ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1356 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 27101 - 27120 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27101 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. .... | สธ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
27102 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยในส่วนของแนวทางการจัดทำงบประมาณฯ ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานเพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพหลักบูรณาการยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยร่วมกันทบทวน/ปรับปรุง เป้าหมาย กลยุทธ์ ตัวชี้วัดผลสำเร็จของยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ของประเทศ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และปีงบประมาณก่อนหน้าและเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลการก่อหนี้และการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว จากระบบ GFMIS ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไปประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ (เรื่อง มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๖) ๓. ในการดำเนินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งกลุ่มจังหวัดและจังหวัดยึดหลักความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ประเทศที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงตัวชี้วัดในระดับจังหวัดด้วย
|
||||||||||||||||||
27103 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปี พ.ศ. 2556 และ 2557 เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จำนวน ๑ วัน เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่อง ๕ วัน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖-วันพุธที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ (วันขึ้นปีใหม่) เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน
|
||||||||||||||||||
27104 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) คือ เสรีนำเข้าไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้าอัตราภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ นอกโควตาร้อยละ ๘๐ และให้มีการบริหารการนำเข้าปีต่อปี โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ๑.๒ รับทราบแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองปี ๒๕๕๗ และการเปิดตลาดนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการเพาะปลูกถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพการเพาะปลูกถั่วเหลืองในประเทศให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จนถึงการจัดจำหน่าย การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี การดูแลและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองในประเทศเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร การจัดหาความรู้และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่เกษตรกร การป้องกันและกำจัดการระบาดของหนอนหัวดำด้วยวิธีการผสมผสานหลาย ๆ เทคโนโลยี และการตรวจสอบการนำเข้ามะพร้าวอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้มีแมลงศัตรูมะพร้าวติดเข้ามาในประเทศ การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่ที่เหมาะสมหรือหลังการปลูกข้าว รวมทั้งสนับสนุนแหล่งน้ำชลประทาน เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพื่อเป็นทางเลือกของเกษตรกรในการปลูกพืชที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเป็นการช่วยปรับปรุงบำรุงดิน ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
27105 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5 และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๕ และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๖-๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ กรุงเทพมหานคร ๑.๑ การประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคที่สำคัญของรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) แนวระเบียงเศรษฐกิจและแนวทางการขับเคลื่อนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่สู่การปฏิบัติ และได้มีการหารือเพื่อให้เสนอแนะและให้การรับรองเบื้องต้นต่อกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ให้การรับรองต่อไป ๑.๒ การประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่ประชุมได้นำเสนอโครงการตัวอย่างของแต่ละประเทศสมาชิกที่ได้บรรจุอยู่ในกรอบการลงทุนของภูมิภาคให้แก่นักลงทุน องค์การระหว่างประเทศ และภาคีพัฒนาต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและระดมทุนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ของประเทศสมาชิก ๒. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CL) ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและภาคเอกชนภายใต้กรอบ MJ-CL ครั้งที่ ๖ (6th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) ความก้าวหน้าและการดำเนินงานในอนาคตการจัดทำ RIF ภายใต้แผนงาน GMS โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ข้อเสนอของประเทศญี่ปุ่นในการร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการลำดับความสำคัญสูงภายใต้แผนที่นำทางการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง การเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ โดยต้องสอดคล้องกันในระดับอนุภูมิภาค การบูรณาการประเด็นการพัฒนาใหม่เข้าไว้ในแผนที่นำทางฯ เช่น การพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรม การจัดตั้งคณะทำงานย่อยดูแลเรื่องกฎหมายทางธุรกิจ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าที่สำคัญของแผนที่นำทางฯ ภายใต้ความร่วมมือ MJ-CL ต่อผู้นำประเทศ และการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงาน MJ-CL ครั้งที่ ๖ ที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการประชุมระดับผู้นำของแผนงาน MJ-CL ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ๓.