ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1406 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28101 - 28120 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28101 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความปลอดภัยในการใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะ | สสป | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความปลอดภัยในการใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกรมการขนส่งทางบก บริษัทขนส่ง จำกัด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยระงับการจดทะเบียนรถตู้โดยสารใหม่ให้เป็นรถประจำทางชั่วคราว ระงับการขยายผลมาตรการการใช้ RFID (Radio-frequency identification) จนกว่าจะมีการประเมินประสิทธิผลความคุ้มค่าเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ และจัดตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ ๒. ข้อเสนอด้านการปรับปรุงระบบการกำกับดูแลความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยการจดทะเบียนรถ โครงสร้างและการตรวจสภาพรถ มีมาตรการกำกับพฤติกรรมพนักงานขับรถ มาตรการบังคับใช้กฎหมาย บทลงโทษ รวมทั้งเพิ่มดัชนีด้านความปลอดภัยในแผนประกอบการผู้ประกอบการขนส่ง และมีบทลงโทษที่ชัดเจนกับผู้ประกอบการที่ละเมิดมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งเรื่องของมาตรฐานตัวรถ มาตรฐานพนักงานขับรถ และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ๓. โครงสร้างและบทบาทคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางให้มีนักวิชาการและตัวแทนผู้บริโภคที่ทำงานด้านความปลอดภัยทางถนน และนำเรื่องของ "ความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ" มากำหนดเป็นนโยบาย พร้อมทั้งวางกลไกติดตามกำกับ ประเมินผล และรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ๔. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยผู้ประกอบการต้องดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบก โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย โดยเลือกใช้รถตู้โดยสารสาธารณะที่ได้มาตรฐาน และคัดเลือกพนักงานขับรถที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและผ่านเกณฑ์มาตรฐานพนักงานขับรถ รวมถึงการกำกับดูแล ลงโทษผู้กระทำผิด ๕. มาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยในการใช้รถตู้โดยสารสาธารณะ โดยหน่วยงานหรือองค์กรที่มีเส้นทางรถตู้โดยสารสาธารณะอยู่ในหน่วยงาน ควรมีมาตรการกำกับดูแล เช่น เส้นทางรถตู้สายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ที่มีมาตรการติด GPS (Global Positioning System) บนรถตู้โดยสารสาธารณะทุกคัน เป็นต้น ๖. ข้อเสนอเพื่อสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน โดยหน่วยงานภาครัฐ และแหล่งทุน ต้องสนับสนุนการดำเนินงานที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพให้มีความเข้มแข็ง โดยสนับสนุนทั้งด้านวิชาการ งานวิจัย ทรัพยากร และการอำนวยความสะดวก รวมทั้งภาครัฐต้องมีมาตรการส่งเสริม หรือสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดภาษีสำหรับรถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่ หรือหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุนด้านความปลอดภัยได้ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะต่อสภาที่ปรึกษาฯ ในปีงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28102 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (นายภูวเนตร ทองรุ่งโรจน์) | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายภูวเนตร ทองรุ่งโรจน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชลประทาน (ด้านจัดสรรน้ำและบำรุงรักษา) (วิศวกรชลประทานทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28103 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์ตู้โดยสารส่วนกลาง | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเช่ารถยนต์ตู้โดยสารส่วนกลาง ขนาด ๑๒ ที่นั่ง ปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า ๒,๔๐๐ ซีซี ระยะเวลาการเช่า ๕ ปี จำนวน ๓ คัน ในวงเงิน ๔,๔๕๕,๐๐๐ บาท โดยให้ก่อหนี้ผูกพันตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวตามระยะเวลาการเช่า และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าเช่าตามสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28104 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561) | นร12 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินภารกิจของหน่วยงานต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยได้เป็น ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เสริมสร้างวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศ และพัฒนาระบบการจัดการข้อร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาหน่วยงานของรัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง พัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ เพิ่มผลิตภาพในการปฏิบัติราชการ โดยการลดต้นทุนและส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วยกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาครัฐ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ ประกอบด้วยกลยุทธ์การออกแบบและพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และปรับปรุงความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การทบทวนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม ถ่ายโอนภารกิจงานและกิจกรรมที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเองให้ภาคส่วนต่าง ๆ และส่งเสริมการบริหารราชการระบบเปิดและการสร้างเครือข่าย ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วยกลยุทธ์การส่งเสริมและวางกลไกสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชัน ๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบบริหารงานของหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐของประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนในด้านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน (Talent mobility) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งสองทางจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนและจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในสายงานประเภทบริหารและสายงานประเภทวิชาการให้มีความรู้ความเข้าใจในงานของอีกสายงานด้วย ควรมีแผนในด้านการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเพื่อทดแทนบุคลากรที่จะพ้นไปจากระบบราชการในอนาคต ทั้งจำนวนกำลังคนและสมรรถนะที่ต้องการ เช่น แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession plan) และความก้าวหน้าในอาชีพ (Career path) เป็นต้น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำวิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการประชาชน (e-service) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
