ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1359 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 27161 - 27180 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27161 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังต่อไปนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชานิเทศศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ ๒. กำหนดสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชานิเทศศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
27162 | ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือ ส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ตช | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กับกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สามารถปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อเพิ่มเติมให้หน่วยงานระดับกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่มีหน้าที่สืบสวนมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาลตามร่างกฎกระทรวงฯ ควรกำหนดเพิ่มเติมเฉพาะหน่วยงานในสังกัดที่มีภารกิจเกี่ยวกับการสืบสวนหาข่าว โดยเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่เฉพาะกองบังคับการตำรวจสันติบาล ๑ ตามข้อ ๒ (๑๔) (ข) ๑) และกองบังคับการตำรวจสันติบาล ๒ ตามข้อ ๒ (๑๔) (ค) ๑) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ดำเนินการประกาศใช้บังคับเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว |
|||||||||||||||||||||
27163 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสินบนและรางวัลตามร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรจะปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) นำร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27164 | รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี 2555 (1 เมษายน 2555 - 31 มีนาคม 2556) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๕ (๑ เมษายน ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการงานของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๔ สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๑,๑๙๕,๐๒๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓๙,๔๗๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๒๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๙,๐๘๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๓๑๐ ล้านบาท โดยระหว่างปีมีรายได้รวมจำนวน ๖๗,๐๗๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐,๘๘๘ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๓๘ ในขณะที่รายจ่ายรวมมีจำนวน ๓๙,๐๓๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๕,๗๘๒ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๓๙ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้ตั้งสำรองรายการหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจำนวน ๑๘,๙๕๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๓.๘๖ จากปีบัญชีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๕ ธ.ก.ส. มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ร้อยละ ๑๐.๕๙ ลดลงจากสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๔ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑๐.๙๖ ๒. ธ.ก.ส. มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๔ (หนี้ค้างชำระ) โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๕ (หนี้ปกติ) โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
27165 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน" | สสป | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน"และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สมาคมที่เกี่ยวข้องกับข้าว และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต ๑.๑ การบริหารจัดการพื้นที่ปลูกข้าว ได้แก่ การจัดพื้นที่การทำนาให้เพียงพอ เร่งผลักดันการออกโฉนดชุมชน การจัดโซนนิ่ง (Zoning) กำหนดเขตพื้นที่เพาะปลูกตามความเหมาะสม วิจัยและพัฒนาปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในการจัดทำข้อมูลการเพาะปลูกข้าว ๑.๒ การจัดการต้นทุนการผลิต ได้แก่ ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการขนส่ง ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนและส่งเสริมศูนย์พันธุ์ข้าวชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงจูงใจในการทำเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ชุมชนใช้ระบบสหกรณ์และระบบวิสาหกิจชุมชน โดยมีรัฐเป็นผู้ให้คำชี้แนะและช่วยผลักดัน ส่งเสริมระบบสหกรณ์อย่างจริงจัง ส่งเสริมให้ใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งในด้านเครื่องจักรกล แรงงาน และส่งเสริมการรวมที่ดินโดยรวมกลุ่มเกษตรกรทำนาร่วมกัน ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ไร่ ส่งเสริมระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันและสวัสดิการเกษตรกร และการวางแผนการผลิต ๑.๓ การจัดการพันธุ์ข้าวปลูก ได้แก่ ส่งเสริมให้มีการวิจัยพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ปรังปรุงพันธุ์ข้าวการค้าให้ตอบสนองปุ๋ยอินทรีย์ ปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ ตลาด และฤดูกาล จดสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวเพื่อคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืช และความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน โดยให้เป็นที่ยอมรับของสากล รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติค้าข้าวให้ครอบคลุมถึงผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว ๒. ด้านการตลาด ๒.๑ การยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้ตรงตามความต้องการของตลาด ได้แก่ วิเคราะห์จุดเด่นของข้าวแต่ละพันธุ์ ทั้งลักษณะทางภายภาพ (Physical) และทางเคมี (Chemical) สร้างมาตรฐานวิธีการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างมาตรฐานการจัดลำดับชั้นคุณภาพข้าวเปลือกไม่ปลอมปนพันธุ์ข้าว คัดแยกคุณภาพข้าวตามเกรด ให้มีการควบคุมการแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสารต้องแยกตามสายพันธุ์ สร้างตราสินค้าข้าวไทยโดยเริ่มต้นจากการควบคุมกระบวนการผลิตในพื้นที่ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทำข้อตกลงการซื้อขายล่วงหน้าร่วมระหว่างโรงสีกับเกษตรกรในพื้นที่ ๒.