๑ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการระดับชาติในการเร่งรัดงานสำคัญ ความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน และแนวทางการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ การสนับสนุนจาก ADB ในการพัฒนาโครงการโดดเด่น รวมทั้งข้อเสนอขอรับการสนับสนุนโดยสภาธุรกิจ IMT-GT ๓.๒ การประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าจากการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๙ ที่รัฐเนกรีเซมบิลัน ประเทศมาเลเซีย ข้อเสนอความร่วมมือระยะต่อไป รับทราบข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ และความช่วยเหลือจาก ADB ด้านเมืองสีเขียวและการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ๓.๓ การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าโครงการโดดเด่น ความก้าวหน้าการจัดตั้งสำนักงานถาวรของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Sub-regional Cooperation : CIMT ที่นครปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และแนวทางความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมเป็นประเด็นนำในการประชุมระดับผู้นำ IMT-GT ครั้งที่ ๘ ที่ประเทศเมียนมาร์ ๓.๔ การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ข้อเสนอโครงการจากที่ประชุมมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ข้อเสนอขอความอนุเคราะห์จากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ การนำผลการหารือในการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการเป็นแนวทางการดำเนินการ รวมทั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ ที่เกาะซาบัง จังหวัดอาเจห์ เกาะสุมาตรา ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
27106 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจ อิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ 1 | กก | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๑ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๑ จัดคู่ขนานกับงานแสดงนิทรรศการท่องเที่ยว ITE HCMC 2013 ภายใต้หัวข้อ “๕ ประเทศ ๑ จุดหมายปลายทาง” (5 Countries one destination) เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๕ โดยมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกทั้ง ๕ ประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าร่วมการประชุม ๒. รัฐมนตรีท่องเที่ยวทั้ง ๕ ประเทศพึงพอใจต่อจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคในปี ๒๕๕๕ และตั้งเป้าหมายให้จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในอัตรา ๑ เท่าตัวทุก ๆ ปี โดยที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการใช้ ACMECS Single visa ว่า จะเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และได้แสดงความยินดีต่อราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาในการนำ ACMECS Single visa มาใช้และขอทราบผลการดำเนินงาน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการส่งเสริมการเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยวที่มีอยู่ ทั้งเส้นทางบก (รวมทั้งทางรถไฟ) ทางอากาศ และทางน้ำ และให้พัฒนาการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ คือ พุกาม-เชียงใหม่-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์-เสียมราฐ-เว้ ให้มีการส่งเสริมการตลาดร่วมกัน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกัน และส่งเสริมให้มีมาตรฐานความปลอดภัยนักท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนให้มีการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ๔. ที่ประชุมรับรองแผนปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวกรอบ ACMECS 2013-2015 ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง การเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และมาตรฐานการบริการ และการจัดตั้งกลไกดำเนินการเพื่อให้ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ๕. ที่ประชุมมีมติให้จัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ทุก ๒ ปี โดยประเทศที่เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว และจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสจัดคู่ขนานกับการประชุมรัฐมนตรี สำหรับการประชุมคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวจัดเป็นประจำทุกปี โดยจัดคู่ขนานกับการประชุม GMS หรือ ASEAN ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๒ จะจัดขึ้นในปี ๒๕๕๘ โดยสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพ ๖. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Mr. Hoang Tuan Anh) ในเรื่องการแลกเปลี่ยนกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย และการจัดทำความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและด้านกีฬา
|
||||||||||||||||||
27107 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง และนายนพดล เภรีฤกษ์) | นร09 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๒. นายนพดล เภรีฤกษ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
27108 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เฉพาะที่จะดำเนินการในพื้นที่ถนนสายหลัก ในวงเงินลงทุนรวม ๘,๘๙๙.๕๘ ล้านบาท โดยให้ กฟน. เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณูปโภคทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินในคราวเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนฯ เพิ่มความปลอดภัย และปรับสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของหน่วยงานอื่นที่เห็นควรให้ กฟน. ทบทวนแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๖๕ ที่จะดำเนินการในอนาคต และประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่จะดำเนินการปรับปรุงระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดินตามแผนแม่บทฯ ตลอดจนการวางแผนและกำหนดงบประมาณสำหรับการลงทุนดังกล่าวร่วมกัน และให้ กฟน. กำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินแผนงานฯ อย่างใกล้ชิดและประหยัด รวมทั้งเร่งประสานงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการดำเนินงานนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการตามแผนงานฯ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงภูมิทัศน์เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ปัจจุบันยังมีหลายพื้นที่ที่มีการติดตั้งระบบสายไฟฟ้าอากาศอยู่ในระดับความสูงที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับไปพิจารณาปรับแผนงานเพื่อเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน และจากกรณีปัญหากระแสไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น จึงควรมีการพิจารณาจัดทำแผนเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจัดทำระบบสำรองเพื่อลดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้น้อยลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
