ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1343 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 26841 - 26860 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26841 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยในส่วนของแนวทางการจัดทำงบประมาณฯ ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานเพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพหลักบูรณาการยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยร่วมกันทบทวน/ปรับปรุง เป้าหมาย กลยุทธ์ ตัวชี้วัดผลสำเร็จของยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ของประเทศ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และปีงบประมาณก่อนหน้าและเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลการก่อหนี้และการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว จากระบบ GFMIS ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไปประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ (เรื่อง มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๖) ๓. ในการดำเนินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งกลุ่มจังหวัดและจังหวัดยึดหลักความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ประเทศที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงตัวชี้วัดในระดับจังหวัดด้วย
|
||||||||||||||||||
26842 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปี พ.ศ. 2556 และ 2557 เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จำนวน ๑ วัน เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่อง ๕ วัน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖-วันพุธที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ (วันขึ้นปีใหม่) เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน
|
||||||||||||||||||
26843 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) คือ เสรีนำเข้าไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้าอัตราภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ นอกโควตาร้อยละ ๘๐ และให้มีการบริหารการนำเข้าปีต่อปี โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ๑.๒ รับทราบแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองปี ๒๕๕๗ และการเปิดตลาดนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการเพาะปลูกถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพการเพาะปลูกถั่วเหลืองในประเทศให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จนถึงการจัดจำหน่าย การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี การดูแลและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองในประเทศเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร การจัดหาความรู้และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่เกษตรกร การป้องกันและกำจัดการระบาดของหนอนหัวดำด้วยวิธีการผสมผสานหลาย ๆ เทคโนโลยี และการตรวจสอบการนำเข้ามะพร้าวอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้มีแมลงศัตรูมะพร้าวติดเข้ามาในประเทศ การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่ที่เหมาะสมหรือหลังการปลูกข้าว รวมทั้งสนับสนุนแหล่งน้ำชลประทาน เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพื่อเป็นทางเลือกของเกษตรกรในการปลูกพืชที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเป็นการช่วยปรับปรุงบำรุงดิน ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
26844 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5 และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๕ และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๖-๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ กรุงเทพมหานคร ๑.๑ การประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคที่สำคัญของรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) แนวระเบียงเศรษฐกิจและแนวทางการขับเคลื่อนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่สู่การปฏิบัติ และได้มีการหารือเพื่อให้เสนอแนะและให้การรับรองเบื้องต้นต่อกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ให้การรับรองต่อไป ๑.๒ การประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่ประชุมได้นำเสนอโครงการตัวอย่างของแต่ละประเทศสมาชิกที่ได้บรรจุอยู่ในกรอบการลงทุนของภูมิภาคให้แก่นักลงทุน องค์การระหว่างประเทศ และภาคีพัฒนาต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและระดมทุนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ของประเทศสมาชิก ๒. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CL) ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและภาคเอกชนภายใต้กรอบ MJ-CL ครั้งที่ ๖ (6th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) ความก้าวหน้าและการดำเนินงานในอนาคตการจัดทำ RIF ภายใต้แผนงาน GMS โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ข้อเสนอของประเทศญี่ปุ่นในการร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการลำดับความสำคัญสูงภายใต้แผนที่นำทางการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง การเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ โดยต้องสอดคล้องกันในระดับอนุภูมิภาค การบูรณาการประเด็นการพัฒนาใหม่เข้าไว้ในแผนที่นำทางฯ เช่น การพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรม การจัดตั้งคณะทำงานย่อยดูแลเรื่องกฎหมายทางธุรกิจ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าที่สำคัญของแผนที่นำทางฯ ภายใต้ความร่วมมือ MJ-CL ต่อผู้นำประเทศ และการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงาน MJ-CL ครั้งที่ ๖ ที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการประชุมระดับผู้นำของแผนงาน MJ-CL ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ๓.