28105 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 | ปช | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงาน ป.ป.ช. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด สรุปได้ ดังนี้ ๑. สินทรัพย์ ปี ๒๕๕๔ และปี ๒๕๕๓ จำนวน ๒,๗๐๒,๖๗๑,๖๐๓.๔๖ บาท และ ๒,๓๖๘,๗๗๗,๕๔๐.๓๒ บาท ตามลำดับ ๒. หนี้สิน ปี ๒๕๕๔ และปี ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐๕,๙๐๗,๗๕๑.๖๓ บาท และ ๔๒,๔๑๙,๗๓๙.๕๒ บาท ตามลำดับ ๓. รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๔ และปี ๒๕๕๓ จำนวน ๒,๕๙๖,๗๖๓,๘๕๑.๘๓ บาท และ ๒,๓๒๖,๓๕๗,๘๐๐.๘๐ บาท ตามลำดับ ๔. สินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๔ และปี ๒๕๕๓ จำนวน ๒,๕๙๖,๗๖๓,๘๕๑.๘๓ บาท และ ๒,๓๒๖,๓๕๗,๘๐๐.๘๐ บาท ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28106 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๑ เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าทำให้ระบบไฟฟ้ามีขีดความสามารถรองรับไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระดับกระแสลัดวงจรในระยะยาว โดยการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในเขตจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ระบบภาคตะวันออกตอนบน และส่วนที่ ๒ ระบบภาคตะวันออกตอนล่าง โดยก่อสร้างสายส่ง รื้อสาย ย้ายสาย เชื่อมต่อสายส่ง ปรับปรุงการจัดวางสายส่งใหม่ ก่อสร้างและขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งเพิ่มเติมระบบสื่อสารที่เกี่ยวข้อง และงานปรับปรุงระบบเบ็ดเตล็ด วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๙๘๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๙,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓.๖ ล้านบาท ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องในระบบการเงินภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และควรติดตามการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer : IPP) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด และจัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินงานโครงการฯ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และควรเพิ่มช่องทางให้โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (Very Small Power Producer : VSPP) ได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าตามโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28107 | มาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) | อก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบซึ่งมีต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมแก้ว เซรามิก ซีเมนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ กลุ่มอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง สำหรับการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพการผลิต และพัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ เพิ่มรายได้ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน ประกอบด้วย โครงการภายใต้แผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม และแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ รวม ๑๔๙ โครงการ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (๓) มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และ ๓ และ (๔) มาตรการส่งเสริมการลงทุนแก่ SMEs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เฉพาะมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการได้เอง ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับ SMEs มาตรการด้านการส่งเสริมการลงทุน และการยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตและค่าบริการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ทางภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ในปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๓. สำหรับมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการนั้น ให้คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) และการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปี และโครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน และการประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund for SMEs) ๔. เห็นชอบกรอบแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาของภาคอุตสาหกรรม (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) (การเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพด้วยความรู้และปัญญา) เพื่อยกระดับโครงสร้างการผลิตด้วยการเพิ่มผลิตภาพการผลิต พัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และเพิ่มรายได้ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๕. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการดังกล่าวว่าสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างไร เพื่อให้สามารถปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ SMEs ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28108 | ขออนุมัติกู้เงินภายในประเทศสำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลา 20 ตัน/เพลา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินภายในประเทศ วงเงินรวม ๒,๓๔๔,๗๗๓,๔๖๘.