27109 | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกอบด้วย ๑๑ โครงการ ๓ แผนงาน วงเงินลงทุนรวม ๑๐๓,๑๓๐ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินลงทุนและร่วมลงทุนรวม ๓๒,๗๓๒ ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๓๕,๘๖๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๒ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานทดแทนอย่างละเอียดรอบคอบ การควบคุมการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ การพิจารณาประเมินแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลโครงการลงทุนต่าง ๆ และพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาทั้งในกรณีการวิจัยพัฒนาต้นแบบ การวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการขยายผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การกำหนดทางเลือกการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน การคิดค่าไฟฟ้าแบบเหมารวม (package) ที่เหมาะสม และการใช้พลังงานทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย เป็นต้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างภาษี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
27110 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วงเงิน ๓๘,๑๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยใช้แหล่งเงินกู้จากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ทั้งหมด และให้ รฟม. รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรมีการประสานกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีพื้นที่ว่างเปล่าตามแนวสายทางเพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารการใช้พื้นที่เพื่อเป็นสถานที่จอดรถรองรับการเปลี่ยนแปลงการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมเพิ่มเติม โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อภายในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ และควรเป็นรูปแบบที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อฐานะการเงินของ รฟม. และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. และภาระทางการเงินของภาครัฐในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ ในช่วงก่อนดำเนินโครงการฯ รฟม. จะต้องพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาต้นทุนทางการเงินของโครงการฯ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในช่วงระยะการดำเนินโครงการก่อสร้าง ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยยึดความปลอดภัยและควบคุมป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณารูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่มีความเหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อให้โครงการฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการพิจารณารูปแบบการลงทุนฯ ควรพิจารณารูปแบบที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อและใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของประชาชน และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. รวมทั้งภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๓ สำหรับการขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และให้ดำเนินการจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาแบบแข่งขันราคานานาชาติ นั้น ให้ รฟม. เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ๒. ในส่วนของการดำเนินการด้านการเงิน (financing) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
27111 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎร 5 หมู่บ้านในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางร้องเรียนขออพยพ | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน (บ้านห้วยคิง หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่เมาะ บ้านหัวฝาย หมู่ที่ ๑ บ้านดง หมู่ที่ ๒ บ้านสวนป่าแม่เมาะ หมู่ที่ ๗ และบ้านหัวฝายหล่ายทุ่ง หมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรและสนับสนุนการปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการดำเนินการอพยพราษฎรที่เป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ไม่อพยพออกจากพื้นที่ และเห็นควรให้คณะกรรมการที่กระทรวงพลังงานจะแต่งตั้งเพื่อดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พิจารณาการใช้พื้นที่ดังกล่าวอย่างรอบคอบ และให้ กฟผ. จัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ราษฎรได้รับค่าชดเชยและอพยพออกจากพื้นที่นั้นอย่างรอบคอบและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของราษฎรและผู้มีส่วนได้เสียในบริเวณใกล้เคียงที่มีแนวโน้มที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโรงไฟฟ้าแม่เมาะเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อจัดทำแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาอพยพราษฎรอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิมของราษฎรกลุ่มเดิม หรือการย้ายเข้าพื้นที่ของราษฎรกลุ่มใหม่ที่ชัดเจน และมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และสวนป่า (ป่าสัก) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่รองรับการอพยพเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ตลอดจนพิจารณาแนวทางการทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อป้องกันการขออพยพในอนาคต และจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้จากการอพยพของประชาชนในการพัฒนาเป็นแนวป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม (Buffer zone) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ กฟผ. จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับราษฎรที่ยืนยันไม่ต้องการอพยพให้ชัดเจนเพื่อเป็นการยอมรับร่วมกันว่า พื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน มีความเหมาะสมและได้รับความเห็นชอบจากการประชาคมหมู่บ้านแล้ว หากในอนาคต กฟผ. มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินของราษฎร กฟผ. จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และต้องดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ กฟผ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านงบประมาณ จำนวน ๒,๙๗๐.๕ ล้านบาท โดยให้ กฟผ. ประสานงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และให้ กฟผ. หารือร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อพิจารณาข้อตกลงด้านงบประมาณที่เป็นค่าชดเชยต้นสักของ อ.อ.ป. ในพื้นที่รองรับการอพยพและพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินและทบทวนสถานภาพความเป็นหมู่บ้านของทั้ง ๕ หมู่บ้าน ในกรณีจำนวนครัวเรือนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านเดิมมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะคงสถานภาพเป็นหมู่บ้านภายหลังการอพยพของครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านแล้ว โดยพิจารณากำหนดแนวทางการโอนครัวเรือนที่เหลืออยู่ไปสมทบร่วมกับหมู่บ้านอื่น หรือพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการครัวเรือนที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับแนวทางการปกครองในระดับหมู่บ้านต่อไป ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบประปา ในพื้นที่ของครัวเรือนที่ขออพยพ เพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิม สำหรับพื้นที่ของครัวเรือนที่ยืนยันไม่ต้องการขออพยพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐานดังกล่าวให้กับครัวเรือนในพื้นที่ต่อไปตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับจากภาครัฐ |
||||||||||||||||||
27112 | โครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ 3 | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ ๓ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๑๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๗ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓๓๓.๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการขยายและปรับปรุงระบบไฟฟ้า การทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedge) การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงและกำลังผลิตไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การให้ความสำคัญกับการส่งเสริม รณรงค์ และให้ความรู้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน การดำเนินโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีการรอนสิทธิจากพื้นที่เอกชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบและเกิดการต่อต้านโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ในการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นลำดับแรก รวมทั้งบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณารูปแบบการระดมทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
27113 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ 23 สิงหาคม 2555 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556) | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานรับไปพิจารณาร่างรายงานฯ ดังกล่าวอีกครั้ง หากประสงค์จะปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลในร่างรายงานฯ ให้ส่งให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||
27114 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง เพื่อจัดตั้งกลุ่มงานคดีนักท่องเที่ยวในศาลยุติธรรม จำนวน 15 แห่ง | นร04 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๗,๐๕๐,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกลุ่มงานคดีนักท่องเที่ยวในศาลยุติธรรม โดยในระยะแรกดำเนินการนำร่องในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๗ แห่ง เพื่อให้บริการระบบงานพิเศษเพื่อรองรับคดีของนักท่องเที่ยวดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
27115 | ขออนุมัติตั้งด่านตรวจความมั่นคง ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี | ตช | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการตั้งด่านตรวจความมั่นคงตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรหนองจิก ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓ สายหาดใหญ่-ยะหริ่ง ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๘๒-๘๓ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||
27116 | การปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้ได้รับเดือนละ 15,000 บาท ในปีงบประมาณ 2556 | พศ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๘๒,๐๑๙,๖๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็น ๑๑,๖๘๐ บาท เท่าอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการวุฒิปริญญาตรี ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ (๑๒ เดือน) จำนวน ๒,๘๔๓ รูป/คน วงเงิน ๔๐,๓๐๙,๐๐๐ บาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่เป็นคฤหัสถ์และมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนอีกจนถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ (๑๒ เดือน) จำนวน ๑,๓๔๖ คน วงเงิน ๔๑,๗๑๐,๖๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