๑ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการระดับชาติในการเร่งรัดงานสำคัญ ความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน และแนวทางการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ การสนับสนุนจาก ADB ในการพัฒนาโครงการโดดเด่น รวมทั้งข้อเสนอขอรับการสนับสนุนโดยสภาธุรกิจ IMT-GT ๓.๒ การประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าจากการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๙ ที่รัฐเนกรีเซมบิลัน ประเทศมาเลเซีย ข้อเสนอความร่วมมือระยะต่อไป รับทราบข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ และความช่วยเหลือจาก ADB ด้านเมืองสีเขียวและการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ๓.๓ การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าโครงการโดดเด่น ความก้าวหน้าการจัดตั้งสำนักงานถาวรของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Sub-regional Cooperation : CIMT ที่นครปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และแนวทางความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมเป็นประเด็นนำในการประชุมระดับผู้นำ IMT-GT ครั้งที่ ๘ ที่ประเทศเมียนมาร์ ๓.๔ การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ข้อเสนอโครงการจากที่ประชุมมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ข้อเสนอขอความอนุเคราะห์จากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ การนำผลการหารือในการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการเป็นแนวทางการดำเนินการ รวมทั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ ที่เกาะซาบัง จังหวัดอาเจห์ เกาะสุมาตรา ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
26845 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจ อิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ 1 | กก | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๑ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๑ จัดคู่ขนานกับงานแสดงนิทรรศการท่องเที่ยว ITE HCMC 2013 ภายใต้หัวข้อ “๕ ประเทศ ๑ จุดหมายปลายทาง” (5 Countries one destination) เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๕ โดยมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกทั้ง ๕ ประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าร่วมการประชุม ๒. รัฐมนตรีท่องเที่ยวทั้ง ๕ ประเทศพึงพอใจต่อจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคในปี ๒๕๕๕ และตั้งเป้าหมายให้จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในอัตรา ๑ เท่าตัวทุก ๆ ปี โดยที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการใช้ ACMECS Single visa ว่า จะเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และได้แสดงความยินดีต่อราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาในการนำ ACMECS Single visa มาใช้และขอทราบผลการดำเนินงาน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการส่งเสริมการเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยวที่มีอยู่ ทั้งเส้นทางบก (รวมทั้งทางรถไฟ) ทางอากาศ และทางน้ำ และให้พัฒนาการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ คือ พุกาม-เชียงใหม่-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์-เสียมราฐ-เว้ ให้มีการส่งเสริมการตลาดร่วมกัน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกัน และส่งเสริมให้มีมาตรฐานความปลอดภัยนักท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนให้มีการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ๔. ที่ประชุมรับรองแผนปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวกรอบ ACMECS 2013-2015 ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง การเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และมาตรฐานการบริการ และการจัดตั้งกลไกดำเนินการเพื่อให้ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ๕. ที่ประชุมมีมติให้จัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ทุก ๒ ปี โดยประเทศที่เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว และจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสจัดคู่ขนานกับการประชุมรัฐมนตรี สำหรับการประชุมคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวจัดเป็นประจำทุกปี โดยจัดคู่ขนานกับการประชุม GMS หรือ ASEAN ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๒ จะจัดขึ้นในปี ๒๕๕๘ โดยสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพ ๖. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Mr. Hoang Tuan Anh) ในเรื่องการแลกเปลี่ยนกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย และการจัดทำความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและด้านกีฬา
|
||||||||||||||||||