๒ ส่งเสริมและสร้างเอกลักษณ์ข้าว ได้แก่ สร้างเอกลักษณ์ข้าวไทย โดยร้อยเรียงเรื่องเล่าที่มีต่อเนื่องกันมาเป็นประวัติศาสตร์พันธุ์ข้าว กระบวนการผลิต และการแปรรูป ให้เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้าวไทย จำแนกประเภทข้าว ตามคุณสมบัติทั้งทางกายภาพ ทางเคมี คุณประโยชน์ทางโภชนาการ และเพิ่มข้อมูลเปรียบเทียบมูลค่าเพิ่มระหว่างข้าวที่ผลิตในระบบปกติ กับข้าวที่แปรรูปในลักษณะพิเศษโดยนำราคาขายของข้าวแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบ ๒.๓ กลไกการตลาด ได้แก่ วิเคราะห์หาปริมาณความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ และต่างประเทศ แยกความแตกต่างทางการตลาดของข้าวสาร ชนิดต่าง ๆ ตามประเภทของตลาด ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่มีผลต่อสถานการณ์ โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพ ขายข้าวตามคุณภาพในระดับราคาที่ต่างกัน ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เชื่อมโยงเมนูอาหารไทยต้องมีวัตถุดิบจากข้าวไทย เพิ่มช่องทางการจำหน่ายข้าวนอกเหนือจากในรูปวัตถุดิบ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ และให้ความสำคัญในการรวมกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ค้าข้าวในภูมิภาค ๓. การบริหารจัดการโครงสร้างการแบ่งปันรายได้ ได้แก่ ๓.๑ จัดโครงสร้างการแบ่งปันรายได้โดยมีระบบการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในกระบวนการผลิต ไปสู่โรงสีในกระบวนการรวบรวมผลผลิตและการแปรรูปซึ่งนับเป็นกลางน้ำ ไปจนถึงผู้ส่งออกและผู้บริโภค โดยคำนึงถึงระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) และระบบห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) โดยอาจมีการกำหนดสัดส่วนรายได้ตามข้อตกลงของทุกฝ่ายที่เหมาะสม ๓.๒ การแปรรูป ภายใต้แนวคิด เกษตรกรเป็นเจ้าของผลผลิตตั้งแต่ต้น จนถึงมือผู้บริโภค และกระบวนการผลิตสินค้าเป็นการลงทุนร่วมกันของระบบ ผลตอบแทนที่ได้เป็นของระบบที่ต้องมาจัดสรรแบ่งกันด้วยความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตทุกขั้นตอน ๓.๓ ส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจตามข้อ ๓.๑ โดยใช้วิสาหกิจหรือระบบสหกรณ์เพื่อขับเคลื่อนให้องค์กรของเกษตรกรมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ๓.๔ ควรพิจารณาให้ข้าวสารสำหรับบริโภคภายในประเทศเป็นสินค้าควบคุมราคา
|
|||||||||||||||||||||
27166 | รัฐบาลสาธารณรัฐเซเนกัลเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายมาม บาบา ซิสเซ (Mr. Mame Baba Cisse)] | กต | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายมาม บาบา ซิสเซ (Mr. Mame Baba Cisse) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเซเนกัลประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทนนายมาดี้ เอ็นเดา (Mr. Mady Ndao) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27167 | รัฐบาลสาธารณรัฐแซมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายไมลส์ คาเวเช บันดา (Mr. Miles Kaweche Banda)] | กต | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายไมลส์ คาเวเช บันดา (Mr. Miles Kaweche Banda) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแซมเบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทนนายลูพันโด ออกัสติน เฟสตัส คาโทโลชี อึมวาพี (Mr. Lupando Augustine Festus Katoloshi Mwape) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27168 | การพิจารณาทบทวนค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรม และอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) | ปง | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
27169 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 11/2556 เรื่อง ขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหา อุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม - วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข 346 ตำบลกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง | นร | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง จากเดิม ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ๑,๙๓๐ เมตร (ยกระดับถนนสูงขึ้น ๐.๖ เมตร) วงเงิน ๔๑.๑๔๓ ล้านบาท แก้ไขเป็น ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี (ก่อสร้างแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นน้ำจากถนนซอยวัดมะขามถึงคลองวัดโบสถ์ ๑,๙๓๖ เมตร และยกระดับถนนติวานนท์บริเวณทางเข้าท่าเรือปทุมธานี ๔๐๐ เมตร) วงเงิน ๑๐.๓๒ ล้านบาท ซึ่งหลังจากการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ จะมีเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท และให้กรมทางหลวงส่งเงินเหลือจ่ายคืนสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) พิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์วิธีการใช้เงินเหลือจ่ายนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ ๒. ให้ สบอช. กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ เห็นควรให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมด้านราคา ส่วนกรณีวงเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทางหลวงส่งคืนเป็นเงินเหลือจ่ายเข้าระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) โดยการพิจารณานำเงินเหลือจ่ายไปใช้ดำเนินโครงการใหม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่เสนอรัฐสภา และต้องมีขั้นตอนการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และควรให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายของโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ นอกจากนี้ ในการพิจารณาแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในระยะต่อไป ควรให้หน่วยงานผู้เสนอแผนงาน/โครงการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ เพื่อให้เกิดการยอมรับในการดำเนินโครงการ ความครบถ้วนและถูกต้องของข้อมูล รวมทั้งความพร้อมของหน่วยงานดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการที่เสนอสามารถแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27170 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย | นร01 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัยที่หน่วยงานได้ตกลงร่วมกัน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้ยึดหลักจากแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" ใช้ประกอบการกำหนดแนวทางในการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย เป็น ๔ แนวทาง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในภาวะปกติ ในการปฏิบัติงานรายวันให้หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แจ้งข่าวสารข้อมูลหรือข้อเท็จจริงทั่วไปที่อาจมีผลสืบเนื่อง หรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนทราบ ห้ามนำเสนอข้อมูลในลักษณะแสดงความคิดเห็น เว้นแต่เป็นความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือนักวิชาการที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ๑.