27117 | แผนแม่บทโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก | นร08 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) เพื่อเสริมสร้างคน ชุมชน พื้นที่บริเวณชายแดน จำนวน ๔๘ หมู่บ้าน (จังหวัดเชียงใหม่ ๑๓ หมู่บ้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๓๔ หมู่บ้าน จังหวัดตาก ๑ หมู่บ้าน) ให้มีภูมิคุ้มกันตนเองในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง โดยให้คนและชุมชนสามารถดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งสามารถสนับสนุนหน่วยงานรัฐในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน เฝ้าระวังแจ้งเตือน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนประเทศเพื่อนบ้าน โดยมียุทธศาสตร์ดำเนินงานของแผนแม่บทโครงการฯ รวม ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วน และจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับในแผนงบประมาณปกติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนและไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน เห็นสมควรให้เสนอของบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป |
||||||||||||||||||
27118 | รายงานการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 128 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | สผ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ ๑๒๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (The 128th Assembly of the Inter-Parliamentary Union) ระหว่างวันที่ ๑๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงกีโต สาธารณรัฐเอกวาดอร์ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมภายใต้หัวข้อในการอภิปรายทั่วไป (General Debate) ในครั้งนี้คือ “จากการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งสู่การพัฒนาอย่างมีเป้าหมาย ในแนวทาง ‘การมีชีวิตที่ดี’ หรือ ‘Buen Vivir’ : ทางเลือกใหม่ ทางแก้ไขใหม่” ที่ประชุมเห็นด้วยในเรื่องของการพัฒนาในบริบทของการเติบโตทางเศรษฐกิจว่ามีความจำเป็นและมีส่วนช่วยเหลือในด้านการพัฒนาอย่างมากสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการนำหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาปรับใช้เพื่อเป็นหลักในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. แถลงการณ์กีโต (Quito Communigue) ได้มีการอภิปรายในเรื่องเกี่ยวกับนโยบายความเป็นอยู่พื้นที่เศรษฐกิจสีเขียว การบริหารแบบประชาธิปไตย การพัฒนาที่ยั่งยืนในรูปแบบใหม่ และการทำงานของรัฐสภา ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรถูกนำไปอภิปรายในการประชุมของรัฐสภาแห่งชาติ เพื่อเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสู่การประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมกับในระดับโลก ๓. การประชุมคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสมาชิกภาพในสหภาพรัฐสภา การอนุวัติยุทธศาสตร์สหภาพรัฐสภา ๒๕๕๕-๒๕๖๐ ความร่วมมือกับสหประชาชาติ การรับรองรายงานการเงินปี ๒๕๕๕ ปฏิบัติการสหภาพรัฐสภาเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและสถาบันรัฐสภา การประชุมสหภาพรัฐสภาในอนาคต การแก้ไขธรรมนูญและข้อบังคับ แถลงการณ์ของประธานสหภาพรัฐสภาว่าด้วยสถานการณ์ในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง การเลือกตั้งเลขาธิการสหภาพรัฐสภา และการบรรจุระเบียบวาระเร่งด่วนที่เสนอโดยราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (Jordan) เรื่อง “บทบาทของรัฐสภาในการจัดการกับผลกระทบด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมที่เกิดจากวิกฤตการณ์ในซีเรีย และการกดดันรัฐบาลของตนเองให้แสดงออกซึ่งความรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและด้านมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและให้การสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยดังกล่าว ๔. การประชุมสมาชิกรัฐสภาสตรี ครั้งที่ ๑๘ ที่ประชุมรับทราบเรื่องการติดตามแผนปฏิบัติการด้านรัฐสภาที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย (Plan of Action on Gender-sensitive parliament) ของสำนักเลขาธิการสหภาพรัฐสภา โดยที่ประชุมได้แยกออกเป็น ๒ กลุ่มย่อย เพื่ออภิปรายในการพิจารณามุมมองทางด้านสถานะระหว่างชายหญิง ในหัวข้อของคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๑ และคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๒ ได้แก่ “การบังคับใช้หลักการความรับผิดชอบในการคุ้มครอง : บทบาทรัฐสภาในการคุ้มครองชีวิตพลเรือน” (Enforcing the responsibility to protect : The role of parliament in safeguarding civilians’ lives) และ “การค้าอย่างเป็นธรรมและกลไกทางการเงินที่มีนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Fair trade and innovative financing mechanisms for sustainable development) ๕. การประชุมกลุ่มอนุภูมิภาคอาเซียน+๓ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการเสนอชื่อผู้แทนสมาชิกในกลุ่มเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติ และการประชุมกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประชุมได้มีการเสนอตัวคณะผู้แทนประเทศต่าง ๆ เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งที่ว่างลงในสหภาพรัฐสภา ๖. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๑ ว่าด้วยสันติและความมั่นคงระหว่างประเทศ หัวข้อ “การบังคับใช้หลักการความรับผิดชอบในการคุ้มครอง : บทบาทรัฐสภาในการคุ้มครองชีวิตพลเรือน” ประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ แต่เห็นด้วยในการใช้เครื่องมือการแทรกแซงผ่านองค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นกลไกที่นานาประเทศร่วมลงนามยอมรับ ในฐานะสมาชิกรัฐสภาจะมีการผลักดันให้ภาครัฐบาลนำหลักการนี้ไปปฏิบัติโดยเจรจากับทุกภาคส่วนผ่านกระบวนการนิติบัญญัติในการให้ความคุ้มครองชีวิตพลเรือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรี ๗. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๒ ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน การคลัง และการค้า หัวข้อ “การค้าอย่างเป็นธรรมและกลไกทางการเงินที่มีนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” สมาชิกรัฐสภาควรส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าแฟร์เทรด และสนับสนุนองค์กรอิสระด้านการค้าต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนสินค้าประเภทนี้ โดยการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายการลดภาษีสินค้าแฟร์เทรด ๘. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๓ ว่าด้วยประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หัวข้อ “การใช้สื่อ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองและประชาธิปไตย” ที่ประชุมได้รับรองร่างข้อมติว่าด้วยการใช้สื่อ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองและประชาธิปไตย ๙. การอภิปรายกลุ่มย่อย มีหัวข้อการอภิปราย ได้แก่ หัวข้อ “การทำให้ยาเสพติดไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย : จะสามารถหยุดยั้งอาชญากรรมได้หรือไม่ (The legalization of drugs : Can it help curb organized crime?) และหัวข้อเรื่อง “การดูแลสิทธิเด็กพิการ” (Addressing the rights of children with disabilities) ๑๐. การประชุมยุวสมาชิกรัฐสภา ที่ประชุมได้ให้การรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ในการจัดตั้งการประชุมยุวสมาชิกแห่งสหภาพรัฐสภา (Forum of Young Parliamentarians) เพื่อแบ่งปันเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหภาพรัฐสภาและกล่าวถึงสิ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในการใส่มุมมองของตนเองลงในร่างข้อมติในคณะกรรมาธิการทั้ง ๓ คณะ ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ ๑๒๘ รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการพัฒนา กฎ โครงสร้างผู้เข้าร่วมประชุมและบทบาทของการประชุมยุวสมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพรัฐสภา (young parliamentarians of the IPU) ๑๑. การสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “Towards a new vision for development : What place for governance?” และกรอบแผนงานว่าด้วยการพัฒนาระหว่างประเทศ ผลการสัมมนาส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นว่า ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยากลำบาก คือ ปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งการบริหารต้องเล็งเห็นความสำคัญข้อนี้ และต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประกอบกับให้ความสำคัญกับภาคประชาสังคมอย่างเท่าเทียมกันทุกภาคส่วน ทั้งสตรี เยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ๑๒. กรณีของประเทศไทยจากคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสมาชิกรัฐสภา ที่ประชุมรับทราบว่าคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสมาชิกรัฐสภาจะยังคงกรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการ สำหรับกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการจะยังไม่พิจารณาเพิ่มเติมในชั้นนี้ ๑๓. การเข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมาธิการส่งเสริมกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ ของนายพีรพันธุ์ พาลุสุข หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ที่ประชุมได้มีมติให้ Mr. A.A. Cakra Wijiaya จากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๗ นอกจากนี้ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ในฐานะกรรมาธิการสมทบได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับคู่มือสำหรับสมาชิกรัฐสภาว่าด้วยสัญชาติและการไร้สัญชาติว่า เป็นคู่มือที่มีประโยชน์ควรมีการเผยแพร่ให้แพร่หลาย และควรให้ความสนใจในภูมิภาคที่มีปัญหาเกิดขึ้นและส่งเสริมความร่วมมือส่วนภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหานี้เป็นพิเศษ
|
||||||||||||||||||
27119 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 8 (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ 4 (The 4th AMMSWD+3) | พม | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๘ (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๔ (The 4th AMMSWD+3) ระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ (ASEAN Strategic Framework for Social Welfare and Development 2011-2015) ๑.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ ๑.๒ ที่ประชุมมีความเห็นว่าปัญหาด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเป็นประเด็นตัดขวาง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาแบบหลายมิติ จึงสนับสนุนให้มีการทำงานแบบองค์รวม (Holistic approach) ๑.๓ ที่ประชุมเล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือไม่เพียงแต่ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน แต่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ คู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนา ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ที่ประชุมตระหนักถึงความสำคัญของดัชนีชี้วัดประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนและการประเมินผลครึ่งแผนแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๕๕๘ โดยต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ อยู่บนพื้นฐานหลักสิทธิมนุษยชน มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ประเด็นการพัฒนาสังคมอย่างทั่วถึงสำหรับทุกคน ๒.๑ ที่ประชุมเน้นย้ำถึงพันธกรณีที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคม และนำแนวคิด ประเด็นห่วงใยของกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการในประชาคมอาเซียน ๒.๒ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อท้าทายที่พบในหลายประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ปัญหาสังคมผู้สูงอายุว่าเป็นสิ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียนและกลุ่มประเทศ+๓ ต้องมีนโยบายหรือมาตรการเตรียมการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๓. ประเด็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งการคุ้มครองทางสังคมในอาเซียน ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคมเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือยืนยันว่าทุกคนในสังคม โดยเฉพาะคนยากจน กลุ่มเสี่ยง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียน เด็ก แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน และกลุ่มคนเปราะบางอื่น ๆ จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมซึ่งเป็นหลักการขั้นพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม ๔. ประเด็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในอาเซียน เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวให้คำมั่นต่อความต้องการการทำงานอย่างเป็นองค์รวมเพื่อส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็ก และการตอบสนองต่อมิติหญิงชาย ความเปราะบางของเด็ก และการตอบสนองต่อช่วงวัยในการป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ๕. ประเด็นความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ว่าด้วยเรื่องสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๕.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความสำเร็จจากการดำเนินโครงการที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ โดยมีโครงการของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย อาทิ โครงการการพัฒนาโดยใช้แนวคิดชุมชนเพื่อรวมต้นแบบการสาธารณสุขและการบริการสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาการให้บริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งประเด็นสังคมผู้สูงอายุเป็นหัวข้อที่หลายประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเผชิญร่วมกันในไม่กี่ปีข้างหน้า ๕.๒ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อแผนงานโครงการใหม่ ๆ ที่ดำเนินงานกับกลุ่มประเทศ+๓ อีกทั้งชื่นชมการให้การสนับสนุนด้วยดีของกลุ่มประเทศ+๓ มุ่งสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ๖. การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๙ (The 9th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๕ (The 5th AMMSWD+3) ที่ประชุมแสดงความขอบคุณประเทศอินโดนีเซียในฐานะที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม The 9th AMMSWD และการประชุม The 5th AMMSWD+3 ที่จะจัดขึ้นในปี ๒๐๑๖
|
||||||||||||||||||
27120 | การชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการชดเชยการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นหน้าที่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาท่าอากาศยานฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเชิงมนุษยธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยกระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ ทอท. พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเรื่อง การจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสุวรรณภูมิ) ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ระยะที่ ๑) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ทอท. เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีการบินในช่วงฤดูหนาว) ที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ ทอท. พิจารณาขยายกรอบการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันที่ท่าอากาศยานฯ เริ่มเปิดดำเนินการในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ทอท. เป็นผู้พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ในกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องผลกระทบด้านเสียงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่อยู่นอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยขยายกรอบการชดเชยให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างจนถึงวันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดดำเนินการเป็นกรณีไป โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการตรวจวัดระดับเสียงในหน่วย NEF และใช้งบประมาณของ ทอท. เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ๑.๕ รับทราบแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ ทอท. ได้ดำเนินการจัดซื้อมาจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่ระดับ NEF มากกว่า ๔๐ จนถึงปัจจุบัน จำนวน ๑๘๐ อาคาร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘๒๖.๓๙ ล้านบาท (กระจายอยู่ในพื้นที่ของตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร) โดยเป็นที่ดินพร้อมปลูกสร้างแปลงใหญ่สุดประมาณ ๑๗ ไร่ จำนวน ๑ ราย นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่โดยเฉลี่ยไม่เกิน ๕๐-๖๐ ตารางวา มีทั้งที่อยู่ในสภาพดีและชำรุดไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ทอท. ได้แก่ ๑.๕.๑ การจำหน่ายสินทรัพย์อาจไม่เหมาะสมและไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. เพราะอาจจะเกิดข้อพิพาทด้านกฎหมายเรื่องผลกระทบด้านเสียงในอนาคตได้ ๑.๕.๒ ที่ดินซึ่งประกอบด้วยอาคารและพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ เห็นควรให้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว เสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินเองเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาด ๑.๕.๓ ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้ ๑.๕.๔ ทอท. จะพิจารณาหลักเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้ ทอท. พิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินดังกล่าวให้เกิดความคุ้มค่า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์สูงสุดให้กับ ทอท. ต่อไป ๑.๖ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานฯ ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามแนวเส้นเสียง และวิธีการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตลอดจนประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศ และคำพิพากษาของศาลในคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับผลกระทบด้านเสียงต่อไป ๒. ให้ตัดแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ในข้อที่ว่า “ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้” ออก |
.....