26846 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง และนายนพดล เภรีฤกษ์) | นร09 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๒. นายนพดล เภรีฤกษ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
26847 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เฉพาะที่จะดำเนินการในพื้นที่ถนนสายหลัก ในวงเงินลงทุนรวม ๘,๘๙๙.๕๘ ล้านบาท โดยให้ กฟน. เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณูปโภคทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินในคราวเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนฯ เพิ่มความปลอดภัย และปรับสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของหน่วยงานอื่นที่เห็นควรให้ กฟน. ทบทวนแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๖๕ ที่จะดำเนินการในอนาคต และประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่จะดำเนินการปรับปรุงระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดินตามแผนแม่บทฯ ตลอดจนการวางแผนและกำหนดงบประมาณสำหรับการลงทุนดังกล่าวร่วมกัน และให้ กฟน. กำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินแผนงานฯ อย่างใกล้ชิดและประหยัด รวมทั้งเร่งประสานงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการดำเนินงานนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการตามแผนงานฯ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงภูมิทัศน์เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ปัจจุบันยังมีหลายพื้นที่ที่มีการติดตั้งระบบสายไฟฟ้าอากาศอยู่ในระดับความสูงที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับไปพิจารณาปรับแผนงานเพื่อเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน และจากกรณีปัญหากระแสไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น จึงควรมีการพิจารณาจัดทำแผนเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจัดทำระบบสำรองเพื่อลดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้น้อยลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26848 | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกอบด้วย ๑๑ โครงการ ๓ แผนงาน วงเงินลงทุนรวม ๑๐๓,๑๓๐ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินลงทุนและร่วมลงทุนรวม ๓๒,๗๓๒ ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๓๕,๘๖๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๒ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานทดแทนอย่างละเอียดรอบคอบ การควบคุมการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ การพิจารณาประเมินแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลโครงการลงทุนต่าง ๆ และพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาทั้งในกรณีการวิจัยพัฒนาต้นแบบ การวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการขยายผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การกำหนดทางเลือกการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน การคิดค่าไฟฟ้าแบบเหมารวม (package) ที่เหมาะสม และการใช้พลังงานทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย เป็นต้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างภาษี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
26849 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วงเงิน ๓๘,๑๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยใช้แหล่งเงินกู้จากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ทั้งหมด และให้ รฟม. รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรมีการประสานกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีพื้นที่ว่างเปล่าตามแนวสายทางเพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารการใช้พื้นที่เพื่อเป็นสถานที่จอดรถรองรับการเปลี่ยนแปลงการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมเพิ่มเติม โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อภายในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ และควรเป็นรูปแบบที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อฐานะการเงินของ รฟม. และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. และภาระทางการเงินของภาครัฐในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ ในช่วงก่อนดำเนินโครงการฯ รฟม. จะต้องพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาต้นทุนทางการเงินของโครงการฯ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในช่วงระยะการดำเนินโครงการก่อสร้าง ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยยึดความปลอดภัยและควบคุมป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณารูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่มีความเหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อให้โครงการฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการพิจารณารูปแบบการลงทุนฯ ควรพิจารณารูปแบบที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อและใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของประชาชน และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. รวมทั้งภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๓ สำหรับการขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และให้ดำเนินการจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาแบบแข่งขันราคานานาชาติ นั้น ให้ รฟม. เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ๒. ในส่วนของการดำเนินการด้านการเงิน (financing) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