๕๑ บาท สำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน ๒๐ คัน น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน/เพลา พร้อมเครื่องอะไหล่ โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและทรัพยากรเพื่อรองรับการจัดซื้อจัดจ้างและการติดตามและประเมินโครงการและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ในภาพรวม โดยให้ความสำคัญในแนวทางการเพิ่มรายได้โดยเฉพาะรายได้ในเชิงพาณิชย์ และรายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ดิน การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดหารถจักร เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรถจักรที่มีความพร้อมใช้งานของ รฟท. ในภาพรวม การเร่งดำเนินการตามแผนการก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานของรถจักร ตลอดจนประสานกับกระทรวงการคลังในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของโครงการเพิ่มขึ้นในอนาคต และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับแผนการเบิกจ่ายในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28109 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 1/2556 | นร11 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๙ มกราคม-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปฏิรูปโครงสร้างรูปแบบใหม่ (APEC New Strategy for Structural Reform: ANSSR) ประกอบด้วย เป้าหมาย ANSSR เอเปคกำหนดให้สมาชิกแจ้งสาขาที่มีความสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างภายในประเทศของตน ภายในปี ๒๕๕๔ การรายงานผลการดำเนินงานครึ่งแผนงาน โดยให้แต่ละเขตเศรษฐกิจจัดทำรายงานติดตามการประเมินผลการพัฒนาการปฏิรูปโครงสร้างของตน โดยจัดทำรายงานใน ๒ ช่วงเวลา คือ ในปี ๒๕๕๖ เพื่อติดตามผลครึ่งแผนงาน และการรายงานผลเมื่อครบกำหนดในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับ Micro-level รายงานความก้าวหน้าการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับ Macro-level ตลอดจนการขับเคลื่อนในระดับโครงการของประเทศไทยที่ได้รับสนับสนุนจากเอเปค ในโครงการ Tax Incentive-law Reform for the Reinforcing of SME’s Cooperation & Networking and the Elevating of Entrepreneurs’ Efficiency in APEC Economies มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อแนะนำในการออกหรือแก้กฎหมายสนับสนุนการสร้างความร่วมมือและเครือข่าย SME โดยเปรียบเทียบวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศภายในประเทศสมาชิกเอเปค ๒. สรุปแผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง ประกอบด้วย (๑)Competition Policy and Law Group (CPLG) ผู้ประสานงานหลัก คือ ญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบและนโยบายด้านการแข่งขันของภูมิภาค (๒) Competition Policy ผู้ประสานงานหลัก คือ เครือรัฐออสเตรเลีย ได้กำหนดแผนงานจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเน้นการให้ความช่วยเหลือประเทศในทวีปเอเชียในการปฏิบัติตามแผนงาน ANSSR (๓) Corporate Law and Governance ผู้ประสานงานหลัก คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยกลุ่มเพื่อนประธานได้เตรียมจัดทำรายงานเกี่ยวกับบทเรียนที่ได้รับจากวิกฤติการเงินและจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒ ต่อไป (๔) Ease of Doing Business ผู้ประสานงานหลัก คือ สหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนให้สมาชิกบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตัวชี้วัดของธนาคารโลกในการดำเนินธุรกิจให้มีความสะดวก รวดเร็ว และลดต้นทุนได้ร้อยละ ๒๕ ภายในปี ๒๕๕๘ (๕) Public Sector Governance ผู้ประสานงานหลัก คือ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เน้นถึงสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารราชการ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการของรัฐ การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ การส่งเสริมความโปร่งใส และการเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านคุณธรรมและจริยธรรม (๖) Regulatory Reform ผู้ประสานงานหลัก คือ ญี่ปุ่น ได้รายงานผลการศึกษาเรื่องการลงทุนสีเขียวที่ศึกษากรณีความสำเร็จจากการกำหนดกฎระเบียบการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ๓. การจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคประจำปี (APEC Economic Policy Report : AEPR) ประกอบด้วย รายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๖ โดยไต้หวันได้กำหนดให้เรื่องการส่งเสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือทางการเงินและการคลังเป็นหัวข้อในการจัดทำรายงานปี ๒๕๕๖ และรายงานเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ๒๕๕๗ ที่ประชุมเห็นชอบให้เรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการปฏิรูปกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) เป็นหัวข้อสำหรับการจัดทำรายงานปี ๒๕๕๗ ๔. แนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องกฎระเบียบ Good Regulatory Practices สหพันธรัฐรัสเซียเสนอแนวคิดในการจัดทำ Web Portal ที่รวบรวมแนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องกฎระเบียบ Good Regulatory Practices ของประเทศสมาชิก เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและตัวอย่างให้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ๕. ข้อเสนอใหม่จากประเทศสมาชิก เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฮ่องกง) เสนอการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับกระบวนการที่จะลดขั้นตอนในการตรวจสอบและออกใบรับรองเอกสารโดยการใช้ Hague Apostille Convention ซึ่งหากกระบวนการนี้ได้รับการยอมรับในประเทศสมาชิกและได้มาตรฐานหลักสากลจะทำให้การค้า การดำเนินการข้ามแดนง่ายขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
