคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ได้มีพิธีเชิญธงประจำชาติของสหราชอาณาจักรเข้าเป็นสมาชิกสมทบของซีมีโอ พิธีลงนามเอกสารข้อกฎหมายของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิตของซีมีโอ พิธีมอบโล่เกียรติยศด้านการศึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกและผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษา พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการ SEAMEO College ๒. H.E. Prof. Dr. Pham Vu Luan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรมแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาซีเมค และรองประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ ๓. การประชุมวาระเฉพาะ (In-Camera Sessions) รัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของซีมีโอได้รับทราบการติดตามผลการดำเนินงานตามข้อมติสภาซีเมค ๒๕๕๕ การเสนองบประมาณดำเนินการของซีมีโอ ระยะ ๓ ปี การสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบขององค์การซีมีโอของสหราชอาณาจักร ข้อเสนอแผนงานความร่วมมือระหว่างองค์การซีมีโอและอาเซียน แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอ และการอนุมัติของสภาซีเมคเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ของซีมีโอเพื่อให้บรรลุภาพลักษณ์องค์กร “Golden SEAMEO” ๔. การประชุมเต็มคณะ (Plenary Sessions) ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าและการนำเสนอโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ การดำเนินความร่วมมือระหว่างซีมีโอกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มด้อยโอกาสในภูมิภาค ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามประกาศรับสหราชอาณาจักรเข้าเป็นประเทศสมาชิกสมทบของซีมีโอ และได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอต่อการพัฒนาในระดับภูมิภาคกับประเทศสมาชิกซีมีโอ ทั้ง ๑๑ ประเทศ ๕. การประชุม Policy Forum หัวข้อ “Lifelong Learning : Policy and Vision” ได้มีการนำเสนอเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตในภูมิภาค โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ ศ.ดร. สุมาลี สังข์ศรี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้ร่วมเป็นวิทยากรนำเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการของการเรียนรู้ตลอดชีวิต นโยบาย และข้อเสนอยุทธศาสตร์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศไทย ๖. การประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษา (Ministerial Round-table Meeting) ที่ประชุมได้เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษและประเด็นด้านการศึกษาภายหลังปี ๒๕๕๘ การเพิ่มกิจกรรมที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอจะดำเนินการ การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานการดำเนินงานในการสำรวจสื่อการเรียนการสอนด้าน ICT และการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสื่อการเรียนการสอน การจัดให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและการจัดทำมาตรฐานศึกษาระหว่างประเทศสมาชิก และการจัดเวทีสำหรับผู้นำในประเทศ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า การจัดทำความตกลงในเรื่องการแลกเปลี่ยนครูของสองประเทศนั้น เป็นโอกาสที่ดีที่ครูจะได้รับประสบการณ์ในการทำงานในต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน และคาดว่าจะสามารถจัดให้มีการลงนามภายใน ๑-๒ เดือนนี้ สำหรับเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ฝ่ายไทยมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนการเปิด-ปิดภาคเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของนักเรียน/นักศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นว่าควรมีการพิจารณากำหนดประเภทวีซ่าสำหรับนักเรียนให้สอดคล้องในแต่ละหลักสูตรของการศึกษาด้วย ๘. ในปี ๒๕๕๘ ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘ แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์มีกำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี ในปีเดียวกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยจะดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
28134 | บัญชีเงินฝากรายได้แผ่นดินของกระทรวงการต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารในต่างประเทศ | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อมูลสถานะปัจจุบันของบัญชีเงินฝากรายได้แผ่นดินของกระทรวงการต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารในต่างประเทศ ซึ่ง ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ส่วนราชการในต่างประเทศมียอดเงินรายได้แผ่นดินในบัญชีเงินฝากธนาคารในสกุลต่าง ๆ รวมประมาณ ๖,๒๑๒,๖๘๐,๒๘๘ บาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยสรุปสาระสำคัญและผลประโยชน์ ดังนี้ ๑.๑ รายได้แผ่นดินในต่างประเทศมาจาก (ก) ค่าธรรมเนียมการกงสุล ซึ่งประกอบด้วยค่าธรรมเนียมในการตรวจลงตรา การออกหนังสือเดินทาง และนิติกรณ์ต่าง ๆ และ (ข) เงินงบประมาณเหลือจ่ายที่โอนเข้าเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อสิ้นปีงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังของส่วนราชการในต่างประเทศ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๔ ๑.๒ กระทรวงการต่างประเทศได้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ในการหักโอนเงินงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้แผ่นดินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ ๑.๓ ส่วนราชการในสังกัดในต่างประเทศได้ฝากเงินรายได้แผ่นดินไว้ในบัญชีเงินฝากประเภทต่าง ๆ ทั้งที่มีดอกเบี้ยและไม่มีดอกเบี้ย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพความคล่องตัวในการดำเนินภารกิจและการหักโอนเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเงินรายได้ของกระทรวงการต่างประเทศในบัญชีเงินฝากธนาคารในต่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนอย่างรุนแรง
|
|||||||||||||||||||||||||||