26850 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎร 5 หมู่บ้านในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางร้องเรียนขออพยพ | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน (บ้านห้วยคิง หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่เมาะ บ้านหัวฝาย หมู่ที่ ๑ บ้านดง หมู่ที่ ๒ บ้านสวนป่าแม่เมาะ หมู่ที่ ๗ และบ้านหัวฝายหล่ายทุ่ง หมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรและสนับสนุนการปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการดำเนินการอพยพราษฎรที่เป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ไม่อพยพออกจากพื้นที่ และเห็นควรให้คณะกรรมการที่กระทรวงพลังงานจะแต่งตั้งเพื่อดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พิจารณาการใช้พื้นที่ดังกล่าวอย่างรอบคอบ และให้ กฟผ. จัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ราษฎรได้รับค่าชดเชยและอพยพออกจากพื้นที่นั้นอย่างรอบคอบและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของราษฎรและผู้มีส่วนได้เสียในบริเวณใกล้เคียงที่มีแนวโน้มที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโรงไฟฟ้าแม่เมาะเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อจัดทำแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาอพยพราษฎรอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิมของราษฎรกลุ่มเดิม หรือการย้ายเข้าพื้นที่ของราษฎรกลุ่มใหม่ที่ชัดเจน และมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และสวนป่า (ป่าสัก) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่รองรับการอพยพเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ตลอดจนพิจารณาแนวทางการทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อป้องกันการขออพยพในอนาคต และจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้จากการอพยพของประชาชนในการพัฒนาเป็นแนวป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม (Buffer zone) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ กฟผ. จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับราษฎรที่ยืนยันไม่ต้องการอพยพให้ชัดเจนเพื่อเป็นการยอมรับร่วมกันว่า พื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน มีความเหมาะสมและได้รับความเห็นชอบจากการประชาคมหมู่บ้านแล้ว หากในอนาคต กฟผ. มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินของราษฎร กฟผ. จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และต้องดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ กฟผ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านงบประมาณ จำนวน ๒,๙๗๐.๕ ล้านบาท โดยให้ กฟผ. ประสานงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และให้ กฟผ. หารือร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อพิจารณาข้อตกลงด้านงบประมาณที่เป็นค่าชดเชยต้นสักของ อ.อ.ป. ในพื้นที่รองรับการอพยพและพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินและทบทวนสถานภาพความเป็นหมู่บ้านของทั้ง ๕ หมู่บ้าน ในกรณีจำนวนครัวเรือนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านเดิมมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะคงสถานภาพเป็นหมู่บ้านภายหลังการอพยพของครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านแล้ว โดยพิจารณากำหนดแนวทางการโอนครัวเรือนที่เหลืออยู่ไปสมทบร่วมกับหมู่บ้านอื่น หรือพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการครัวเรือนที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับแนวทางการปกครองในระดับหมู่บ้านต่อไป ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบประปา ในพื้นที่ของครัวเรือนที่ขออพยพ เพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิม สำหรับพื้นที่ของครัวเรือนที่ยืนยันไม่ต้องการขออพยพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐานดังกล่าวให้กับครัวเรือนในพื้นที่ต่อไปตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับจากภาครัฐ |
||||||||||||||||||
26851 | โครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ 3 | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ ๓ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๑๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๗ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓๓๓.๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการขยายและปรับปรุงระบบไฟฟ้า การทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedge) การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงและกำลังผลิตไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การให้ความสำคัญกับการส่งเสริม รณรงค์ และให้ความรู้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน การดำเนินโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีการรอนสิทธิจากพื้นที่เอกชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบและเกิดการต่อต้านโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ในการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นลำดับแรก รวมทั้งบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณารูปแบบการระดมทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26852 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ 23 สิงหาคม 2555 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556) | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานรับไปพิจารณาร่างรายงานฯ ดังกล่าวอีกครั้ง หากประสงค์จะปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลในร่างรายงานฯ ให้ส่งให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||