๒ ในการเฝ้าระวัง เมื่อมีเหตุที่อาจมีผลสืบเนื่องหรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๑ ให้ สบอช. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติรับผิดชอบในการจัดประชุมและการแจ้งข่าวร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการติดตามสถานการณ์น้ำ ณ สบอช. โดยข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวัง ได้แก่ ประกาศหรือข้อมูลที่มุ่งหมายให้หน่วยงาน องค์กร หรือประชาชนเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๒ ให้มีขั้นตอนการเฝ้าระวัง โดยให้กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สถานการณ์ฝน สภาพดิน เฝ้าระวังระดับและคุณภาพน้ำในเขื่อน น้ำในแม่น้ำ น้ำใต้ดิน น้ำทะเล โดยส่งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ได้วิเคราะห์แล้วเข้าคลังข้อมูล ที่ สบอช. เพื่อเชื่อมข้อมูลกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ให้ทุกหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ๑.๒.๓ ให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวังดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๑.๓ การแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) โดย กบอ. และ สบอช. เป็น Command Center เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินสถานการณ์ภัยจากข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานเฝ้าระวัง หากคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรง (ขั้นวิกฤต) จะแจ้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ และผ่านกระทรวงมหาดไทย (จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) เพื่อนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการแจ้งเตือนภัยดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนและเครือข่ายหน่วยเผชิญเหตุทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยจำแนกระดับความรุนแรงของภัยเป็น ๔ ระดับ คือ อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๑ (สาธารณภัยขนาดเล็ก) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๓ (สาธารณภัยขนาดใหญ่) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) ๑.๔ การยกเลิกสถานการณ์ เมื่อภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้ผู้รับผิดชอบแต่ละระดับภัยประกาศยกเลิกสถานการณ์ และให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริง การประกาศยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยสรุปเป็นแนวทางในการให้ข่าวสารสาธารณะและเตือนภัย ได้แก่ การให้ข่าว (แจ้งข่าวสาร) การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนภัย และการยกเลิกสถานการณ์ ๒. ให้แก้ไขข้อความบางประการของการแจ้งเตือนภัย ในส่วนของอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) รวมทั้งการยกเลิกสถานการณ์ ในส่วนของตารางสรุปแนวทาง การให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย |
|||||||||||||||||||||
27171 | การเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรีและข้าราชการพลเรือนสามัญข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี [นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)] | นร05 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี รวมจำนวน ๗๕ คน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ประกอบด้วย
๑. เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานระดับดีเด่น จำนวน ๑๓ คน (เลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น) และส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก ๒. เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๖๒ คน และส่งให้กระทรวง กรมต้นสังกัดตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก ดังนี้ ๒.๑ เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานระดับดีเด่น จำนวน ๕๘ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๔ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณ ให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ และเลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น ให้แก่ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่น (ตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงาน)] ๒.๒ เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าระดับดีเด่น จำนวน ๔ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๓ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณ ให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญและเลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น ให้แก่ลูกจ้างส่วนราชการ ทั้งนี้ ผู้นี้จะต้องได้รับการเลื่อนเงินเดือนทั้งปีไม่เกิน ๑.๕ ขั้น ตามหลักการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง การเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ ให้แก่ข้าราชการตำรวจและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรีและข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี (จำนวน ๑๐๒ คน)]
|
|||||||||||||||||||||