28135 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งมองโกเลียว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งมองโกเลียว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Mongolia on the Establishment of the Consultative Body on Bilateral Cooperation) มีสาระสำคัญเพื่อจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีเพื่อหารือ ทบทวนและผลักดันความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การค้า การลงทุน ธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความร่วมมือทางวิชาการให้มีความเป็นรูปธรรม ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเติมคำว่า “years” ในบันทึกความเข้าใจฉบับภาษาอังกฤษ ในบรรทัดแรกของ Article 5 หลังคำว่า “two” ก่อนการลงนามด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28136 | ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ได้แก่ การศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มน้ำโขง และการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน (The Study on Sustainable Management and Development of the Mekong River including Impacts by Mainstream Hydropower Project) หรือ Council Study เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้ประเทศสมาชิกทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ จากโครงการพัฒนา ทั้งเชิงบวกและลบให้มีความชัดเจนก่อนการพัฒนาโครงการใด ๆ โดยการศึกษาประกอบด้วย ๖ เรื่อง คือ การชลประทาน การเกษตรและการใช้ที่ดิน การใช้น้ำในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โครงสร้างการป้องกันน้ำท่วม ไฟฟ้าพลังน้ำ และการคมนาคมขนส่ง ซึ่งการศึกษาจะเริ่มในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคณะทำงานด้านวิชาการของแผนงานพัฒนาลุ่มน้ำเป็นผู้ดำเนินการศึกษา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งได้อนุมัติงบประมาณบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (Operation Expenses Budget for 2013) จำนวน ๓,๘๔๘,๔๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ และสนับสนุนให้ประเทศภาคีสมาชิกเพิ่มการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในอนาคต เนื่องจากมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. สถานที่จัดประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๒๐ ให้เปลี่ยนไปจัดที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๙๓๗,๐๐๐ บาท ให้กรมทรัพยากรน้ำใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตามมติที่ประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๑๙ ที่เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธานโดยเร็วต่อไป โดยให้ติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28137 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๗ กับถนนภายในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28138 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28139 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป และการประชุมภาคธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับรองเอกสารมาตรการสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community : AEC) ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ และปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ พิจารณาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และเห็นว่าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์และประเทศมาเลเซียซึ่งจะเป็นประธานอาเซียนในปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ ควรเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักเพื่อให้การดำเนินการสู่ AEC เป็นไปตามกำหนด รวมทั้งอาเซียนจะเริ่มหารือแนวทางการดำเนินการด้านเศรษฐกิจภายหลังปี ๒๕๕๘ เพื่อให้ผู้นำอาเซียนพิจารณาในปี ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสทางเศรษฐกิจของอาเซียน (Senior Economic Officials Meetings : SEOM) และคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (Committee on ASEAN Trade in Goods Agreement : CCA) เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานในเรื่องมาตรการที่มิใช่ภาษีของอาเซียน (Work Programme on ASEAN NTMs) รวมทั้งหารือแนวทางในการแจ้ง ประเมิน และยกเลิกอุปสรรคทางการค้า จัดตั้งกลไกดูแลมาตรการที่มิใช่ภาษีในแต่ละประเทศ และปรับปรุงฐานข้อมูลเรื่อง NTM ของอาเซียน โดยใช้ระบบการจำแนกมาตรการ NTMs ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เพื่อให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณารับรองระหว่างการประชุม AEM ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๓. ตามที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ (วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) ซึ่งความตกลงฯ กำหนดให้อาเซียนดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายใน ๑๘๐ วันหลังการลงนาม (วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) ขณะนี้อาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทำข้อผูกพันเพื่อผนวกกับความตกลงฯ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้คณะทำงานด้านการค้าบริการ (Coordinating Committee on Services : CCS) ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ ๙ ให้การรับรองในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้ภาคเอกชนหารือร่วมกันในประเด็นและข้อเสนอแนะและเสนอต่อภาครัฐก่อนเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการจัดประชุมหารือร่วมกัน โดยในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers Meeting : AEM) ครั้งที่ ๔๕ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ จะมีการหารือกับภาคธุรกิจสาขาสุขภาพ นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ควรให้สภาธุรกิจของอาเซียน (ASEAN Business Council : ABAC) เป็นกลไกหลักในการดำเนินการหารือกับภาครัฐ ๕. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน (Protocol to Amend Certain ASEAN Economic Agreements) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้ความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ดังกล่าวอ้างอิงถึงความตกลงด้านสินค้าของอาเซียนในปัจจุบัน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) แทนการอ้างอิงความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (Common Effective Preferential Tariff Scheme-ASEAN Free Trade Area : CEPT-AFTA)
|
|||||||||||||||||||||||||||
28140 | ขออนุมัติใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 2956 และ กท. 0456 (แปลง บบส. เดิม) เพื่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. ๒๙๕๖ และ กท. ๐๔๕๖ (แปลง บบส. เดิม) ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้า สำหรับเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อกรมธนารักษ์จะได้พิจารณาอนุญาตต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณโอนเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากรายการค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานพร้อมครุภัณฑ์ประจำอาคาร ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเตรียมการและการศึกษาออกแบบรายละเอียดของสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ) และวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอแก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การใช้ที่ราชพัสดุของส่วนราชการ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๓. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการออกแบบก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ให้เหมาะสม สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มพื้นที่ มีพื้นที่และระบบการจัดเก็บเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่ปลอดภัย ทันสมัย รวมทั้งจะต้องมีพื้นที่สำหรับให้บริการสาธารณะและจัดแสดงสินค้าในเชิงพาณิชย์ (เช่น สินค้า OTOP) ด้วย
|
.....