28110 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาการมีประโยชน์ได้เสียของกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ กำหนดให้ผู้บริหารต้องไม่เป็นหรือภายในระยะเวลาสามปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุนหรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอาจใช้ดุลพินิจในการรับผู้มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกตามมาตรา ๙ (๕) เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ ๑.๖ กำหนดยกเว้นการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหาร และแต่งตั้งกรรมการที่มาจากบุคคลในบัญชีรายชื่อ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยให้การได้มาและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรารักษาการ โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ ๒. ให้กระทรวงการคลังเสนอหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหารและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่ได้รับการยกเว้นตามร่างมาตรา ๑๐ ที่มีความชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นเพื่อรองรับการประกาศใช้ควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้สามารถแต่งตั้งคณะทำงานต่าง ๆ หรือว่าจ้างที่ปรึกษาขึ้นเพื่อดำเนินการดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
28111 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ประกอบด้วย สถานที่และวันในการจัดแสดง อำนาจหน้าที่ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ภาระหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ รายได้ การจัดงานแสดงอื่น ๆ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก การยกเลิก การเลื่อน หรือการเปลี่ยนสถานที่จัดงาน/เหตุสุดวิสัย การบังคับใช้สัญญา การระงับข้อพิพาท การใช้ชื่อ คำย่อ สัญลักษณ์ หรือ ธง และภาคผนวกที่ระบุถึงภาระหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพในเรื่องการส่งเสริมการจัดงานฯ การตรวจลงตรา การยกเว้นภาษี ศุลกากร การรักษาความปลอดภัย โรงแรม การขนส่งและที่พัก การประกันภัย ข้อกำหนดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คุณลักษณะของสถานที่จัดงาน เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนลงนามในความตกลงฯ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลงประเทศเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ในนามของรัฐบาลไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลงนามในความตกลงฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรแก้ไขตัวบทของร่างความตกลงฯ โดยตัดข้อความ “of their exemption” ออก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับงบประมาณรองรับการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ซึ่งประมาณการว่าจะใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น ๓๗๓.๗๕๐ ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับแผนการใช้จ่ายมาดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๖๗.๗๕๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๒๒๖ ล้านบาท และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) จำนวน ๘๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับ ติดตามและประสานการดำเนินการต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายไทยให้เป็นไปตามพันธกรณีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28112 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์ แห่งมองโกเลียว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างความตกลงระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์แห่งมองโกเลียว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ระบุลำดับความสำคัญของสาขาที่จะร่วมมือ ได้แก่ ด้านอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ นวัตกรรม และยา ๑.๑.๒ รูปแบบความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานวิทยาศาสตร์ การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ การจัดสัมมนาและเวทีหารือ การจัดนิทรรศการผลงานด้านนวัตกรรม การดำเนินโครงการร่วมด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและประยุกต์ การจัดตั้งห้องปฏิบัติการและหน่วยวิจัยร่วมกัน และรูปแบบอื่น ๆ ที่ตกลงร่วมกัน ๑.๑.๓ ค่าใช้จ่ายด้านการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จะครอบคลุมในส่วนของภาคีผู้ส่งจะรับภาระค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างเมืองหลวงของคู่ภาคี และภาคีผู้รับหรือองค์กรคู่ความร่วมมือจะต้องครอบคลุมค่ายานพาหนะ ค่าอาหาร และที่พักในประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสาขาความร่วมมือภายใต้ร่างความตกลงฯ ควรครอบคลุมสาขาความร่วมมือด้านแร่ธาตุ เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาร่วมด้านแร่ธาตุ โดยเฉพาะโลหะมูลฐานเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและการประชุมนานาชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
28113 | แนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานราชการนำ “มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard)” ที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ดำเนินการ ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายของการบูรณาการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Connected Government) ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ๑.๒ ให้ สรอ. จดทะเบียนชื่อและเป็นผู้ถือครองโดเมนเนม ภายใต้ชื่อ “data.go.th” และ “apps.go.th” ในการให้บริการเว็บไซต์ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) และเป็นศูนย์กลางของแอพพลิเคชั่นภาครัฐ (Government Application Center) ตามลำดับ ๑.