27172 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับ พ.ศ. .... | นร01 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๓๗ ฉบับ เนื่องจากระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับมีเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บางฉบับได้มีการตรากฎหมายในภายหลังซึ่งครอบคลุมการปฏิบัติตามระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว บางฉบับไม่มีการดำเนินการหรือไม่มีความจำเป็นต้องมีระเบียบและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว และบางฉบับกำหนดขอบเขตระยะเวลาการใช้บังคับไว้แน่นอน ย่อมสิ้นผลเมื่อพ้นระยะเวลาการใช้บังคับตามที่กำหนดแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27173 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับปรุงแก้ไขบัญชีค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินค่าตอบแทนรายเดือนของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ โดยให้ใช้บัญชีแนบท้ายค่าตอบแทนดังกล่าวตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27174 | ขออนุมัติการจัดทำเอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยโครงการความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับการชำระค่าใช้จ่ายด้วยสินค้าเกษตร | กต | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการความร่วมมือในระดับรัฐบาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟในประเทศไทยโดยแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรจากประเทศไทย (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China on Government Cooperation Project on the Railway Infrastructure Development in Thailand in Exchange of Agricultural Products from Thailand) ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการปรับแก้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงหลักการและสาระสำคัญ อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมสามารถหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่คู่ภาคีจะต้องเจรจาและตกลงในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับวิธีการชำระค่าใช้จ่ายเป็นสินค้าเกษตร รวมถึงปริมาณ คุณภาพ และการจัดส่งสินค้าเกษตรต่อไป จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เหมาะสมและถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27175 | ขออนุมัติการจัดทำแถลงข่าวร่วมว่าด้วยแผนระยะยาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ ไทย - จีน ในโอกาสที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ | กต | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำแถลงข่าวร่วมว่าด้วยแผนระยะยาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ในโอกาสที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (Joint Press Statement on Long-Term Program on the Development of Thailand-China Relations issued on the Occasion of the Official Visit to Thailand of H.E. Mr. Li Keqiang, Premier of the State Council of the People’s Republic of China) ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยร่างแถลงข่าวฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ใน ๙ สาขา ได้แก่ (๑) ประเด็นการเมือง (๒) เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการเงิน (๓) การป้องกันประเทศและความมั่นคง (๔) การคมนาคมและความเชื่อมโยง (๕) วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยว (๖) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (๗) พลังงาน (๘) มหาสมุทร และ (๙) ความร่วมมือในภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเพิ่มเติมประเด็นการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างกัน และการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการชำระเงินหยวนในภูมิภาค ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างเอกสารฯ กับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยไม่มีการลงนาม ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสกุลเงินในข้อ ๗ ของแถลงข่าวร่วมฯ ฉบับภาษาอังกฤษให้ถูกต้องชัดเจนด้วย |
|||||||||||||||||||||
27176 | ขออนุมัติหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่นๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงานให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ | ศธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อรองรับการปรับดำเนินการดังกล่าวแล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่/ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างรายวัน/รายเดือน ในลักษณะจ้างเหมา ประเมินถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของจำนวนลูกจ้างให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และเสนอให้คณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด พิจารณาความเหมาะสมในภาพรวม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และภาระงบประมาณในระยะยาว ๒. ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ซึ่งสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับเพิ่มค่าจ้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดมาตรการในการกระจายครูให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และจำนวนนักเรียนอย่างจริงจัง สำหรับกลุ่มลูกจ้างรายเดือนที่ปฏิบัติงานตามโครงการหรืองานที่มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน เช่น โครงการคืนครูให้นักเรียน โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา เป็นต้น ควรปรับแผนการจ้างลูกจ้าง/บุคลากรให้สอดคล้องกับงบดำเนินงานตามที่ได้รับจัดสรรจนสิ้นสุดโครงการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
27177 | ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2557 - 2559 | สธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยทิศทางยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๒ ทิศทาง ดังนี้ ๑.๑ ทิศทางยุทธศาสตร์ “นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง” ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ คือ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เร่งรัดขยายการดำเนินงานป้องกันที่รอบด้าน ด้วยชุดบริการที่ได้มาตรฐานบนฐานของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและมีความละเอียดอ่อนเรื่องเพศวิถี ให้ครอบคลุมประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงและคาดว่าจะมีจำนวนการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มากที่สุด ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เร่งรัดขยายการดำเนินงานให้การปกป้องทางสังคมและปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการป้องกันและการดูแลรักษา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มความร่วมรับผิดชอบและเป็นเจ้าของร่วมในระดับประเทศ จังหวัด และท้องถิ่น ในการขยายการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ของประเทศ ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในทุกระดับ ๑.