26853 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง เพื่อจัดตั้งกลุ่มงานคดีนักท่องเที่ยวในศาลยุติธรรม จำนวน 15 แห่ง | นร04 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๗,๐๕๐,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกลุ่มงานคดีนักท่องเที่ยวในศาลยุติธรรม โดยในระยะแรกดำเนินการนำร่องในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๗ แห่ง เพื่อให้บริการระบบงานพิเศษเพื่อรองรับคดีของนักท่องเที่ยวดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
26854 | ขออนุมัติตั้งด่านตรวจความมั่นคง ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี | ตช | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการตั้งด่านตรวจความมั่นคงตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรหนองจิก ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓ สายหาดใหญ่-ยะหริ่ง ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๘๒-๘๓ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||
26855 | การปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้ได้รับเดือนละ 15,000 บาท ในปีงบประมาณ 2556 | พศ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๘๒,๐๑๙,๖๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็น ๑๑,๖๘๐ บาท เท่าอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการวุฒิปริญญาตรี ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ (๑๒ เดือน) จำนวน ๒,๘๔๓ รูป/คน วงเงิน ๔๐,๓๐๙,๐๐๐ บาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่เป็นคฤหัสถ์และมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนอีกจนถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ (๑๒ เดือน) จำนวน ๑,๓๔๖ คน วงเงิน ๔๑,๗๑๐,๖๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
26856 | แผนแม่บทโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก | นร08 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) เพื่อเสริมสร้างคน ชุมชน พื้นที่บริเวณชายแดน จำนวน ๔๘ หมู่บ้าน (จังหวัดเชียงใหม่ ๑๓ หมู่บ้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๓๔ หมู่บ้าน จังหวัดตาก ๑ หมู่บ้าน) ให้มีภูมิคุ้มกันตนเองในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง โดยให้คนและชุมชนสามารถดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งสามารถสนับสนุนหน่วยงานรัฐในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน เฝ้าระวังแจ้งเตือน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนประเทศเพื่อนบ้าน โดยมียุทธศาสตร์ดำเนินงานของแผนแม่บทโครงการฯ รวม ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วน และจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับในแผนงบประมาณปกติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนและไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน เห็นสมควรให้เสนอของบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป |
||||||||||||||||||
26857 | รายงานการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 128 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | สผ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ ๑๒๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (The 128th Assembly of the Inter-Parliamentary Union) ระหว่างวันที่ ๑๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงกีโต สาธารณรัฐเอกวาดอร์ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมภายใต้หัวข้อในการอภิปรายทั่วไป (General Debate) ในครั้งนี้คือ “จากการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งสู่การพัฒนาอย่างมีเป้าหมาย ในแนวทาง ‘การมีชีวิตที่ดี’ หรือ ‘Buen Vivir’ : ทางเลือกใหม่ ทางแก้ไขใหม่” ที่ประชุมเห็นด้วยในเรื่องของการพัฒนาในบริบทของการเติบโตทางเศรษฐกิจว่ามีความจำเป็นและมีส่วนช่วยเหลือในด้านการพัฒนาอย่างมากสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการนำหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาปรับใช้เพื่อเป็นหลักในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. แถลงการณ์กีโต (Quito Communigue) ได้มีการอภิปรายในเรื่องเกี่ยวกับนโยบายความเป็นอยู่พื้นที่เศรษฐกิจสีเขียว การบริหารแบบประชาธิปไตย การพัฒนาที่ยั่งยืนในรูปแบบใหม่ และการทำงานของรัฐสภา ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรถูกนำไปอภิปรายในการประชุมของรัฐสภาแห่งชาติ เพื่อเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสู่การประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมกับในระดับโลก ๓. การประชุมคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสมาชิกภาพในสหภาพรัฐสภา การอนุวัติยุทธศาสตร์สหภาพรัฐสภา ๒๕๕๕-๒๕๖๐ ความร่วมมือกับสหประชาชาติ การรับรองรายงานการเงินปี ๒๕๕๕ ปฏิบัติการสหภาพรัฐสภาเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและสถาบันรัฐสภา การประชุมสหภาพรัฐสภาในอนาคต การแก้ไขธรรมนูญและข้อบังคับ แถลงการณ์ของประธานสหภาพรัฐสภาว่าด้วยสถานการณ์ในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง การเลือกตั้งเลขาธิการสหภาพรัฐสภา และการบรรจุระเบียบวาระเร่งด่วนที่เสนอโดยราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (Jordan) เรื่อง “บทบาทของรัฐสภาในการจัดการกับผลกระทบด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมที่เกิดจากวิกฤตการณ์ในซีเรีย และการกดดันรัฐบาลของตนเองให้แสดงออกซึ่งความรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและด้านมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและให้การสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยดังกล่าว ๔. การประชุมสมาชิกรัฐสภาสตรี ครั้งที่ ๑๘ ที่ประชุมรับทราบเรื่องการติดตามแผนปฏิบัติการด้านรัฐสภาที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย (Plan of Action on Gender-sensitive parliament) ของสำนักเลขาธิการสหภาพรัฐสภา โดยที่ประชุมได้แยกออกเป็น ๒ กลุ่มย่อย เพื่ออภิปรายในการพิจารณามุมมองทางด้านสถานะระหว่างชายหญิง ในหัวข้อของคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๑ และคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๒ ได้แก่ “การบังคับใช้หลักการความรับผิดชอบในการคุ้มครอง : บทบาทรัฐสภาในการคุ้มครองชีวิตพลเรือน” (Enforcing the responsibility to protect : The role of parliament in safeguarding civilians’ lives) และ “การค้าอย่างเป็นธรรมและกลไกทางการเงินที่มีนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Fair trade and innovative financing mechanisms for sustainable development) ๕. การประชุมกลุ่มอนุภูมิภาคอาเซียน+๓ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการเสนอชื่อผู้แทนสมาชิกในกลุ่มเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างข้อมติ และการประชุมกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประชุมได้มีการเสนอตัวคณะผู้แทนประเทศต่าง ๆ เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งที่ว่างลงในสหภาพรัฐสภา ๖. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๑ ว่าด้วยสันติและความมั่นคงระหว่างประเทศ หัวข้อ “การบังคับใช้หลักการความรับผิดชอบในการคุ้มครอง : บทบาทรัฐสภาในการคุ้มครองชีวิตพลเรือน” ประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ แต่เห็นด้วยในการใช้เครื่องมือการแทรกแซงผ่านองค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นกลไกที่นานาประเทศร่วมลงนามยอมรับ ในฐานะสมาชิกรัฐสภาจะมีการผลักดันให้ภาครัฐบาลนำหลักการนี้ไปปฏิบัติโดยเจรจากับทุกภาคส่วนผ่านกระบวนการนิติบัญญัติในการให้ความคุ้มครองชีวิตพลเรือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรี ๗. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๒ ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน การคลัง และการค้า หัวข้อ “การค้าอย่างเป็นธรรมและกลไกทางการเงินที่มีนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” สมาชิกรัฐสภาควรส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าแฟร์เทรด และสนับสนุนองค์กรอิสระด้านการค้าต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนสินค้าประเภทนี้ โดยการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายการลดภาษีสินค้าแฟร์เทรด ๘. การประชุมคณะกรรมาธิการ คณะที่ ๓ ว่าด้วยประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หัวข้อ “การใช้สื่อ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองและประชาธิปไตย” ที่ประชุมได้รับรองร่างข้อมติว่าด้วยการใช้สื่อ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองและประชาธิปไตย ๙. การอภิปรายกลุ่มย่อย มีหัวข้อการอภิปราย ได้แก่ หัวข้อ “การทำให้ยาเสพติดไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย : จะสามารถหยุดยั้งอาชญากรรมได้หรือไม่ (The legalization of drugs : Can it help curb organized crime?) และหัวข้อเรื่อง “การดูแลสิทธิเด็กพิการ” (Addressing the rights of children with disabilities) ๑๐. การประชุมยุวสมาชิกรัฐสภา ที่ประชุมได้ให้การรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ในการจัดตั้งการประชุมยุวสมาชิกแห่งสหภาพรัฐสภา (Forum of Young Parliamentarians) เพื่อแบ่งปันเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหภาพรัฐสภาและกล่าวถึงสิ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในการใส่มุมมองของตนเองลงในร่างข้อมติในคณะกรรมาธิการทั้ง ๓ คณะ ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ ๑๒๘ รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการพัฒนา กฎ โครงสร้างผู้เข้าร่วมประชุมและบทบาทของการประชุมยุวสมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพรัฐสภา (young parliamentarians of the IPU) ๑๑. การสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “Towards a new vision for development : What place for governance?” และกรอบแผนงานว่าด้วยการพัฒนาระหว่างประเทศ ผลการสัมมนาส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นว่า ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยากลำบาก คือ ปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งการบริหารต้องเล็งเห็นความสำคัญข้อนี้ และต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประกอบกับให้ความสำคัญกับภาคประชาสังคมอย่างเท่าเทียมกันทุกภาคส่วน ทั้งสตรี เยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ๑๒. กรณีของประเทศไทยจากคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสมาชิกรัฐสภา ที่ประชุมรับทราบว่าคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสมาชิกรัฐสภาจะยังคงกรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการ สำหรับกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการจะยังไม่พิจารณาเพิ่มเติมในชั้นนี้ ๑๓. การเข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมาธิการส่งเสริมกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ ของนายพีรพันธุ์ พาลุสุข หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ที่ประชุมได้มีมติให้ Mr. A.A. Cakra Wijiaya จากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๗ นอกจากนี้ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ในฐานะกรรมาธิการสมทบได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับคู่มือสำหรับสมาชิกรัฐสภาว่าด้วยสัญชาติและการไร้สัญชาติว่า เป็นคู่มือที่มีประโยชน์ควรมีการเผยแพร่ให้แพร่หลาย และควรให้ความสนใจในภูมิภาคที่มีปัญหาเกิดขึ้นและส่งเสริมความร่วมมือส่วนภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหานี้เป็นพิเศษ
|
||||||||||||||||||
26858 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 8 (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ 4 (The 4th AMMSWD+3) | พม | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๘ (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๔ (The 4th AMMSWD+3) ระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ (ASEAN Strategic Framework for Social Welfare and Development 2011-2015) ๑.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ ๑.๒ ที่ประชุมมีความเห็นว่าปัญหาด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเป็นประเด็นตัดขวาง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาแบบหลายมิติ จึงสนับสนุนให้มีการทำงานแบบองค์รวม (Holistic approach) ๑.๓ ที่ประชุมเล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือไม่เพียงแต่ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน แต่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ คู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนา ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ที่ประชุมตระหนักถึงความสำคัญของดัชนีชี้วัดประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนและการประเมินผลครึ่งแผนแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๕๕๘ โดยต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ อยู่บนพื้นฐานหลักสิทธิมนุษยชน มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ประเด็นการพัฒนาสังคมอย่างทั่วถึงสำหรับทุกคน ๒.๑ ที่ประชุมเน้นย้ำถึงพันธกรณีที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคม และนำแนวคิด ประเด็นห่วงใยของกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการในประชาคมอาเซียน ๒.๒ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อท้าทายที่พบในหลายประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ปัญหาสังคมผู้สูงอายุว่าเป็นสิ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียนและกลุ่มประเทศ+๓ ต้องมีนโยบายหรือมาตรการเตรียมการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๓. ประเด็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งการคุ้มครองทางสังคมในอาเซียน ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคมเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือยืนยันว่าทุกคนในสังคม โดยเฉพาะคนยากจน กลุ่มเสี่ยง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียน เด็ก แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน และกลุ่มคนเปราะบางอื่น ๆ จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมซึ่งเป็นหลักการขั้นพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม ๔. ประเด็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในอาเซียน เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวให้คำมั่นต่อความต้องการการทำงานอย่างเป็นองค์รวมเพื่อส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็ก และการตอบสนองต่อมิติหญิงชาย ความเปราะบางของเด็ก และการตอบสนองต่อช่วงวัยในการป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ๕. ประเด็นความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ว่าด้วยเรื่องสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๕.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความสำเร็จจากการดำเนินโครงการที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ โดยมีโครงการของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย อาทิ โครงการการพัฒนาโดยใช้แนวคิดชุมชนเพื่อรวมต้นแบบการสาธารณสุขและการบริการสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาการให้บริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งประเด็นสังคมผู้สูงอายุเป็นหัวข้อที่หลายประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเผชิญร่วมกันในไม่กี่ปีข้างหน้า ๕.๒ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อแผนงานโครงการใหม่ ๆ ที่ดำเนินงานกับกลุ่มประเทศ+๓ อีกทั้งชื่นชมการให้การสนับสนุนด้วยดีของกลุ่มประเทศ+๓ มุ่งสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ๖. การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๙ (The 9th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๕ (The 5th AMMSWD+3) ที่ประชุมแสดงความขอบคุณประเทศอินโดนีเซียในฐานะที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม The 9th AMMSWD และการประชุม The 5th AMMSWD+3 ที่จะจัดขึ้นในปี ๒๐๑๖