๓ ให้เว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ซึ่งอยู่ในรายการที่องค์การสหประชาชาติจะทำการตรวจประเมินดำเนินการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ สรอ. ทำการประเมินเว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ว่ามีส่วนใดที่จะต้องพัฒนา/ปรับปรุง ตามข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาแนะนำและสนับสนุนการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อให้ทันต่อการตรวจประเมินขององค์การสหประชาชาติ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนบุคลากร เครื่องมือ เทคโนโลยี ในการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจประเมินฯ ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานความก้าวหน้าการพัฒนามาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงานดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ๔. สำหรับภาระงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทางมาตรฐานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวให้แก่กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับหน่วยงานที่เหลือ ให้พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม ตามความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28114 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี) | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กลุ่มที่ปรึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28115 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขข้อ ๔ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายเป็นรองประธานกรรมการอีกหนึ่งคน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการอีกตำแหน่งหนึ่ง จะมีผลทำให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญา (คทป.) มีรองประธานกรรมการสองคน จึงจำเป็นต้องกำหนดรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง และรองประธานกรรมการคนที่สองให้ชัดเจน รวมทั้งควรแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการประชุมของ คทป. ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๗ วรรคสอง ของระเบียบฯ เพื่อให้รองรับกันด้วยว่า “ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการคนที่หนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการคนที่หนึ่งไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการคนที่สองทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการทั้งสองคนไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมฯ นอกจากนี้ เนื่องจากองค์ประกอบของ คทป. มีจำนวนมาก การใช้รูปแบบการจัดเรียงลำดับโดยแยกกรรมการโดยตำแหน่งแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจนจะทำให้เนื้อหาไม่กระชับ ซึ่งแตกต่างไปจากรูปแบบแบบการร่างกฎหมายของสำนักงานฯ ที่จะจัดเรียงลำดับตำแหน่งกรรมการตามประเภทของกรรมการซึ่งจะทำให้เนื้อหากระชับขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
28116 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยะ จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเร่งรัดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล สู่นิคมอุตสาหกรรมนิเวศให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากอุตสาหกรรมต่อชุมชนบริเวณโดยรอบ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28117 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการครบถ้วน ตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเร่งรัดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดสู่นิคมอุตสาหกรรมนิเวศให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากอุตสาหกรรมต่อชุมชนบริเวณโดยรอบ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28118 | การเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ให้แก่ข้าราชการตำรวจและข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษา ความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือนสามัญ ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี [นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)] | นร05 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ให้แก่ข้าราชการตำรวจและข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี [นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)] จำนวน ๑๑๕ คน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจและข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานระดับดีเด่น จำนวน ๒๙ คน (เลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น) และผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าระดับดีเด่น จำนวน ๔ คน (เลื่อนขั้นเงินเดือนทั้งปีไม่เกิน ๑.๕ ขั้น) รวม ๓๓ คน และส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงกลาโหมตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ๒. เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๘๒ คน และส่งให้กระทรวง กรมต้นสังกัดตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก ประกอบด้วย ผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานระดับดีเด่น จำนวน ๖๖ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๔ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณ ให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ และเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่น (ตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงาน)] และผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าระดับดีเด่น จำนวน ๑๖ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๓ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณ ให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ]
|
|||||||||||||||||||||||||||
28119 | รายงานผลการประกวดราคาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ | สผ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบราคาค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ในวงเงินรวม ๑๒,๒๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลประกวดราคาที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๒๓๖,๓๑๑,๔๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๘๐๔,๗๐๘,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๙,๒๓๘,๙๘๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยอนุมัติให้ขยายเวลาดำเนินการถึงปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างฯ ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิม และระยะเวลาในการดำเนินงานก่อสร้าง ๙๐๐ วัน ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ อย่างเคร่งครัด การรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการก่อสร้างฯ โดยแจ้งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28120 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลนาทอง อำเภอเชียงยืน และตำบลเขื่อน ตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....