๒ ทิศทางยุทธศาสตร์ “การผสมผสานและบูรณาการให้มาตรการและแผนงานปัจจุบันมีคุณภาพ เข้มข้น และมีความยั่งยืน” ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ยกระดับคุณภาพมาตรการและแผนงานที่มีอยู่เดิมให้เข้มข้นและบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบประสานการทำงานสื่อสารสาธารณะเรื่องเอดส์ ที่ทำหน้าที่จัดการความรู้ ส่งต่อประเด็นการสื่อสารให้มีความต่อเนื่องอย่างมีเอกภาพ การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลการให้บริการทางการแพทย์โดยพัฒนาระบบสารสนเทศสุขภาพแห่งชาติ (National Health Information System : NHIS) เพื่อบูรณาการข้อมูลและสารสนเทศสุขภาพด้านการรักษา ป้องกัน ควบคุมโรคและการบริหารจัดการโดยรวมของประเทศ การให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน วัยรุ่น และนักศึกษาอย่างมุ่งผลสัมฤทธิ์ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลสิทธิและบริการ การรับบริการป้องกัน และกำหนดเป็นแนวทางหลักที่ตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศโดยเฉพาะการสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตในส่วนการส่งเสริมป้องกันของกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรทั่วไปที่นอกเหนือจากกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพของตนเอง และลดโอกาสในการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้กับผู้อื่น โดยให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพมีบทบาทหน้าที่ในการจัดงบประมาณตั้งต้นหรือสมทบเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในประชากรทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ และมีการรณรงค์ในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27178 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินงบประมาณของกรมทางหลวง | คค | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสม และให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในวงเงิน ๓๕.๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๓.๑๕๐ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓.๓๖๗ ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๘.๔๘๓ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้กรมทางหลวงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. กรณีการขอให้กรมทางหลวงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้ภายหลังสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๖/ว ๑๐๔ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและ/หรือการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินผ่านระบบ GFMIS ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27179 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... | วธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณาการยกร่างกฎหมายดังกล่าวให้ครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ โดยคำนึงถึงบริบทการพัฒนาของประเทศ ภัยคุกคามและความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการเสื่อมสลายหรือการสูญหายของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศ ตลอดจนสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับมาตรา ๘ (๔) และมาตรา ๑๑ ก (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประเด็นคำว่า “สุขภาพ” ควรกำหนดให้ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติฯ โดยแก้เป็น “การแพทย์แผนไทย” รวมทั้งเพิ่มองค์ประกอบ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ประจำจังหวัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ควรสอดคล้องกับแผนการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนว่าด้วยการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน โดยเฉพาะการส่งเสริมการสงวนและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอาเซียน โดยการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศและกลไกระดับภูมิภาคเพื่อปกป้องรักษาและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษา สืบทอด และพัฒนา ผ่านแผนงานและโครงการที่บูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27180 | การขอความเห็นชอบการเปลี่ยนแปลง การจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติจากเดิมแข่งขันเป็นประจำทุกปี เป็นแข่งขัน 2 ปี ต่อครั้ง | กก | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ จากเดิมแข่งขันเป็นประจำทุกปี เป็นแข่งขัน ๒ ปี ต่อครั้ง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ โดยปกติจะมีการจัดการแข่งขันกีฬาคนพิการควบคู่ไปกับการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติด้วย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติเป็นแข่งขัน ๒ ปี ต่อครั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้การส่งเสริมและดูแลให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาคนพิการให้เหมาะสมและให้มีมาตรฐานที่สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติต่อไปด้วย ๒.๒ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ควรพิจารณากำหนดช่วงเวลาให้เหมาะสมสอดคล้องกับกำหนดการแข่งขันกีฬาในระดับภูมิภาคและระดับโลก เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เป็นต้น) ตามลำดับ เพื่อช่วยให้สามารถคัดเลือกนักกีฬาไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติและระดับโลกได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ควรให้มีการกระจายการจัดการแข่งขันกีฬาออกไปในภูมิภาคเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดชนิดกีฬาให้เหมาะสมด้วย ๒.๓ การแข่งขันกีฬาในระดับโลกได้อนุญาตให้นักกีฬาอาชีพเข้าร่วมการแข่งขันได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะพิจารณาว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประการใดหรือไม่ สำหรับนักกีฬาอาชีพได้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักกีฬาไทยที่มีศักยภาพและสมรรถนะสูงในแต่ละประเภทได้เข้าร่วมการแข่งขันและก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพต่อไป |
.....