|
||||||||||||||||||
26859 | การชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการชดเชยการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นหน้าที่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาท่าอากาศยานฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเชิงมนุษยธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยกระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ ทอท. พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเรื่อง การจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสุวรรณภูมิ) ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ระยะที่ ๑) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ทอท. เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีการบินในช่วงฤดูหนาว) ที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ ทอท. พิจารณาขยายกรอบการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันที่ท่าอากาศยานฯ เริ่มเปิดดำเนินการในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ทอท. เป็นผู้พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ในกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องผลกระทบด้านเสียงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่อยู่นอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยขยายกรอบการชดเชยให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างจนถึงวันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดดำเนินการเป็นกรณีไป โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการตรวจวัดระดับเสียงในหน่วย NEF และใช้งบประมาณของ ทอท. เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ๑.๕ รับทราบแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ ทอท. ได้ดำเนินการจัดซื้อมาจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่ระดับ NEF มากกว่า ๔๐ จนถึงปัจจุบัน จำนวน ๑๘๐ อาคาร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘๒๖.๓๙ ล้านบาท (กระจายอยู่ในพื้นที่ของตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร) โดยเป็นที่ดินพร้อมปลูกสร้างแปลงใหญ่สุดประมาณ ๑๗ ไร่ จำนวน ๑ ราย นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่โดยเฉลี่ยไม่เกิน ๕๐-๖๐ ตารางวา มีทั้งที่อยู่ในสภาพดีและชำรุดไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ทอท. ได้แก่ ๑.๕.๑ การจำหน่ายสินทรัพย์อาจไม่เหมาะสมและไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. เพราะอาจจะเกิดข้อพิพาทด้านกฎหมายเรื่องผลกระทบด้านเสียงในอนาคตได้ ๑.๕.๒ ที่ดินซึ่งประกอบด้วยอาคารและพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ เห็นควรให้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว เสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินเองเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาด ๑.๕.๓ ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้ ๑.๕.๔ ทอท. จะพิจารณาหลักเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้ ทอท. พิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินดังกล่าวให้เกิดความคุ้มค่า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์สูงสุดให้กับ ทอท. ต่อไป ๑.๖ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานฯ ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามแนวเส้นเสียง และวิธีการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตลอดจนประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศ และคำพิพากษาของศาลในคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับผลกระทบด้านเสียงต่อไป ๒. ให้ตัดแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ในข้อที่ว่า “ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้” ออก |
||||||||||||||||||
26860 | กำหนดการและจังหวัดที่จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | นร01 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการและจังหวัดที่จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ฉบับแก้ไข ซึ่งเริ่มดำเนินการจากวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะดำเนินการจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน ๓๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำพูน ชัยนาท เชียงใหม่ อ่างทอง ลำปาง อุทัยธานี พะเยา นครสวรรค์ แพร่ ลพบุรี อุตรดิตถ์ สุพรรณบุรี สุโขทัย พระนครศรีอยุธยา ตาก ปทุมธานี กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา พิจิตร สมุทรปราการ พิษณุโลก สมุทรสาคร เพชรบูรณ์ สมุทรสงคราม สกลนคร สงขลา ชัยภูมิ ราชบุรี สระบุรี กาญจนบุรี นครนายก นครปฐม ปราจีนบุรี นนทบุรี จันทบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ
|
.....